ขายของ

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Tarantula แม่ม่ายดำ ตอนที่3

ผมรู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วร่าง จนขยับแขนขาไม่ได้ ลืมตาขึ้นมองก็พบกับดวงไฟเพดานสาดส่องลงมาพอดี ตาผมพล่ามัวไปชั่วขณะ หู แว่วเสียงร้องครวญคราง อยู่ใกล้ ๆ กระพริบตาถี่ ๆ เพ่งมองเงาร่างดำ ๆ ที่กลางเตียง ภาพค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นทีละน้อย ๆ "ซี๊ดดดด...ผัวขาาาา แรง ๆ เย็ดเมียให้หีแหกไปเลย" เสียงคุ้นหูนัก ร่างสาวน้อยที่นอนโก่งโค้งแอ่นก้นรับการกระเด้าเย็ดที่กลางเตียง ก็คุ้นตา "แพร ๆ" ผมพยามตะเบ็งเสียงเรียกร้อง แต่เสียงที่ดังออกมากลับอู้อี้้ จึงรู้ว่าบัดนี้มีผ้าก้อนกลมใหญ่ยัดอยู่ในปากของผม ส่วนแขนขาที่ ขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ เป็นเพราะร่างเปลือยผมถูกจับมัดขึงอยู่กับเก้าอี้นายพราน ที่ผมกะเอาไว้แต่แรกเห็นว่าจะนำมันมาเป็นสังเวียน สวาทกับแพรไหม เสียงร้องครวญครางด้วยความเสียวสะท้านของแพรไหม ดังลั่นห้อง ก้นกลม ๆ ของเธอก็ส่ายรับการกระเด้าเย็ดของไอ้หนุ่มผอมสูงก้น ปอด ผมยาว ที่กลางเตียงอย่างไม่หวั่นไหว เสียงเรียก ผัวขา ผัวขา....ดังโหยหวน นี่มันไม่ใช่การข่มขืนแน่ แพรไหมไม่ได้ถูกใครบุก เข้ามาข่มขืน ยามที่ผมเผลอหลับ ผมคิดอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นาน เสียงของคู่สวาททั้งสองก็แหกปากร้องออกมาพร้อม ๆ กัน ร่างทั้ง คู่สั่นเกร็งกระตุก ก่อนที่แพรไหมจะทรุดฮวบลงนอนคว่ำ โดยมีไอ้หนุ่มผมยาวล้มทับตามลงมา ก้นอวบกลมของแพรไหมยักยกส่าย น้อย ๆ ในขณะที่ก้นปอด ๆ ของไอ้หนุ่มคนนั้น ก็เกร็งกระตุกขมิบจนเป็นลอน หลังจากเกมสวาทที่ดุเดือดของทั้งคู่สิ้นสุดลง แพรไหมและไอ้หนุ่มผมยาวคนนั้นก็เดินร่างเปล่าเปลือยตรงเข้ามาหาผม "เป็นไงคะท่าน....เห็นแพรเย็ดกับผัวแล้วเงี่ยนอีกมั๊ย 5555" เสียงของแพรไหมดูกระด้างขึ้นมา เธอพูดไปหัวเราะไปอย่างเยาะเย้ย ข้าง คู่สวาทผมยาวของเธอ ที่ยืนโอบกอดแนบชิด มือข้างหนึ่งเอื้อมไปกำบีบนมอวบคู่งามไว้ อีกข้างก็ล้วงลูบเล่นแถวๆ รอยสักแมงมุมตัวโต "แพร...ทำไมนู๋ทำกับผมแบบนี้" ผมแหกปากร้องถามทันทีที่แพรไหมดึงผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่หลุดออกมาจากปาก "คนหยาบช้าลามกแบบมึง สมควรแล้วละ" เสียงแพรไหมเกรี้ยวกราด ยืนชี้นิ้วด่าผมแบบไม่หลงเหลือความเกรงใจใด ๆ เลย ความโกรธ แล่นขึ้นมาจนผมหน้ามืด ไม่ได้สำนึกสักนิดว่าตัวผมนั้นถูกมัดอยู่อย่างแน่น ยากจะดิ้นรนขัดขืน ตกเป็นเบี้ยล่างอย่างเห็นได้ชัด แต่เด็ก สาวอายุคราวลูกหลานที่เพิ่งเสพสวาทกันไปเมื่อสักครู่ มายืนชี้หน้าด่ากราด ผมก็หมดความอดทนที่จะพูดดีด้วย "กูไปทำอะไรให้มึงรึ เย็ดกันเมื่อครู่กูก็ไม่ได้ข่มขืนมึงสักหน่อย มึงยอมกูเองดี ๆ ...." ผมโกรธจนแทบกระอักเลือด เลือดลมในร่างสูบฉีด จนหน้าตาแดงกล่ำ แพรไหมไม่ตอบคำถาม เธอเดินแก้ผ้าโทง ๆ ตรงไปรื้อของออกมาจากกระเป๋าเป้สะพายหลัง ซึ่งน่าจะเป็นกระเป๋าของผัวเธอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม เสียววูบเมื่อนึกว่า ถ้าเผื่อสิ่งที่เธอรื้อค้นนั้น เป็นอาวุธ ผมจะทำเช่นใด แต่แล้วสิ่งที่เธอหยิบออกมากลับเป็นกระดาษแผ่นโต ผมมองดู ก็เห็นว่ามันน่าจะเป็นรูปถ่าย ขนาด12นิ้วใบหนึ่ง แพรไหมยื่นรูปใบนั้นมาตรงหน้าผม " มึงดูซะ..แล้วช่วยใช้สมองหยาบช้าลามกของมึงทบทวนดูว่าคนนี้ใคร........" รูปของสาวหน้าซื่อ ๆ แววตาใสๆ ถ่ายอยู่ในชุดเครื่องแบบทำงาน ที่พอผมมองดูก็รู้เลยว่า มันคือเครื่องแบบของรูมเมด ที่โรงแรมผม ผมมองใบหน้าซื่อ ๆ ดั่งสาวบ้านนอกนั้นอีกครั้ง ก็ต้องตกใจ เพราะใบหน้านี้ เมื่อสักครู่ในขณะที่ผมร่วมรักอยู่กับแพรไหมนั้น มันปรากฎ ขึ้นมาให้ผมเห็นเป็นครั้งคราว ดวงตาใสซื่อแบบนี้ ผมเคยเห็นอย่างแน่นอน ผมนึกทบทวนไปถึงบรรดาสาว ๆ ที่ต้องตกเป็นทาสสวาท ของผม ทันใด ผมก็ขนลุกเกลียวขึ้นมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่า สาวในภาพถ่ายผู้นี้คือพร เธอถูกผมปล้ำในวันแรกที่เข้าไปทำเทรนนิ่งจ็อบในห้องพักแขก แม้เธอจะขัดขืนอ้อนวอนให้ผมรู้ว่าเธอมีลูกมีผัวอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ เวทนาเธอแต่อย่างใด ผลยังคงปล้ำปลุกเร้าจนอารมณ์สวาทของเธอลุกโพลง เธอยินยอมร่วมรักกับผมในท้ายที่สุด ผมจำรสสวาทลีลา ร่วมรักของเธอได้อย่างแม่นยำ สาวหน้าใสดวงตาแสนซื่อที่ดูท่าทางเอียงอาย แต่เวลาเธออยู่บนเตียงนั้น เธอร่านร้อนดังภูเขาไฟลูกใหญ่ ที่รอวันระเบิดออกมา ผมหลงไหลในรสสวาทของพรอยู่พักใหญ่ ซึ่งเช่นเดียวกับเธอที่หลงไหลผมเช่นกัน จนกระทั่งหลายเดือนผ่านมา เธอเข้ามาบอกว่าเธอท้องกับผม ผมจำได้ว่าหัวเราะใส่หน้าเธอไปพร้อมไล่ให้เธออกจากห้อง ก่อนโยนเงินให้ก้อนหนึ่งพร้อมบอกว่า เอา ไปจัดการทำแท้งเสีย แม้ผมจะไม่เชื่อว่าเธอท้องกับผมก็ตามที พรเดินร้องไห้ออกไปจากออฟฟิสผม และหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้มา ทำงานอีกเลย "จำได้แล้วใช่มั๊ย...ไอ้หน้าตัวเมีย......." แพรไหมตรงเข้ามาตบตีพัลวัล ผมไร้ทางต่อสู้ป้องกันตัว "แล้วแกเป็นใคร..." ผมแข็งใจร้องถาม แม้จะเจ็บปวดตามหน้าตาที่บวมปูด ปากแตกจนรู้รสของเลือดที่ไหลเข้าไป " กูหรอ......มึงอย่ารู้เลย คนอย่างมึงไม่คู่ควร.." คำพูดที่แพรไหมทิ้งไว้ให้เป็นปริศนา เธอหันไปร้องสั่งคู่ขาให้จัดการกับผม เมื่อมาถึง ณ.วินาทีนี้ ความตายใกล้เข้ามาจนแทบจะได้กลิ่น แต่ผมกลับไม่กลัว ภาพสาวหลายสิบหลายร้อยคน ที่ต้องสังเวยกาม เป็นทาสสวาท ให้กับผม ผุดขึ้นมาในจิตสำนึก คนแล้วคนเล่า หรือว่าผมจะเป็นคนบาปหยาบช้าลามก อย่างที่เด็กสาวปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมร้องด่า ผม นอนสงบนิ่ง ปลงตกเหมือนรอคอยให้เพชรฆาตลงดาบประหาร ไอ้หนุ่มผมยาวเดินไปค้นของในเป้สะพายอีกครั้ง พอหันกลับมาผมก็เห็นว่าในมือของมันมีหลอดฉีดยา มีน้ำยาใส ๆ อยู่ในนั้นครึ่งหลอด สองคนช่วยกันยึดจับแขนผมไว้ แล้วฉีดน้ำสีขาว ๆ เข้ามา คงเป็นยาพิษ ผมคิดเช่นนั้น ดีเหมือนกันถ้าความตายจะช่วยชดใช้บาปกรรม ที่ ผมได้ก่อขึ้น สมองผมเริ่มโหวงเหวงว่างเปล่า ม่านตาขยายเพ่งมองร่างของคนทั้งคู่เชื่องช้าดั่งภาพสโลว์ในหนัง หูได้ยินเสียงแว่ว ๆ ดัง มาจากที่ห่างไกล "แน่ใจนะแพรว่า...จะทำแบบนี้" "ค่ะ..ทำตามแผนเดิม" เสียงแพรไหมตอบรับ ผมได้ยินแผ่ว ๆ "ถึงอย่างไร เค้าก็เป็นผู้ให้กำ........แพรฆ่าเค้าไม่ลงงงงง...." ท่อนท้ายคำพูดผมไม่ได้ยินเสียแล้ว สติผมวูบดับสนิท ............................................................................................................................................................... ผมเดินโซซัดโซเซ มาทิ้งตัวลงบนเตียง ที่ว่างเปล่าอีกครั้ง คราบน้ำกามที่ผมเสพสวาทกับแพรไหม และของแพรไหมกับไอ้มือสักคน นั้น ยังทิ้งเป็นคราบดวง ๆ โต ๆ เปียกชื้นอยู่เห็นได้ชัด ใจผมพลุ่งพล่านหวาดหวั่นต่อเหตุการณ์ภายภาคหน้า ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคง ไม่มีหน้าออกไปพบผู้คนและสังคมของผมเป็นแน่ รอยสักแมงมุมตัวใหญ่เต็มแก้มซ้ายของผม อีกทั้งใยที่สักเป็นตะข่ายครอบคลุมไป ทั้งใบหน้าเช่นนี้ ผมหาเหตุผลไม่ได้แน่ว่าคิดเช่นไรจึงสักหน้าตัวเองขนาดนี้ ความเจ็บปวดทางร่างกายที่ได้รับเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดเศร้าเสียใจที่แพรไหมทำกับผมครั้งนี้ ผมไม่ได้แค้นเคืองเธอ สำนึก ในความผิดที่ตัวเองก่อขึ้นมาตั้งแต่อดีต ทั้งกับพร แม่ของแพรไหม และผู้หญิงอื่น ๆ อีกหลายสิบคนที่ผมก่อบาปกรรมขึ้นมานั้น ทำให้ ผมสำนึกได้ บาปกรรมที่ผมต้องชดใช้ด้วยความอับอายในครั้งนี้ ถือว่ายังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ผมคิดกลับไปกลับมาหลายร้อยเที่ยวว่า ผมจะจัดการกับชีวิตของตัวเองต่อไปเช่นใด ในหลาย ๆ ความคิดนั้น รวมไปถึงการปลิดชีวิต ตนเองให้พ้นทุกข์ไปด้วย แต่ผมก็ต้องล้มเลิกความคิดสั้น ๆ เช่นนั้นไป มีบางเรื่องที่รบกวนจิตใจทำให้ผมยังตายไม่ได้ ปริศนาอย่าง หนึ่งที่ผมต้องทราบให้กระจ่างก่อนก็คือ แพรไหมเป็นลูกของพร ที่เกิดจากผมใช่หรือไม่ และถ้าใช่จริง ๆ มันก็เท่ากับว่า ผมได้เสพ สังวาสกับลูกสาวตนเองกระนั้นหรือ .......................................................................................................................................................... เสียงโทรศัพท์ภายในห้องพักของโรงแรมม่านรูด ดังกังวาลขึ้น ปลุกให้ผมตื่นจากความคิดที่สับสน คงหมดเวลาที่ผมจ่ายเงินค่าพักชั่ว คราว แล้วเป็นแน่ ผมรีบแต่งตัวอย่างลวก ๆ กระเป๋าเงินยังอยู่ครบ รวมทั้งกุญแจรถของผมก็มิได้หายไปไหน แพรไหมเธอคงต้องการ เพียงแก้แค้นที่ผมทำกับแม่ของเธอไว้เพียงเท่านั้น มิได้ฉกฉวยโอกาศขโมยทรัพย์สินของผมติดมือไปด้วย ผมขึ้นไปสตาร์ทรถและค่อย ๆ ขับออกจากโรงแรมม่านรูดแห่งนั้นไปช้า ๆ ภายในหัวปวดหน่วง ๆ เพราะความคิดที่สับสนวกวน เพื่อหา ทางออกกับให้ตนเอง อันดับแรก ผมคงกลับไปบ้านไปหาดุจดาวไม่ได้แน่ ผมหาเหตุผลบอกเธอไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม เพราะ ดุจดาวนั้นไม่เคยได้ทราบเลยว่า ผมทำอะไรมาบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา ภาพที่เธอมองผมคือภาพของสามีที่รักและซื่อสัตย์กับชีวิต ครอบครัวเท่านั้น พฤติกรรมในที่ทำงานของผมเธอไม่เคยทราบมาก่อน ผมขับรถเลยทางเข้าบ้าน มุ่งหน้าไปต่างจังหวัด พัทยาน่าจะเหมาะสำหรับการเก็บตัวของผม สมองนึกทบทวนถึงบรรดาเพื่อน ๆ ของผม ว่าจะมีใครพอจะช่วยให้ผมกำจัดรอยสักแมงมุมน่าเกลียดตัวนี้ออกไปจากใบหน้าผมได้ ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งได้ ที่มันเปิดคลีนิคเกี่ยว กับความงาม ทั้งขัดหน้าลบรอยแผลเป็น ทั้งลดน้ำหนักขัดผิวจิปาถะ แม้เพื่อนผู้นี้ไม่สนิทกันขนาดที่ผมจะวางใจเล่าความลับทุกเรื่องได้ แต่อย่างน้อย ในเวลานี้ มันน่าจะช่วยเหลือผมได้บ้างตามสมควร แม้ผมจะเลวทรามต่ำช้า ชอบเอาเปรียบกับเพศตรงข้ามเสมอมา แต่สำหรับเพื่อน ๆ ผมก็ยังมีดีพอที่จะทำให้เพื่อนไม่ลำบากใจเมื่อถูก ผมร้องขอให้ช่วยเหลือ เพื่อนคนนี้ก็เช่นกัน ครั้งแรกที่มันเห็นรอยสักบนใบหน้าของผม มันถึงกับตะลึง และไม่ได้ซักถามให้ผมต้องลำ บากใจเลยว่า ผมไปได้รอยสักอุบาทแบบนี้มาจากไหน และด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนคนนี้ ทำให้ผมกลับมามีความหวังกับชีวิตอีก ครั้งหนึ่ง แม้ค่าใช้จ่ายที่ผมจะต้องจ่ายออกไปจะสูงมากก็ตามที ......................................................................................................................................................... หนึ่งปีผ่านไป ที่ผมหายตัวไปอย่างลึกลับ ผมโทรศัพท์ติดต่อไปหาดุจดาวเพียงครั้งเดียวหลังจากคืนที่เกิดเรื่องผ่านมาได้สามวัน จวบจน บัดนี้ ผมกลายเป็นนายยิ่งยอดคนใหม่ ใบหน้าที่ได้รับการผ่าตัดจากหมอศัลยกรรมความงาม ทำให้รอยสักอุบาทนั้นหายไปจากใบหน้าผม พร้อมกับใบหน้าที่ถูกตกแต่งขึ้นมาใหม่ ทำให้ผมดูหนุ่มขึ้น หล่อขึ้นกว่าเดิม บัดนี้ผมพร้อมแล้วที่จะออกไปสู่โลกข้างนอก หลังจากที่ทน อุดอู้ ใช้ชีวิตอยู่ภายในโรงพยาบาลมาแรมปี ผมอยากจะโทรหาดุจดาวภรรยาผมใจแทบขาด ทั้งรักและคิดถึง ผมตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า ผมจะกลับตัวเป็นคนดี จะซื่อสัตย์ต่อความรักที่ ดุจดาวมีต่อผม อีกทั้งผมต้องสืบให้รู้แน่ชัดว่า แพรไหมนั้นเป็นลูกสาวของผมที่เกิดจากพรจริงหรือไม่ และถ้าเป็นจริง ผมจะชดใช้หนีบาป ให้กับเธอ ผมจะเป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ซื่อสัตย์ ผมรู้สึกตื่นเต้นใจจนมือที่จับพวงมาลัยรถนั้นชื้นเต็มไปด้วยเหงื่อ อีกไม่เกินชั่วโมงผมจะได้กลับมายังบ้านที่จากไปนาน กลับมาหาดุจดาว ภรรยาที่รัก ผมจะสารภาพความผิดทั้งหมดให้เธอรู้และหวังว่าด้วยความรักที่เธอมีต่อผม เธอคงให้อภัย แม้เธอจะทุกข์ร้อนระทมใจ ที่จู่ ๆ ผมหายตัวไปโดยไม่ยอมส่งข่าว เธอคงจำผมไม่ได้แน่ กับใบหน้าที่ดูหนุ่มขึ้น และหล่อขึ้นของผม แต่ผมจะอธิบายให้เธอฟัง ผมคิดวกวน ไปตลอดทางที่ขับรถ รวมทั้งคำพูดต่างๆ ก็ถูกพูดซ้อมขึ้นมาคนเดียว ดั่งคนเสียสติ เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีไปตลอดทาง ผมค่อย ๆ ชลอรถแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังหมู่บ้านขนาดใหญ่ ย่านรามอินทรา ยามรักษาความปลอดภัย ที่ประจำอยู่จุดประตูทางเข้าหมู่บ้าน ยืน ตะเบ๊ะพรึบพรับ พร้อมกับทำหน้าแปลกใจเมื่อมองผ่านกระจกหน้ารถเข้ามายังใบหน้าผม รถของผมมีสติกเกอร์ของหมู่บ้าน หมายเลข ทะเบียนรถตรงกับที่แจ้งไว้ แต่ใบหน้าของผู้ขับรถคันนี้่สิที่ยามของหมู่บ้านคงไม่คุ้นตา จึงยังคงไม่ยกไม้กั้นรถขึ้น แต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่ ไม้ กั้นรถขนาดใหญ่ ค่อย ๆ ถูกลูกรอกยกขึ้นช้า ๆ ให้ผมขับรถผ่านเข้าไป โดยไม่ได้ซักถามอื่นใด ผมขับรถเอื่อย ๆ ช้า ๆ ใจเต้นระทึก ยังเดาไม่ถูกเช่นกันว่าเมื่อดุจดาวเห็นหน้าผม เธอจะดีใจวิ่งตรงเข้ามาสวมกอด หรือร้องให้คนช่วยกัน แน่ ถ้าเป็นประการหลัง ผมคงต้องเสียเวลาอธิบายให้เธอเข้าใจนานหน่อยเป็นแน่ ผมเลี้ยวรถเข้าซอยแยกอีกครั้ง บ้านหลังสุดท้ายด้านขวา ที่มีอาณาบริเวณเนื้อที่เกือบไร่ของผม ยังคงเด่นเป็นสง่า แมกไม้ที่ผมปลูกประดับตกแต่งไว้ ดูโตขึ้น รกไปบ้างเล็กน้อยไม่เป็นระเบียบ เฉกเช่นเมื่อผมยังอยู่ ผมดับเครื่องยนต์รถ ก่อนที่จะถึงบ้าน แล้วปล่อยให้มันไหลไปช้า ๆ ผมอยากทำเซอร์ไพรซ์กับดุจดาว ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมผมจึงมีความ คิดเช่นนี้ มันออกจะเสี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะใบหน้าของผมเปลี่ยนไป ถ้าดุจดาวจำไม่ได้แล้วร้องโวยวายให้คนช่วยเหลือ คงโกลาหลน่าดู เมื่อรถจอดสนิท ผมค่อย ๆ เดินไปที่ประตูอัลลอยบานเล็กด้านข้าง ลองบิดดูเบา ๆ มันไม่ได้ล็อค ผมสาวเท้าเข้าไปช้า ๆ ไม่ได้ยินเสียง อื่นใดลอดออกมาจากภายในบ้าน รถยุโรปขนาดกลางสีบรอนส์ทอง ยังคงจอดอยู่ในโรงเก็บรถอย่างสงบ ผมนึกแปลกใจเล็กน้อย ว่าทำไมจึงไม่ได้ยินเสียงเห่าของเจ้าบิค สุนัขพันธ์ร็อตไวเลอร์ของผม ผมค่อย ๆ เดินเลาะข้างบ้านไปยังด้านหลัง กรง เจ้าบิคยังคงอยู่ แต่ไม่มีวี่แววของมัน หรือว่ามันจะเข้าไปในบ้าน แต่ปรกติแล้วผมไม่เคยให้มันเข้าไปในตัวบ้านสักครั้ง หรือว่าดาวอาจ กลัวอันตรายในช่วงที่ผมหายตัวไป จึงเอาเจ้าบิคเข้าไปอยู่เป็นเพื่อน..... ผม เดินตรงไปที่ประตูครัวที่เปิดทะลุออกมาด้านหลังบ้านได้ ขยับลูกบิดเบา ๆ มันไม่ได้ล็อคไว้ ผมเปิดช้า ๆ เพื่อมิให้มีเสียง เดินตรงเข้า ไปผ่านห้องครัวก็จะพบห้องอาหาร ผมมองเห็นจานอาหารเช้าสามที่วางอยู่บนโต๊ะ เศษขนมปังและไส้กรอกที่ยังทานไม่หมด พร้อมถ้วย กาแฟ ยังไม่ได้ถูกจัดเก็บล้างเข้าที่ นึกแปลกใจว่าปรกติดุจดาว ภรรยาของผม เธอจะจัดเก็บเรียบร้อยทุกครั้งหลังทานเสร็จ เสียงหัวเราะเบา ๆ แว่วลงมาจากชั้นบนของบ้าน เป็นเสียงใส ๆ ของดุจดาวแน่นอน อย่างน้อยผมก็ยังใขชื้นขึ้นมาได้ว่า ดุจดาวคงยังสุข สบายดี เพราะจากเสียงหัวเราะอันแสดงถึงความสุขของเธอ ผมค่อย ๆ ย่องขึ้นบรรไดไปทีละขั้น ๆ เสียงหัวเราะด้วยความสุขของดุจดาว เริ่มดังชัดขึ้น ๆ "อย่าเล่น....ไม่เอาแล้ว ดาวเดียม ๆ ว๊าย ๆ ๆ อิอิอิ" เสียงที่ดังรอดออกมาจากห้องนอนของผมนั้น ทำให้ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่หน้าประตู ไม้สักบานใหญ่ เหงื่อกาฬไม่รู้มาจากไหน ไหลหลั่งออกมาจนใบหน้าของผมชุ่มฉ่ำ "อูยยยยยเอกขา.........ไปโกนหนวดก่อนสิคะ.ดาวแสบแก้มไปหมดแล้ว...." เสียงที่แว่วออกมาจากภายในห้อง ทำให้เลือดภายในกาย ผมเย็นเฉียบ.............. ดาวมีผู้ชายอยู่ในห้องหรือ ดาวภรรยาที่แสนซื่อจงรักภักดีของผม กำลังคบชู้หรือ.......หลาย ๆ คำถามประดังเข้ามาจนผมรู้สึกสมองหมุน ติ้ว น้ำตาเจ้ากรรมมันไหลออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว ตัวผมสั่นสะท้าน เพิ่งรู้สึกตัวเลยว่า ความเจ็บปวดที่รู้ว่าเมียรักนอกใจ มีชายชู้มากกกอด นั้นเป็นเช่นใด ผมลองใช้มือขยับลูกบิดเบา ๆ มันล็อคจากภายใน ผมเกือบจะเคาะแรง ๆ ให้คนข้างในออกมา อยู่แล้ว แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมา ได้ว่า บัดนี้รูปหน้าของผมเปลี่ยนไป ผมไม่ใช่ยิ่งยอดคนเดิม ถ้าเผื่อว่าดุจดาวจำไม่ได้ คิดว่าผมเป็นคนร้าย เธอและชายชู้อาจทำร้ายผมก็ ได้เช่นกัน ผมยืนหันรีหันขวาง รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านหาทางคิด ลองเดินไปห้องตรงข้ามซึ่งเคยเป็นห้องว่างเปล่า ผมทดลองบิดล็อคประตู โชคเข้าข้างผม ห้องนี้ไม่ได้ล็อคไว้ ผมรีบเดินตรงเข้าไปประตูบานเลื่อนกระจกสีเขียว เปิดมันออกมาอย่างรีบ ร้อนก่อนออกไปยืนที่ระเบียง ระเบียงของห้องนี้ แม้ไม่ได้เชื่อมกับระเบียงห้องนอนผมแต่ก็ไม่ห่างกันมากนัก เพียงเมตรเศษ ๆ เท่านั้น ผมค่อย ๆ ชะโงกหน้าออกไปดูที่ห้องนอนผมด้านหน้า ผ้าม่านหนาทึบยังคงปิดอยู่ พร้อมกับกระจกสไลด์สีเขียวก็ปิดอยู่เช่นกัน มิน่าละ ผมถึงไม่ได้ยินเสียงใด ๆ รอดออกมาจากห้องเมื่อครั้งที่ผมยังอยู่ด้านนอกบ้าน ผมปีนขึ้นไปเหยียบระเบียงเหล็กดัด ลองก้าวขายื่นออกไปวัดระยะห่าง มันกว้างเกินกว่าผมจะเหยียดขาถึง ผมไม่มีทางข้ามไประเบียงห้อง นอนของผมเงียบ ๆ แน่ นอกเสียจากต้องกระโดดข้ามไป ซึ่งดุจดาวและชายชู้ต้องได้ยินเสียงแน่

ไม่มีความคิดเห็น: