ขายของ

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

ส่งท้ายปีเก่า

ไม่ได้เขียนอะไรที่ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ครั้งที่ยังฮิต unseen Thailand แต่อันที่จริงก็ไม่ได้หายไปไหน ส่วนมากก็ยังคงวนเวียนเข้ามาเยื่ยมชมอยู่เป็นประจำ คราวนี้จึงมาว่าต่อเกี่ยวกับเรื่องท่องเที่ยวอีกเช่นเคย เพราะมีวัตถุดิบที่พอจะนำมาเขียนได้เยอะแยะ ถ้าจะอัพเดตหน่อยก็จะขอเล่าเอาตอนล่าสุดนี่เลยก็แล้วกัน คือวันส่งท้ายปีเก่า 31 ธันวา 52 ที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ คงจะดี เชื่อแน่ว่าหลายคนคงไม่ทราบว่าในจังหวัดชลบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวทาง ธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่งคือ น้ำตก เพราะถ้าเราพูดถึงชลบุรีเราก็จะนึกถึงกันแต่ บางแสน พัทยา ศรีราชา แต่น้ำตกธรรมชาติที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้นนั้นมีอยู่ในจังหวัดชลบุรีหนึ่ง แห่ง คือน้ำตกชันตาเถร ชื่อก็ไม่คุ้นหูเลยใช่ไหมคะ ปุ๊กอยู่ในจังหวัดชลฯ มาตั้งนานปุ๊กก็ยังไม่เคยไปเที่ยวเลย แต่เคยเห็นป้ายบอกทางเวลาที่ขับรถผ่านถนนสาย 7 หรือมอเตอร์เวย์ จะมีป้ายบอกอยู่แถวๆ บางพระ เมื่อวันที่ 31 ทีผ่านมานี้ปุ๊กไปทำธุระที่บางแสนตอนเช้า เสร็จธุระตอนกลางวันก็หาอะไรกินกันแถวนั้นแล้วก็เลยขับรถเรื่อยเปื่อยออกมา ทางเส้นมอเตอร์เวย์ เห็นป้ายบอกทางไปน้ำตกชันตาเถรเลยตัดสินใจลองขับเข้าไปดู จากเส้นมอเตอร์เวย์เข้าไปไม่ไกลเท่าไหร่ก็ไปถึงน้ำตก มีด่านตรวจและอาคารของเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งเหมือนๆ กับอุทยานทั่วไปแต่ที่นี่จะดูเล็กกว่าและเห็นมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่คนเดียว โดยมีป้ายติดไว้ว่า “น้ำตกไม่มีน้ำ” ที่ที่จอดรถก็มีรถยนต์จอดอยู่ 2 – 3 คันซึ่งพอจะเดาได้ว่าในวันธรรมดาคงไม่มีใครมาแน่ เพราะนี่ขนาดวันหยุดยังมีคนมาแค่นี้ มีร้านขายของอยู่ร้านเดียวและก็มีแต่น้ำดื่ม น้ำอัดลมและขนมขบเคี้ยวอยู่ไม่กี่อย่าง เดินผ่านด่านเข้าไปโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ เพราะถ้าขืนเก็บสตางค์ก็คงจะไม่มีใครมาเที่ยวแน่ เจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่คนเดียวก็ดูเหมือนไร้วิญญาณ บังเอิญมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่มาถึงเวลาใกล้เคียงกันเขาถามขึ้นว่า น้ำตกไม่มีน้ำเลยหรือ เจ้าหน้าที่ก็ตอบแบบเซ็งๆ ว่าก็พอมีสำหรับเด็กเล่นได้ เพราะกลุ่มนั้นเขามีเด็กมาด้วย เราสองคนแม่ลูกก็เดินตามเขาไปเรื่อยๆ แบบสบายๆ เพราะไม่มีสัมภาระอะไรติดตัวมาเหมือนอย่างคนอื่น ยังดีที่มีรองเท้าแตะอยู่ในรถก็หยิบมาเปลี่ยนใส่เดินได้ วันนี้แดดไม่ร้อนแล้วแถมยังมีอากาศคล้ายๆ คลึ้มฟ้าคลึ้มฝนอีกด้วย ระหว่างทางเดินมีจุดสำหรับกางเต๊นท์และบริเวณให้ทำแคมป์ไฟ ห้องน้ำห้องท่าก็สะอาดดี เดินไปตามถนนลาดยางสักประมาณ 800 เมตรก็จะถึงน้ำตก ซึ่งเวลานี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นลำธารมากกว่า มองขึ้นไปไกลๆ ก็จะเห็นสายน้ำตกเล็กๆ พอที่เด็กจะเล่นได้ตามคำบอกของเจ้าหน้าที่ มีป้ายบอกว่าให้เดินย้อนน้ำตกขึ้นไปจะเจอบริเวณน้ำตกที่ใหญ่กว่านี้ แต่เราสองคนแม่ลูก็ตัดสินใจที่จะไม่เดินขึนไปเพราะสภาพเสื้อผ้าที่สวมใส่มา นั้นไม่พร้อมเลย จึงได้แต่นั่งเอาขาแช่น้ำ และเท่าที่สังเกต ผู้คนที่มาเที่ยวส่วยใหญ่ก็จะนั่งเล่นกันอยู่ในบริเวณนี้ทั้งนั้น คงจะขี้เกียจตะกายขึ้นไปเพราะพอจะเดาได้ว่าข้างบนก็คงไม่มีน้ำให้เล่น ส่วนใหญ่คนที่มาเที่ยวก็จะนั่งเล่นกันอยู่ได้ไม่นานก็จะกลับเพราะไม่มีน้ำ ให้เล่นและอาจจะไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ บ่ายแก่ๆ แล้วผู้คนก็ทยอยกลับกันแล้วเหลือเราสองคนแม่ลูกก็เลยตัดสินใจกลับบ้างจะดี กว่า ได้แต่คิดไว้ว่าถ้าเวลาหน้าฝนหรือหลังฝนใหม่ๆแล้วค่อยมาอีกเพราะถ้าน้ำ มากกว่านี้ที่นี่ก็คงจะสวยงามพอสมควร ที่เขียนมายืดยาวนี่ก็จะโฆษณาให้ได้รู้จักน้ำตกหนึ่งเดียวของชลบุรี ซึ่งถ้าใครพอมีเวลาว่างและผ่านมาในช่วงหน้าฝนหรือหลังฝนเล็กน้อยก็น่าจะลอง แวะเข้าไปเที่ยวดู รับรองว่าน่าจะได้รับความเพลิดเพลินจากธรรมชาติดีทีเดียว เอาล่ะ...อย่าเพิ่งงงนะคะ ต้องขอโทษที่เขียนมาซะยืดยาวแต่ยังไม่ได้เข้า theme ของเราๆ สักที เข้าแน่ค่ะ ไม่ต้องห่วง ที่ไม่ได้เขียนให้บู๊กันสะบั้นหั่นแหลกตั้งแต่ในฉากแรกก็เพราะในความเป็น จริงนันการไปเที่ยวน้ำตกชันตาเถรนี้เราไม่ได้ตั้งใจที่จะไปเพื่อการนั้นนี่ คะ มันเป็นความบังเอิญที่ขับรถผ่านเห็นป้ายแล้วดูว่าพอมีเวลาเลยแวะเข้าไป และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรเราก็ไม่ได้เตรียมไปเลย ตัวปุ๊กเองก็ยังคิดในใจเลยว่าเจ้าลูกชายเราก็ไม่มีทีท่าอะไรพิเศษมาเที่ยว น้ำตกกันตามลำพังคราวนี้คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ เดินกลับออกมาถึงบริเวณห้องน้ำก็แวะเข้าห้องน้ำก็ยังไม่มีทีท่าอะไร เดินต่อมาหน่อยเห็นเป็นทางพอที่จะให้รถเข้าไปได้แล้วเขาเขียนว่าศูนย์ฝึก อบรมการอนุรักษ์ธรรมชาติฯ ก็เลยชวนกันเดินเข้าไปดู หลังเนินขาก็จะเป็นอาคารสองชั้นข้างบนมีดาดฟ้าแต่มีหลังคาคล้ายๆ กับทำไว้เพื่อให้คนขึ้นไปยืนชมวิวได้ อาคารนี้ไม่มีคนมาใช้เลยดูเหมือนจะเป็นอาคารร้าง แต่ก็ไม่ได้รกรุงรังหรือสกปรกอะไร เราพากันเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อจะดูวิวแต่ก็มองไมเห็นอะไรเพราะต้นไม้ขึ้น สูงบังวิวเบื้องล่างหมด เราเดินลงมาชั้นสองสำรวจดูรอบๆ แล้วเจ้าลูกชายตัวดีกดึงปุ๊กเข้าไปกอด ไม่กอดเฉยๆ ประทับจูบมาที่ปากแม่อีก อย่างว่า วัวเคยขาม้าเคยขี่ หรือถ้าจะให้เรียกให้ถูกก็ต้องบอกว่า แม่ก็เคยให้ลูกก็เคยเอา ดูดปากดูดลิ้นกันแล้วมือไม้ก็ล้วงควักเอานมแม่ออกมาดูด ปุ๊กทำทีร้องห้ามกลัวคนจะมาเห็นทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีใครจะมาเห็นหรือแอบดูเราแน่นอน ปากก็ดูดกันไป มือลูกก็ล้วงนม มือแม่ก็ควักเอาไอ้เจี๊ยวลูกออกมาเขย่า เขย่าได้ทีสองทีจากไอ้เจี๊ยวก็กลายเป็นควยดุ้นมหึมา ปุ๊กกระซิบลูก “ให้แม่อมให้นะ” ไม่รอคำตอบลงคุกเข่าจับควยเข้าปาก ลูกซี๊ดปากครางลั่น ชั่วอึดใจรีบพยุงแม่ให้ลุกขึ้น ปุ๊กถามว่าทำไมไม่ให้แม่อมให้เสร็จไปเลยล่ะ ลูกบอกไม่เอาลูกอยากเย็ด “ไม่เก็บไว้คืนนี้เหรอลูก” “ไม่ไหวแล้วแม่ เย็ดก่อนเถอะเดี๋ยวคืนนี้เอาใหม่ก็ได้” “แต่เราไม่พร้อมนะ แม่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนะ ถุงยางก็ไม่มี” “ก็ไม่เป็นไรนี่ แม่กินยาคุมไม่ต้องใช้ก็ได้” “แต่แม่กลัวเลอะเทอะ ถ้ามันเปื้อนเสื้อผ้าแล้วจะเดินออกไปยังไง” ลูกไม่ฟังเสียงจับปุ๊กถอดกางเกง ไอ้เราทำเป็นลังเลแต่ตอนนี้น้ำเยิ้มท่วมรูหีแล้ว ลูกจับปุ๊กหันหน้าเอามือยันผนังตึกแล้วเอาควยกดเข้ามาในตัวปุ๊กอย่างรวดเร็ว มันรู้สึกคับแน่นไปหมดทุกครั้งที่ควยมหึมาของลูกเข้ามาอยู่ในตัวปุ๊กทั้งๆ ที่มันเคยเข้ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หูตาพร่ามัวไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นแล้ว นึกถึงอย่างเดียวคือเราสองคนแม่ลูกต้องไปให้ถึงจุดหมายที่เราต้องการ ลูกชะลอแรงกระเด้าลง “แม่กลัวเปรอะเหรอ” “จ้ะ” “ถ้างั้นแม่กินน้ำลูกนะ” กระเด้าต่อแบบไม่รอคำตอบ ไม่นึกถึงใจเราบ้างเลยว่าเราจะโอเคไม๊ ไอ้เรื่องกินน้ำเนี่ยมันของชอบของเราก็จริงอยู่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้เรารู้ดีว่าน้ำของลูกเรานั้นคงไม่ไหลเอื่อยอย่างกะ น้ำตกชันตาเถรแน่ คงจะระเบิดตูมออกมามากมายแบบเขื่อนแตกและคงกลืนลงคอไม่ทันแน่ แต่ตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะคิดอ่านอะไรทันแล้ว ลูกเริ่มกระเด้าหนักๆ เน้นๆ แสดงว่าเวลาที่หลานย่าจะได้วิ่งแข่งกันเข้ามาในตัวย่านั้นได้ใกล้เข้ามาเต็ม ทีแล้ว แต่คราวนี้หลานๆ คงไม่ได้เข้าไปวิ่งแข่งกันในมดลูกแต่จะโดนย่าจับกินหมด ความเสียวเดินทางมาถึงขีดสุด ปุ๊กส่ายก้นขยี้ควยลูกให้เข้ามาลึกๆเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกรู้ว่าเขาพาแม่เขา มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ลูกอัดควยหนักๆ เข้ามาอีกสองสามครั้งก่อนที่จะดึงควยออกไป ปุ๊กรีบลงคุกเข่าอ้าปากรอรับน้ำอสุจิที่เต็มไปด้วยหลานๆ ของปุ๊กเอง น่าสงสารหลานๆ ที่ไม่มีโอกาสได้เกิดแถมยังโดนคุณย่าใจร้ายจับกลืนลงคออีก น้ำลูกเยอะตามคาด ส่วนใหญ่ก็กลืนลงคอแล้วก็ยังมีบางส่วนที่ตกหล่นไม่เข้าปากบ้างก็เล็กน้อย แต่ก็สามารถเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดออกได้หมด เราสองแม่ลูกรีบแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น เดินมาอีกสักหน่อยก่อนถึงด่านทางเข้าออกก็จะมีบึงน้ำและมีทางเดินเป็นสะพาน ปูนเดินเข้าไป ลูกก็เดินเข้าไปดู ไอ้เราเป็นแม่ห่วงลูกก็เลยเดินตามเข้าไป เข้าไปไม่ไกลเท่าไหร่ก็จะเป็นทางเดินป่าธรรมดา เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ แต่เวลาตอนนี้ก็คงไม่เหมาะที่จะเดินเข้าไปแล้ว จึงชวนลูกกลับออกมาแต่ลูกดึงแขนไว้แล้วบอกว่าในนี้บรรยากาศดีอยากจะอยู่ซึม ซับธรรมชาติอีกหน่อย และมากระซิบว่า “ยังไม่อิ่ม” “ไม่เอาแล้ว แม่อิ่มมากเลยเต็มปากเต็มคอ ยังเหนียวคออยู่เลย” ลูกดึงตัวเข้าไปจูบ พยามควานลิ้นให้ทั่วปากคงจะอยากรู้รสชาติของน้ำตัวเอง แต่มันไม่แค่นั้นพอจูบกันมันก็เกิดเรื่องอีกจนได้ และก็คล้ายๆ แบบเดิมคือ สองแม่ลูกสวมครึ่งท่อน(เสื้อผ้าธรรมดาไม่ใช่เครื่องแบบ) แม่ยืนเอาหลังพิงต้นไม้ สองคนแต่มีสามขาเพราะลูกเอามือช้อนขาแม่ขึ้นมาข้างหนึ่ง ไม่มีเสียงสนทนาเพราะปากของทั้งคู่ประกบกันเกือบตลอด ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน คุณย่าไม่ใจร้ายกลืนหลานลงคอ แต่คราวนี้หลานๆที่มีจำนวนเยอะไม่แพ้เมื่อครู่ได้มีโอกาสเข้าไปวิ่งเล่นใน ตัวคุณย่า ในมดลูกของคุณย่าโดยไม่รู้เลยว่าที่ได้เข้าไปมีโอกาสวิ่งแข่งวิ่งเล่นกัน นั้น ไม่ได้มีความหมายอะไร เพราะหลานทุกคนไม่มีโอกาสได้ปฏิสนธิหรือได้เกิดในมดลูกของคุณย่าเลย แต่จะโทษใครได้นอกจากต้องโทษพ่อและย่า คือรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีโอกาสให้หลานๆได้เกิดในมดลูกของย่าอยู่แล้วก็ยังจงใจ ปล่อยให้ลูกๆได้เข้าไปในมดลูกนั้นอีก...กรรมของเด็กมัน หลังจากเสร็จศึกที่ไม่มีใครได้ล่วงรู้ สองคนแม่ลูกก็เดินจูงมือกันออกมาจากน้ำตกขับรถกลับบ้านด้วยความสุขส่งท้ายปี 2552 แบบอิ่มเอม แล้วปีหน้าจะเป็นยังไงค่อยว่ากันใหม่ จะพาไปเที่ยวไหนอีกก็จะพยามทยอยเขียนมาให้อ่านกัน........สวัสดีปีใหม่ค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: