“เฮ้...เจส...แคธี่มาแล้วนั่นไง...โอ้โห...สวยขึ้นเป็นกอง”
สาวผมแดงใบหน้าคมคายสะกิดเพื่อนสาวผมทองที่กำลังเลือกๆ
หยิบๆ
โบรชัวร์แนะนำการท่องเที่ยวที่เสียบเอาไว้บริการนักท่องเที่ยว
ณ
เคาน์เตอร์บริเวณลอบบี้ที่อยู่ภายในโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางกรุงนิวยอร์ค
ให้มองไปยังทิศทางของประตูทางเข้าด้านหน้าซึ่งเป็นประตูอัตโนมัติทรงกลมที่
หมุนอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งในตอนนั้นเป็นจังหวะที่ประตูหมุนเปิดออก
พร้อมๆ
กับส่งคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาภายในอาคารที่มีการตกแต่งอย่างหรูหราตระการตา
สาวผมทองที่ตัดสั้นรับกับใบหน้าสวยปราดเปรียว
เหลือบตาสีมรกตของเธอมองไปยังทิศทางที่เพื่อนสะกิด
แล้วก็ต้องร้องฮูเร้ดังลั่น
วิ่งเข้าไปหาหญิงสาวร่างบางที่กำลังเดินตรงเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม
“แคธี่....โอว์....แคธี่จริงๆ
ด้วย...บราโว...ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ....แหม...ขอยืมคำของมาร์ธ่าหน่อยเถอะ
...เธอสวยขึ้นจนจำแทบไม่ได้แน่ะ...”
ใบหน้างามของผู้ที่เข้ามาใหม่ก็แดงระเรื่อ
ดวงตากลมโตเปี่ยมไปด้วยประกายตาแห่งความปิติยินดี
“เจส...มาร์ธ่า...ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกันอีก”
สามสาวผลัดกันกอดรัดชื่นชมซึ่งกันและกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
เสียงหัวเราะทักทายประสานดังสดใสนั้นช่วยทำให้บรรยากาศในล๊อบบี้หรูดูงดงาม
และเปี่ยมไปด้วยสีสรรอันน่าตื่นใจไปกว่าเดิม
แขกเหรื่อที่เดินไปเดินมาในบริเวณนั้นน้อยคนนักที่จะอดใจไม่ให้หันมามองดู
สามสาวด้วยแววตาอันชื่นชมได้
“ไปกันเถอะ..ฉันจองโต๊ะเอาไว้แล้ว…หิวจะแย่...”
สาวผมทองกล่าวเสียงครึกครื้น
เดินจูงมือสาวผมดำร่างบางเล็กที่สุดในกระบวนสามสาวเดินตรงเข้าไปด้านใน
ผ่านทางเดินที่ปูลาดด้วยหินอ่อนสีดำตัดเทา
ตรงด้านข้างของผนังตลอดเส้นทางนั้นมีลวดลายแบบ
Post Modern Art
อันสวยงามแปลกตาที่เข้ากันได้กับสถาปัตยกรรมของอาคารซึ่งเป็นทรงร่วมสมัยยุค
วิคตอเรียได้อย่างน่าประหลาด
ทางเส้นนั้นนำเรื่อยไปจนเข้าไปถึงห้องอาหารขนาดใหญ่ที่ตกแต่งบรรยากาศภายใน
โดยรอบด้วยศิลปะแบบอิตาเลี่ยนไสตล์ดูสอดคล้องเหมาะเจาะกลมกลืนไปกับความ
หรูหราของแนวความคิดกรอบการดีไซน์แบบผสมผสานที่โรงแรมสุดหรูนี้มอบความ
ประทับใจให้กับแขกผู้มาเยือนเสมอมา
ด้วยความที่ทั้งสามเพิ่งมีโอกาสมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนาน
หลายปี
ทำให้เสียงใสที่พูดคุยสนทนากันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหัวข้อของการถามไถ่สาร
ทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน
เมื่อสนทนากันไปจนอิ่มอกอิ่มใจแล้วช่วงใหญ่
สาวผมทองก็เพิ่งจะได้มีช่องพูดถึงสิ่งที่เธอมองเห็นอยู่ตรงหน้า
ซึ่งเธอมองไปใบหน้าอันงามของเพื่อนผู้มีผมดำตาดำสนิทอย่างยิ้มแย้มพลางว่า
“แคธี่...ฉันว่าเธอดูหน้าซีดๆ
ตาคล้ำไปหน่อยนะ...เครียดกับงานมากไปหรือเปล่า…ที่รัก”
ขณะที่พูด
สตรีผู้มีตาสีเขียวมรกตเอื้อมมือมากุมไปที่มือบางของหญิงสาวเพื่อนรักของ
หล่อนผู้ซึ่งถือกำเนิดมาจากอีกซีกโลก
แต่มีอันต้องโคจรมาเป็นเพื่อนรักกันสมัยที่พวกเธอเรียนหนังสือกันอยู่ที่คอ
เนล
“ไม่รู้สิเจส...ฉันนอนไม่ค่อยหลับกระมัง...”
สาวผู้มีผมสีดำเป็นมันวาวยาวเคลียไหล่ลาดงามนั้นพูดเบาๆ
และด้วยวิสัยของอิสตรีทำให้เธออดที่จะต้องเปิดกระเป๋าหยิบตลับแป้งขึ้นมา
ส่องหน้าไม่ได้ สาวผมทองหัวเราะคิกคัก
“โนๆ...พรีสด้อนวอรี่...ที่ฉันใช้คำว่าหน้าเซียว...แต่เธอก็สวยเกินพอที่จะทำให้หนุ่มๆ
ที่นี่คอเคล็ดกันเป็นแถวแล้วล่ะจ้ะ...”
เธอพูดจบก็ยกมือปิดปากหัวเราะร่วน
พร้อมทั้งกวาดตามองไปรอบๆ
ตาเขียวมรกตนั้นส่ายยั่วเย้า
ทำให้สายตาของหนุ่มๆ
ที่มองมาหลบวูบกันไปเป็นแถว
หญิงสาวก็เลยยิ่งหัวเราะออกมาเสียงดังขึ้นไปกว่าเดิมอีก
“นั่นสิ...ถึงว่าหน้าขาวเป็นกระดาษเชียว...ว่าแต่ที่นอนไม่หลับนี่เป็นเพราะคิดถึงหวานใจหรือเปล่าจ๊ะ...ท่านประธานแคท...”
เจสสิก้าพยายามกลั้นหัวเราะ
แต่เสียงที่ออกมานั้นก็ยังกลั้วไปด้วยอารมณ์ที่ยั่วเย้า
พร้อมๆ
กับใช้แววตาล้อเลียนมองไปยังใบหน้างามของเพื่อนรักผู้มาจากประเทศไทย
ทำให้สาวผมแดงที่กำลังรินไวน์สีสดลงแก้วให้กับตัวเองและเพื่อนทั้งสองคนพลอย
ยิ้มไปด้วย
อรชาหรือผู้ที่เพื่อนๆ
ร่วมชั้นเรียกว่า..แคธี่
หรือแคท..ซึ่งย่อมาจากคำว่าแคทเธอรีนอีกทีหนึ่งเพราะสมัยที่รู้จักกันใหม่ๆ
เวลานั้นเพื่อนถามว่าชื่อของเธอแปลว่าอะไร
ซึ่งหญิงสาวตอบว่า
“เอ่อ...ประมาณว่า...ผู้ปราศจากมลทิน...อะไรทำนองนี้แหล่ะ”
เจสสิก้ารูมเมท
ตีมือกับหัวเข่าดังฉาดใหญ่
ตอนนั้นเธอสรุปอย่างกระตือรือร้น
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันตั้งชื่อใหม่ให้เธอว่า...แคทเธอรีนนะ...เหมาะมาก...สวยบริสุทธิ์สมกับตัวเธอเลย…แคธี่”
เพื่อนๆ
ร่วมชั้นต่างเห็นดีด้วยกับความคิดของสาวมั่นผู้เป็นลูกสาวคนเดียวของมหา
เศรษฐีชื่อดังเจ้าของโรงแรมเครือใหญ่อันดับหนึ่งของรัฐเทกซัส
ดังนั้นอรชาจึงได้รับการเรียกขานว่า
“แคธี่” นับแต่นั้น
หลังจากจบงาน
Road Show ที่ซานฟรานซิสโก
อรชาก็มีธุรกิจต้องติดต่อกับลูกค้าต่างประเทศ
รวมไปถึงการมีนัดแวะดูงานการจัดการโรงแรมของพันธมิตรการค้าของเธอ
ซึ่งอรชาต้องการให้ทีมงานที่ติดตามเธอมาหลายคนได้มีโอกาสและประสบการณ์ในการ
ศึกษารูปแบบการจัดการของโรงแรมชั้นนำมีชื่อเสียงเหล่านั้น
เพื่อนำกลับเอาไปปรับใช้ในการบริหารงานโรงแรมในเครือคัทธลียาของตนเอง
ตอนนี้หญิงสาวบินข้ามฟากจากฝั่งตะวันตกมายังตะวันออกที่นิวยอร์คเพื่อเจรจา
ธุรกิจกับคู่ค้าอีกรายหนึ่ง
และเนื่องจากเจสสิก้าซึ่งแต่งงานกับนักธุรกิจท้องถิ่นที่นิวยอร์คแห่งนี้
เป็นเพื่อนสาวที่อรชาสนิทด้วยกันที่สุดและยังเป็นรูมเมทอยู่ด้วยกันเกือบสอง
ปี ความสนิทสนมของสองสาวคู่นี้สมัยเรียนหนังสือที่คอแนล
เรียกได้ว่าเห็นเจสที่ไหนก็ต้องเจอแคธี่ที่นั่น
ดังนั้นสองสาวจึงตกลงนัดเจอกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีตั้งแต่แยกจากกันไป
และช่วงเวลานั้นเหมาะเจาะพอดีกับที่เพื่อนอีกคนหนึ่ง...มาร์ธา...เดินทางมา
ทำธุระที่นิวยอร์คพอดี
สามสาวเลยมาจอยกันที่โรงแรมหรูแห่งนี้
ตอนนั้นอรชาหรือ
“แคธี่” ของเพื่อนทั้งสองฝืนยิ้มออกมา
ใบหน้างามแดงระเรื่อ
“บ้าน่า...เจส...ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย”
มาร์ธาเลื่อนแก้วไวน์ให้กับเพื่อน
ถึงแม้เธอจะไม่ใช่รูมเมทกับสาวน้อยที่มาจากประเทศไทยเหมือนเจสสิก้า
แต่เพราะกิริยามารยาทอันงาม
และนิสัยที่อ่อนโยนน่ารักของอีกฝ่ายนั้นทำให้เพื่อนๆ
ทุกคนรัก “แคธี่” ตัวเล็กๆ
คนนี้ด้วยกันทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าตัวของ “แคธี่”
จะมีอันที่ต้องเลิกเรียนกลับไปกลางคันก็ตาม
แต่ก็ยังมีการติดต่อส่งข่าวซึ่งกันและกันอยู่เสมอมา
ซึ่งมาร์ธายังจำได้ดีถึงวันที่ต้องร่ำลากันด้วยน้ำตา
เศร้าทั้งที่ต้องลาจากกันไปและเศร้าทั้งข่าวร้ายที่มาเยือนจากแดนไกลนั้น
“เจส...ปากหล่อนนี่...เหมือนเดิมไม่ผิดเลยนะ...”
สาวสวยผมแดงซึ่งมีกิจการโรงแรมส่วนตัวเล็กๆ
แห่งหนึ่งในรัฐแมรี่แลนด์ที่ซึ่งไม่ไกลจากนิวยอร์คนี้เท่าไหร่นักกล่าวค่อน
ขอดเพื่อนร่วมชั้นเรียน
เจสสิก้าหัวเราะเสียงดัง
“ใครว่าจ๊ะ...ฉันพูดความจริง...สาวโสดอย่างเธอคงไม่เข้าใจ...ถ้าลองเธอแต่ง
งานดูสิ...กลิ่นฮันนีมูนยังไม่จางเลยก็ต้องมีอันให้ห่างจากสามีข้าวใหม่ปลา
มันแบบว่าคนละทวีปอย่างแคธี่แล้วยังใจแข็งไม่เป็นโรคคิดถึงหวานใจก็ให้มัน
รู้ไป”
มาร์ธาส่ายหัว
หันไปยิ้มกับอรชา
“อย่าไปถือสาปากของแม่เจสเลยนะ...แคธี่”
อรชายิ้มออกมาให้กับเพื่อนสนิททั้งสองคน
ความรู้สึกเก่าๆ
ที่หวนให้ระลึกถึงทำให้จิตใจที่หนักอึ้งมาตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาผ่อน
คลายลงไปอย่างมาก
เจสสิก้าใช้มีดหั่นเนื้อเสต๊กชิ้นนุ่มตรงหน้าส่งเข้าปากเคี้ยวตุ๊ยๆ
อย่างอร่อยขณะที่ถาม
“ทริปนี้ของเธอ...แคธี่...เป็นยังไงบ้าง...ประสบความสำเร็จดีไหม?”
“ฮื่อ...ก็ดี...พรุ่งนี้ฉันมีนัดคุยกับทางเพนนิซูล่าเกี่ยวกับเรื่อง
promotion package
ที่โรงแรมฉันกำลังจะเริ่มโครงการกับเขาด้วย”
อรชาพูดจบก็ใช้ช้อนตักสลัดผักเข้าปาก
เคี้ยวผักสดกรอบคำเล็กๆ
นั้นด้วยกิริยาอันงามตา
เจสสิก้ากับมาร์ธายิ้มให้กันแล้วฝ่ายหลังพูดขึ้นว่า
“แหม..ฉันนี่อิจฉาเธอจริงๆนะ...แคธี่...ทำไมกิจการของเธอมันช่างรุดหน้าไปไว
กว่าเพื่อนฝูงถึงขนาดนี้...ดูแต่โรงแรมของฉันสิ...เป็นแค่ตึกเก่าๆ
เสร็งเคร็งจุคนได้ไม่ถึงร้อยเองมั้ง”
สาวผมแดงพูด
แต่น้ำเสียงล้อๆ
นั้นไม่ได้จริงจังกับคำพูดนัก
มิหนำซ้ำใบหน้ายังแสดงถึงความยกย่องด้วยใจจริง
อรชาสั่นศีรษะแรงๆ
จนผมดำเคลียไหล่นั้นพลิ้วไหวเป็นคลื่นงามล้อกรอบหน้าอันเปี่ยมเสน่ห์รัดรึงใจ
ก่อนจะหันไปมองสาวผมทอง
แล้วว่า
“ใครว่ากันจ๊ะ....โรงแรมของฉันน่ะเทียบโรงแรมของเจสเขาได้ที่ไหน...”
เจสสิก้าโบกไม้โบกมือวุ่นวาย
“โธ่...อย่ามาถ่อมตัวไปหน่อยเลย...ที่รัก...นั่นมันโรงแรมของพ่อฉัน...ใช่
ของฉันซะที่ไหนกัน...แคธี่จ๋า...ใครๆ
เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหล่ะ...ในกระบวนคนร่วมชั้นเดียวกันไม่มีใครประสบความ
สำเร็จเท่าเธอแล้ว”
มาร์ธาผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง
จากนั้นชูแก้วในมือขึ้น
ร้องเสียงใส
“ดื่มให้แคธี่คนเก่งของเรา...”
เจสสิก้าหัวเราะคิกคักชอบใจยกแก้วขึ้นบ้าง
ทำให้อรชาอดหัวเราะตามไม่ได้ต้องยกแก้วขึ้นชนกับเพื่อนทั้งสองเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
สามสาวยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากพร้อมๆ
กัน ใบหน้าขาวของสาวผมทองนั้นมีสีสดงามขึ้นมาทันตา
ขณะที่มาร์ธ่าเองก็ใช่ย่อยใบหน้าสวยของเธอนั้นเป็นประกายจัดรับกับผมสีแดง
สวยเป็นมันระยับ
แต่ทว่าในเวลานั้นสายตาของใครอีกหลายๆ
คนโดยรอบ
ต่างจับจ้องมองมุ่งตรงไปยังใบหน้าของสาวผมดำที่น้ำสีสดนั้นก่อให้เกิดริ้วสี
แดงซ่านขึ้นตรงแก้มใสกันแทบเป็นจุดเดียว
ซึ่งสองสาวร่วมโต๊ะนั้นมองตากันต่างฝ่ายต่างยิ้มย่องผ่องใส
และเป็นเจสสิก้าสาวผมทองผู้มีปากไวเลื่องลือไปทั่ว
หันไปหลิ่วตาให้ชายหนุ่มผมทองที่มอง
“แคธี่” ของเธอตาหวานเลี่ยน
ปากหัวเราะร่วน
“เสียใจเพื่อน...กุหลาบงามดอกนี้มีเจ้าของแล้ว”
เธอว่าพลางหยิบมือเล็กบางด้านซ้ายของอรชาขึ้นมาชี้ให้เห็นเพชรน้ำงามเม็ดเล็กจิ๋วทว่าน้ำงามเป็นประกายพราวล้อแสงไฟระยับตา
หนุ่มหล่อผมทองนั้นหน้าม้านไปทันที
เพราะมัวแต่ตะลึงมองวงหน้าอันงดงามโดยลืมดูไปว่านิ้วนางข้างนั้นมีเจ้าของตีตราจองไว้แล้ว
อรชาใบหน้าแดงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีก
รีบดึงมือกลับ ดุเพื่อนรักตาโต
“เจสนี่...อะไรกัน...เซี้ยวใหญ่แล้ว”
เจสสิก้าหัวเราะร่วนชอบอกชอบใจ
มาร์ธาเองก็ผสมโรงหัวเราะไปด้วย
แต่เพราะเห็นเพื่อนรักอายจนหน้าแดงก็เลยช่วยแก้ให้โดยการเปลี่ยนเรื่องเป็น
ถามไถ่เกี่ยวกับครอบครัวของอีกฝ่ายแทน
ซึ่งแคธี่ของพวกเธอก็ยิ้มสดใสเล่าเรื่องของน้องสาวทั้งสองให้ฟังอย่างกระตือ
รือร้น
“น้องสาวคนกลางของฉันซนเหลือขนาด...พวกเธอรู้ไหม...นุช...น้องสาวของฉันน่ะ
ตอนนี้เครซี่เรื่องปืนแบบว่า...เป็นเอามากเลย...ยืนปืนเล่นจนบางวันกลับมา
บ้าน...เหม็นกลิ่นควันปืนตามเสื้อผ้าที่สุดเลย...”
อรชาพูดไปยิ้มไป
เธอมีความสุขเสมอที่ได้พูดถึงน้องสาวอันเป็นที่รักทั้งสองคน
เจสสิก้าฟังแล้วผงกศีรษะหงึกหงัก
“แหม...ไม่เห็นแปลกเลยนี่นา...ดีซะอีกผู้หญิงอย่างเราต้องแสดงให้เห็นว่าไม่
เป็นรองผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น...อยากให้น้องสาวเธอมาที่นี่จัง...นายโทนี่
...เพื่อนสมัยเด็กๆ
ของฉันน่ะ...ตอนนี้เป็นเจ้าของคอกปศุสัตว์...นายนั่นน่ะดูถูกผู้หญิงเหลือ
เกิน...บอกว่าอ่อนแออย่างนั้น...เหยาะแหยะอย่างนี้...ไอ้เรื่องปืนผาหน้าไม้
กับฉันน่ะถูกกันที่ไหน...เลยเจอไอ้หมอนั่นเกทับตลอด...ถ้าน้องสาวเธอมา...
ฉันจะได้ยุส่ง...ให้รู้ว่าผู้หญิงเราถ้าจะเอาดีทางไหนก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ...
จะได้ตอกหน้าแงนายโทนี่ให้เจ็บไปเลย”
เจสสิก้าพูดอย่างยืดยาว
พูดไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไป
จนอรชาและมาร์ธาอดที่จะหัวเราะไม่ได้
เสียงหัวเราะของสามสาวประสานกันดังสดใส
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหารกลางวันมื้อนั้น
สำหรับชายหนุ่มหลายๆ
คนในบริเวณโดยรอบโต๊ะของสามสาวสวยจะรู้สึกเจริญอาหารเป็นพิเศษ
เพราะมีอาหารตาเป็นเครื่องเคียงชั้นเลิศอย่างนั้น
ความจริงอรชานั้นกำลังมีความรู้สึกแจ่มใสเบิกบานใจอย่างที่สุด...หลายๆ
วันที่ผ่านมานั้นเธอไม่เคยรู้สึกดีเช่นนี้มาก่อนเลย
แต่น่าเสียดาย...ความเบิกบานใจนี้มันช่างมีอายุที่สั้นเหลือประมาณ...
เพราะในวินาทีถัดไปอะไรบางอย่างที่มันเสียววาบขึ้นมากลางอกจนใจหาย
ความรู้สึกโหวงเหวงเหมือนราวกับว่าเธอนั้นพลัดตกลงมาจากที่สูง
จมดิ่งลงไปในห้วงมหรรณพอันหาที่หยั่งยึดไม่ได้
ความรู้สึกที่วาบหวิวจนจับขั้วหัวใจนั้นทำให้มือบางงามที่วางอยู่บนโต๊ะ
สะท้านไหว
จนเคลื่อนกระตุกไปกระแทกแก้วทรงสูงที่วางอยู่ข้างตัว
เพล๊ง!!!
แก้วเนื้อบางทรงสูงที่ตกลงกระทบพื้นนั้น
แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ
น้ำสีสดภายในนั้นกระฉอกออกมากระจายนองอยู่บนพื้น
เสียงอันดังเสียดแก้วหูทำให้บรรดาคนที่นั่งกินอยู่แถวนั้น
ต้องหันขวับมามองอย่างตกใจ
คนทำให้เกิดเสียงดังเปรื่องปร่างนั่งหน้าซีด
ก้มศีรษะถี่ถี่ไปรอบๆ
ตัวเป็นเชิงขอโทษต่อการกระทำของตนเอง
เจสสิก้าและมาร์ธาเบิกตากว้าง
สาวผมทองกุมไปที่มือของอรชา
“แคธี่..เธอเป็นอะไรไป?”
เสียงรุมถามมานั้นดังอย่างตกอกตกใจ
อรชาใบหน้าขาวเผือดลงฉับพลัน
ส่ายศีรษะไปมาช้าๆ
ดวงตาคู่งามนั้นเลื่อนลอย
ความรู้สึกหวิวๆ
นั้นยังจับไปที่ขั้วหัวใจอยู่
มือชาเท้าชา ร่างบางนั้นสั่นระริกราวกับจับไข้
ในช่วงขณะนั้นเธอเองก็หาคำตอบให้กับเพื่อนรักไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“มะ..ไม่รู้สิ...อยู่ดีๆ...มือมันก็กระตุกไปเอง”
ขณะที่มาร์ธากวักมือเรียกบริกรให้รีบมาทำความสะอาดพื้นโต๊ะกับจัดการเศษแก้ว
ที่แตกละเอียดอยู่ตรงพื้นห้อง
เธอก็จ้องไปที่หน้าขอเพื่อนรักอย่างกังวล
“เฮ้...ที่รัก...หน้าเธอซีดมากเลยนะ...เจส...พาแคธี่ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเถอะ”
สาวผมแดงบอก
เจสสิก้าผงกศีรษะเห็นด้วย
ผุดลุกขึ้นดึงมือบางของอรชาให้ลุกตามออกมา
หญิงสาวเกรงใจเพื่อนขยับปากจะปฏิเสธ
แต่เพื่อนรักกระซิบ
“มาเถอะ...แคธี่...ใครๆ
มองดูเธอกันใหญ่แล้ว”
อรชาเหลียวมองไปรอบๆ
ตัวก็แลเห็นสายตาหลายคู่จับจ้องมา
ใบหน้าซีดนั้นแดงขึ้นเล็กน้อย
เห็นด้วยกับคำชักชวนนั้นทันที
เจสสิก้าเดินจูงเพื่อนผู้มาจากเมืองไทยไปที่ล๊อบบี้
และหามุมเงียบๆ
พาอรชาไปนั่งลงและทรุดนั่งข้าง
ๆ กอดเพื่อนรักเอาไว้แน่นอย่างเสน่หา
“เป็นไรฮึ...แคธี่...บอกฉันมาตามตรงเถอะ…ฉันสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วล่ะ...ว่าเธอจะต้องมีอะไรในใจแน่ๆ”
สีหน้าของสาวสวยผมทองไม่มีแววขี้เล่นอีก
ใบหน้าสวยนั้นเคร่งขรึมจริงจัง
ดวงตาสีมรกตนั้นมีแววของความเป็นห่วงอย่างลึกซึ้ง
อรชาฝืนยิ้มอย่างแห้งแล้งเต็มที
สภาพที่เห็นนั้นดวงหน้าบางใสเต็มไปด้วยริ้วรอยของความเหนื่อยล้า
เป็นภาคที่หญิงสาวน้อยครั้งจะแสดงออกมาให้คนภายนอกได้เห็น
ภายใต้ภาพของหญิงสาวที่สง่างามโดดเด่นและมีความมั่นอกมั่นใจ
ดูประหนึ่งว่าจะสามารถรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างมีสติและสัมปะ
ชัญญะได้ทุกครั้งไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่โตเพียงไร
ทว่าโดยความจริงนับตั้งแต่ต้องเข้ามารับช่วงกิจการของบิดาตั้งแต่วัยเยาว์
มาก หญิงสาวก็ต้องเรียนรู้งาน
เรียนรู้ธุรกิจ
เรียนรู้จากของจริงซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เธอเคยเก่งกาจนักหนาในทำข้อสอบและ
หาข้อมูลเพื่อทำงานโปรเจคส่งอาจารย์
และที่สำคัญที่สุด
ลำบากยากเข็ญที่สุดยิ่งไปกว่าการเรียนรู้การบริหารงานกิจการของโรงแรมใน
เครือที่มีความซับซ้อน
นั้นคือการที่เธอต้องเผชิญกับการคน
กับมนุษย์ที่มีจิตใจยอกย้อน
การคบหาที่มีผลประโยชน์เป็นเดิมพัน
สิ่งเหล่านี้ถาโถมเข้ามาหาอรชาผู้ซึ่งไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน
ดังนั้นหญิงสาวที่แม้ว่าเนื้อแท้จะเป็นนักสู้ไม่เคยยอมท้อถอยแค่ไหนก็ต้อง
อ่อนแรงและเหนื่อยล้า
บ่อยครั้งเมื่อยามที่อยู่ตามลำพังในที่อันเป็นส่วนตัว
ใบหน้าที่งามซึ้งนั้นจะพาดผ่านไปด้วยริ้วรอยแห่งความเหน็ดเหนื่อย
แต่ภาระของความเป็นผู้นำ
เป็นผู้กุมบังเหียนกิจการที่ได้รับตกทอดจากบิดา
เป็นประมุขคนถัดไปของครอบครัว
ที่ต้องดูแลน้องสาวสองคนและบริวารนับหลายสิบชีวิต
ยังไม่รวมพนักงานอีกหลายร้อยคน
ผู้ซึ่งคนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติสุขภายใต้การนำทางของบิดาเธอ
ซึ่งอรชาปฏิญาณว่าจะต้องทำให้ได้อย่างน้อยเทียบเท่าสิ่งที่บิดาเธอได้ทำเอา
ไว้จะไม่ยอมให้ใครๆ
ตราหน้าว่าลูกสาวคนนี้ของคุณพ่อไม่มีความสามารถดูแลงาน
ดูแลคนของท่านเป็นอันขาด
ภาระเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่อรชาบอกกับตัวเองเสมอมาว่าเธอล้มไม่ได้...
ยามอรชารู้สึกอ่อนแรง
สิ่งที่กระตุ้นให้เธอฮึดสู้และพยายามทบทวนความผิดพลาดเพื่อก้าวเดินต่อไป
นั้นก็คือกำลังใจที่เธอมีจากน้องรักทั้งสองอย่างเต็มเปี่ยม
สายตาที่เทิดทูนและความเชื่อมั่นของน้องสาวประดุจเกราะกำบังภัยชั้นดีที่
หญิงสาวสามารถสวมใส่เพื่อเข้าต่อกรกับปัญหานานับประการ
และหญิงสาวค่อยๆ
เรียนรู้ความสามารถที่จะซุกซ่อนความอ่อนไหว
ความรู้สึกเหนื่อยล้าเอาไว้ภายใต้อาการอันสงบเยือกเย็น
และมีบุคลิกภาพในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆ
อย่างนุ่มนวลมีสติ
ซึ่งคนภายนอกไม่มีวันจะแลลึกเข้าไปมองเห็นตัวตนของหญิงสาวที่ยังอยู่ในช่วง
วัยอันเยาว์เหลือเกินที่ต้องเข้ามารับผิดชอบกับภาระอันหนักอึ้งที่โถมเข้ามา
อยู่กดดันตรงสองบ่าเล็กๆ
ของเธอ
ภาระ...หน้าที่...สิ่งเหล่านั้นมันเป็นความกดดันที่ทำให้อรชาต้องตัดสินใจ
หันหลังให้กับความสดใส..ความร่าเริงของหญิงสาวที่กำลังเปี่ยมไปด้วยความ
รู้สึกอันร้อนแรง....และความรัก...
เกราะที่อรชาสร้างขึ้นมาพันธนาการตัวเอง
มันช่วยให้เธอฝ่าพันอุปสรรคมาได้ก็จริง...แต่ขณะเดียวกันนั้น...มันก็พราก
เอาของล้ำค่าบางอย่างของเธอไปด้วย...
เปลือกนอกแห่งความแข็งแกร่งเคยทำหน้าที่ของมันได้ดีเสมอมา
แต่ขณะนี้เบื้องหน้าเพื่อนผู้ซึ่งเคยคบหากันอย่างสนิทสนม
เป็นรูมเมทด้วยกันตั้งแต่อรชายังเป็นเด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิต
ใช้เวลาอย่างแจ่มใสเบิกบานสดใสอยู่กับสังคมตรงหน้า
ไม่ใช่ผู้นำแห่งกิจการอันใหญ่โตและประมุขของครอบครัวอันมีภาระที่หนักอึ้ง
....อาการอ่อนไหวก็ค่อยๆ
แทรกผ่านเกราะที่เธอสร้างออกมา
จนทำให้ร่างบางนั้นสั่นสะท้าน
ดวงตาคู่งามมีร่องรอยของความหวาดหวั่น
“ฉัน....ฉันรู้สึกเหนื่อยจัง...เจส...ไม่รู้อะไรมันรบกวนจิตใจของฉันมาตั้งแต่ที่ซานฟรานแล้ว...”
เจสสิก้าโอบปลอบเพื่อนรัก
“ที่รัก...ทำใจให้สบายนะ...อย่าไปคิดมาก...เธออาจจะเคร่งเครียดกับงานจนเกินไป”
“ไม่รู้สิ...ทำไมฉันถึงได้อ่อนแออย่างนี้นะ...แย่จริงๆ...”
อรชากล่าวเสียงแหบ
ดวงตาคู่งามนั้นมีร่องรอยแห่งความกังวลใจที่ปิดไม่มิด
ความเสียวสะท้านที่จับจิตใจนั้นยังกรุ่นอยู่ไม่หาย
ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องที่ปรับอากาศจนเย็นเฉียบ
แต่หญิงสาวยังรับรู้ว่าที่กลางหลังนั้นมีรอยชื้นของเหงื่อที่ซึมออกมา
“ฉัน...ฉันไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป...แต่ฉันกลัวเหลือเกินนะ...เจส...กลัวว่าจะต้องสูญเสียคนที่ฉันรักไปอีก....”
พอพูดออกมาถึงตอนนี้
น้ำตาใสๆ ก็ไหลออกมาอย่างหักห้ามใจไม่อยู่
เจสสิก้าตาเบิกโพลงโอบกอดร่างของเพื่อนผู้มาจากเมืองไทยเอาไว้
ใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลอยู่บนแก้มใสนั้นอย่างอ่อนโยน
“ใจเย็นๆ...ที่รัก...คนที่ดีอย่างเธอพระเจ้าต้องคุ้มครอง”
คำพูดของเพื่อนรัก
ทำให้ดวงตาคู่งามของอรชาสั่นระริก
ความหวาดหวั่นขวัญเสียที่มีอยู่ในส่วนลึกนั้น
พลุ่งขึ้นมาราวกับทำนบน้ำแตกสลาย
ปลายจมูกที่โด่งงามแดงก่ำขึ้นทันที
ทำให้เสียงพูดนั้นขึ้นจมูก
“เธอยังจำได้ไหม...เจส..คืนนั้น...คืนก่อนที่ข่าวร้ายจะมาถึงฉัน...เรามี
ปาร์ตี้เล็กๆ กัน
ฉันมีความสุขเหลือเกิน...จนกระทั่งฉันฝันร้ายและตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก...
นั่งร้องไห้...เธอก็ปลอบฉันเหมือนวันนี้...แต่แล้ว...แต่แล้ว...วันรุ่งขึ้น
...วันรุ่งขึ้น...”
อรชาร้องไห้ออกมา
ยังจำได้ติดตา...วันนั้นเป็นวันที่ฟ้าหม่น
เธอตื่นมาอย่างอ่อนระโหย
ดวงตาบอบคล้ำเพราะตื่นตามาตลอดคืน
ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแบบไร้ซึ่งความสุขเบิกบานแจ่มใสที่เคยมีตลอดทั้งวัน
และจนในที่สุด...ข่าวร้ายก็ถูกส่งมาจากเมืองไทย...บิดาเธอประสบอุบัติเหตุ
ร้ายแรง...
ใบหน้างามของเพื่อนสาวผมทองสลดลง...ใช่...ทำไมเธอจะจำไม่ได้...ช่วงหัวค่ำ..
พวกเธอยังสนุกสนานกับการยั่วเย้าเพื่อนสาวถึงของขวัญที่ได้รับมาจากเมืองไทย
...แต่ตกดึก...อรชาในวันนั้นนั่งร้องไห้ตัวสั่นเหมือนกับวันนี้...แต่เจสสิ
ก้าก็ยังพยายามปลอบใจ
“ที่รัก...ไม่เอาน่า...อย่าทำร้ายตัวเองด้วยความกังวลอีกเลย..”
อรชายพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
ริมฝีปากงามสั่นระริก
ความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่ได้แต่เก็บกักเอาไว้ภายในแต่เพียงผู้เดียวระเบิด
ออกมา เสียงของหญิงสาวสั่นสะท้าน
ขาดห้วงเป็นระยะ...
“ฉัน...ฉันทนไม่ไหวแล้วเจส...ฉันจะไม่ยอมสูญเสียคนที่ฉันรักอีก...เธอรู้ไหม
ฉันรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ซานฟราน...และวันนั้นน้องสาวของฉัน...
นุช...เขาประสบอุบัติเหตุขับรถชนข้างทาง...ตอนนั้น...ฉันคิดว่าต้นเหตุแห่ง
ความไม่สบายใจนั้นมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว...แต่จริงๆ...ไม่ใช่...ความรู้สึก
นั้นมันยังวนเวียนอยู่รอบๆ...ฉัน...ฉัน...ทนไม่ไหวแล้ว...ฉันต้องกลับแล้ว
ล่ะ...เจส...ฉันต้องกลับเมืองไทย....ฉันจะไม่ยอมให้ชะตากรรมมาพรากคนที่ฉัน
รักไปจากฉันอีกแล้ว...ฉันไม่ยอม...ไม่มีวันยอม…”
เจสสิก้าโอบปลอบเพื่อนรักที่ใบหน้าพรั่งพรูน้ำตาออกมาอย่างเนืองนองด้วยความสงสารจับใจ
“แต่...เธอยังมีงานต้องทำไม่ใช่หรือจ๊ะ...ที่รัก”
อรชาชะงักไปวูบหนึ่ง
ตระหนักดีว่าการเจรจากับคู่ค้าในระดับนี้
การรักษาเวลาและมาตรรฐานของข้อตกลงเป็นสิ่งที่ถือสา
มันจะไม่มีทางเป็นผลดีกับความร่วมมือในอนาคตเลยถ้าเธอมาเปลี่ยนแปลงกำหนดการ
กระทันหันโดยไม่มีสาเหตุอันควร...
“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคนที่ฉันรักหรอก...เจส...ฉันจะกลับ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
หญิงสาวตกลงใจแล้ว
ใบหน้างามนั้นมีแววตาที่มุ่งมั่น
“เอาเถอะ...แคธี่...”
เพื่อนรักของหญิงสาวยิ้มปลอบใจ
กล่าวเสียงอ่อนหวานพลางยกมือตบอก
“ถึงเพื่อนคนนี้จะทำอะไรให้เธอได้ไม่มาก...แด๊ดดี้ของฉันเขาสนิทกับ
CEO
ของเพนนินซูล่าดี...จะให้แด๊ดช่วยรับรองให้ว่าเธอมีธุระจำเป็นจริงๆ...ไม่
ต้องห่วงนะ...รีบกลับไปเถอะ”
อรชายิ้มออกมาทั้งน้ำตา
กอดเพื่อนที่เธอรักที่สุดเอาไว้
พึมพำ
“ขอบใจมากนะ...เจส...ขอบใจมาก”
เจสสิก้าโอบกอดตอบ
กระซิบที่ข้างหูขาวใส
“ทำใจให้สบายนะ...แคธี่...เชื่อฉัน...พระเจ้าต้องคุ้มครองเธอ...ในท้ายที่สุดทุกอย่างจะต้องลงเอยด้วยดี...”
“ฉันก็หวังเช่นนั้น....เจส”
ประโยคสุดท้าย...อรชาคำนึงในใจ....เธอหวังเช่นนั้นจริงๆ...
..................
อากาศยามเช้าในบริเวณโดยรอบ
“ปางห้วยสัก” เต็มไปด้วยความเยือกเย็นร่มรื่นย์
หมอกที่จับอยู่เรี่ยพื้นดินในช่วงย่ำรุ่งเพิ่งค่อยๆ
สลายตัวไปไม่นาน
รถบัสคันใหญ่ก็พาคณะของกองประกวดมีสยูนิเวอร์ซิตี้เลี้ยวเข้ามาในบริเวณ
อาณาเขตอันไพศาลร่มไปด้วยเงาไม้ของปางห้วยสัก
คนที่มายืนคอยต้อนรับเป็นสตรีกลางคนที่แต่งกายด้วยเสื้อไหมผ้าซิ่น
ใบหน้ายิ้มแย้มท่าทางใจดี
ด้านหลังยังมีเด็กสาวถือพานมีช่อดอกไม้ป่าร้อยเป็นพวงไว้ต้อนรับคณะกอง
ประกวด
“สวัสดีเจ้า...ปางห้วยสักยินดีต้อนรับเจ้า”
แม่บ้านอุ่นเรือนซึ่งเป็นคนดูแลความเรียบร้อยของปางแห่งนี้กล่าวทักทายต้อน
รับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
คณะกองประกวดจึงยิ้มหน้าบานไปตามๆ
กันด้วยความรู้สึกยินดีต่อการต้อนรับอันอบอุ่นนั้น
ซึ่งบรรดานักศึกษาสาวต่างหัวเราะต่อกระซิก
ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อคิวกันเข้าไปรับช่อดอกไม้ที่เด็กสาวในชุดพื้นเมืองช่วยกัน
ยื่นส่งให้ไปคล้องคอ
สีสรรอันแพรวพราวนั้นขับให้กลุ่มของเด็กสาวนักศึกษาที่มาจากทั่วทุกภาคต่าง
นั้นแลดูสวยงามจำเริญตาเป็นอย่างยิ่ง
หนุ่มๆ หลายในบริเวณนั้นถึงกับอ้าปากตาค้างกันไปก็หลายคน
เสียงจ้อกแจจอดังดังกิ๊วก๊าวไปทั่วปางที่ปรกติจะค่อนข้างสงบเงียบ
เมื่อคณะกองประกวดเดินกันไปตามพื้นที่
คนที่มีอายุหน่อยซึ่งเป็นคณะกรรมการการประกวดก็เดินตามแม่บ้านอุ่นเรือนไป
พร้อมกับซักถามถึงความเป็นไปของปางห้วยสัก
โดยที่แม่บ้านอุ่นเรือนตอบคำถามเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนเย็นละมุนละม่อม
ฟังสบายหู ส่วนบรรดาสาวๆ
ก็เดินจับกลุ่มพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก
ชี้มือชี้ไม้ไปยังทิวทัศน์รอบด้านอย่างสนุกสนานสำราญใจ
เสียงโห่ฮิ้วดังมาเป็นระยะๆ
เมื่อใครสักคนพูดอะไรออกมาได้ถูกใจคนฟัง
กว่าจะรวบรวมฝูงผึ้งสาวที่แตกรังนั้นเข้าไปรวมพลกันในศาลาเรือนไทยที่ค่อน
ข้างกว้างที่จัดเตรียมเก้าอี้ไว้รองรับอยู่แต่แรก
ก็ทำเอาคณะทำงานเหน็ดเหนื่อยกันไปพอควร
แต่กระนั้นเสียงหัวเราะก็ยังได้ยินกันสับสนเจี๊ยวจ๊าว
เล่นเอาบรรดาคุณป้าที่มากับกองประกวดถึงกับค้อนจนตาคว่ำไปก็หลายคน
มีแต่เจ๊แต๋วที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่
กล่าวกับพรรคพวกที่เป็นตัวแทนมาจากมหาวิยทยาลัยอื่นๆ
“โธ่...ปล่อยพวกเด็กๆ
ไปเถอะค่ะ...สนุกร่าเริงอย่างนี้น่ารักออกจะตาย...”
กรองกนกพูดยิ้มๆ
ตอนนั้นสายตาเหลือบไปยังอรนุชที่นั่งคุยหัวเราะจนตาหยีกับเพื่อนใหม่ที่
เพิ่งมารู้จักกันในกองประกวด
เข้าแกงค์สาวซ่าสี่คนด้วยกัน
ซึ่งถือว่าเป็นแกงค์ที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด
พอกวาดตาไปนั้นพี่แต๋วก็นึกในใจอย่างกระหยิ่ม
“สวยๆ
น่ารักกันจั๊ง...แต่ขอโทษ...อิอิ..รัศมีของน้องนุชเด๊นเด่นกินขาด....งานนี้เสร็จแต๋วแน่..”
คุณป้าคนหนึ่งใส่แว่นใบหน้าอูมขาว
ชื่อกานตาซึ่งรู้จักสนิทสนมกับพี่แต๋วดี
มองตาของพี่แต๋วแล้วก็พออ่านออกได้
เอียงหน้ามากระซิบ
“นี่แต๋วไม่ต้องแสดงความรู้สึกจนออกนอกหน้าขนาดนั้นก็ได้
ฉันรู้น่ะว่าหนูนุชของเธอน่ะสวยเด่นกว่าใคร...แต่จะบอกให้นะยะ...หนูนิดของ
ฉันน่ะก็ใช่ย่อย...พูดได้สี่ภาษาไม่รวมไทยนะจ๊ะ
อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน
และญี่ปุ่น...รอเอาไว้ถึงตอนประกวดความสามารถพิเศษก่อนเถอะย่ะ...”
กานตาพูดพลางพยักเพยิดไปยังเด็กสาวหน้าใสที่นั่งติดกับอรนุชซึ่งเป็นรูมเมท
ของเด็กสาวร่างเล็กบางด้วย
ชื่อนิรัชราชื่อเล่นนิดเป็นตัวแทนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของป้ากานตา
ตอนนั้นกรองกนกค้อนขวับใส่เพื่อนที่คบค้ากันมานาน
พลางบ่นพึมพำในใจ
“น้องนุชน๊า...น้องนุช..เป็นผู้หญิงยิงเรือ
ไม่รู้จักฝึกอะไรที่ผู้หญิงควรฝึกกัน..”
ตอนที่กำลังเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการแสดงความสามารถพิเศษ
กรองกนกแทบจะเป็นลมเพราะอรนุชแจงความสามารถของเธอเสียงแจ๋ว
“ความสามารถพิเศษหรือคะ...โอ๊ย...สบายมาก..นุชมีเยอะแยะ...จะเอาอะไรบ้างล่ะ
คะ...ขี่ม้า...เทควันโด้...ยูโด...ฟันดาบ...รึจะเอามวยไทย...คิกคิก...ยิง
ปืนก็ได้ค่ะ...”
ไม่ว่าพี่แต๋วจะเฟ้นแล้วเฟ้นอีก
ล้วงลึกถามไปจนถึงว่าเด็กสาวเคยไปเรียนอะไรที่ผู้หญิงเขาเรียนบ้าง
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปแสดงดี
ท้ายที่สุดก็เลยไปลงที่รำดาบไทย
ซึ่งดูๆ แล้วในบรรดารายการที่อรนุชพูดมาพอจะเข้าท่าที่สุด
แต่ถึงกระนั้นกรองกนกก็กำกับการฝึกไปบ่นกระปอดกระแปดไป
ขณะที่อรนุชเป็นครั้งแรกในช่วงของการซ้อมเตรียมประกวด
เธอไม่เคยบ่นเรื่องฝึกเลยแม้แต่น้อย
กระตือรือร้นในการควงดาบในมือให้ตรงกับจังหวะตามตำรารำดาบไทยให้เป็นเรื่อง
เป็นราวนั้นด้วยความสนุกสนาน
จนครูฝึกจากโรงเรียนนาฎศิลปที่เชี่ยวชาญในการรำดาบถึงกับชมเปาะว่าอรนุชนั้น
เก่งเหลือขนาด สอนแป๊ปเดียวก็จำได้หมด
ทันใดนั้นเองใบหน้าที่กำลังยิ้มหัวเราะจนตายิบหยีของอรนุชก็มีอันต้องอ้าปาก
ตาค้างราวกับถูกผีหลอกกลางวัน
ขณะที่ร่างกำยำสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งเดินยิ้มๆ
เข้ามาในศาลาไทย ขณะที่สาวๆ
ตบมือกราวใหญ่
จ้องมองไปยังร่างสูงสมส่วนใบหน้าคร้ามคมที่มีเคราเต็มหน้านั้นด้วยดวงตาที่
มีประกายพราว
“อุ๊ย...tall…dark…and
handsome ตรงเสปคเลย”
กิ๊ก...รัชนี...สาวสวยจอมเซี้ยวตัวแทนจากม.ขอนแก่นกระซิบให้กับก๊วนสาวซ่า
ที่นั่งสุมกันอยู่
เสียงหัวเราะกิ๊วก๊าวดังครืนใหญ่
นิรัชราหันมายังอรนุชสะกิดยิ้มๆ
“คนนี้ไง...ที่เขาว่าเป็นเจ้าของปางแห่งนี้และสวนไม้สักทั้งหมด...โอ้โห..เท่ห์ระเบิดอย่าบอกใครเชียว...นะ..นุช...นะ”
อรนุชผู้ไม่เคยสนใจที่จะไถ่ถามอะไร
ใครให้มาทำอะไรก็ทำ
สนุกเพลินไปกับการพูดคุยกับเพื่อนๆ
เสียมากกว่าเลยตกข่าวเด็ด
ไม่ได้รู้เลยว่าใครเป็นใคร
ณ ที่แห่งนี้
ในเวลานั้นดวงตาประกายเหล็กมีร่องรอยของความรื่นรมย์แพรวพราว
ขณะกวาดมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แว่บหนึ่งที่แลผ่านใบหน้าบางใสที่ยังอ้าปากค้าง
จ้องมองมายังเขาด้วยดวงตากลมแป๋วนั้น
ทำให้ดวงตาประกายเหล็กมีประกายวูบวาบขึ้นมาแว่บหนึ่งอย่างสนุกสนาน
แต่เพียงแว่บเดียวเท่านั้นไม่มีใครทันสังเกตเห็น
นอกจากดวงตากลมโตที่จ้องมองมาอยู่แล้ว
ตอนนั้นเด็กสาวแทบจะลุกขึ้นเต้นร้องกรี๊ดๆๆๆๆๆ
ให้สุดเสียง
“นาย...นาย...สิงห์...อีตาบ้า...บ้า...บ้า...ซุปเปอร์บ้า....อี๊ยยยยยย...
ขัดใจจริงเชียว....ทำตาหลอกเราด้วย....อี๊ยยยยยยย...อี๊ยยยยยย....โอ๊ยยยยย
....อยากฆ่าคน...”
ใบหน้างามนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เท้าเล็กๆ ขยับไปมาบนพื้น
นั่งบิดไปบิดมาอย่างอยู่ไม่สุข
นิรัชราหันมาทำหน้าแปลกๆ
“นุชเป็นอะไรไปเปล่า
นั่งยุกยิกๆ”
อรนุชยิ้มออกมาอย่างแห้งแล้งสุดเฝื่อนเต็มที
ส่ายหน้าไปมา กล่าวอุบอิบอย่างเข่นเขี้ยว
“ไม่มีอะไร
มดมันกัดน่ะ”
“ต๊าย...เหรอ...ไหนๆๆ”
สาวสวยหน้าใสทำท่ากลัว
ยกแข้งขาเป็นพัลวัล หันซ้ายหันขวา
อรนุชปรายตาไปยังร่างสูงที่กำลังยืนถือไมโครโฟนกล่าวต้อนรับคณะกองประกวด
แล้วกระซิบเสียงฮึ่มๆ ในลำคอ
“นิดไม่ต้องกลัว...แค่มดหน้าหมีตัวหนึ่งน่ะ...นุชเหยียบมันตายไปแล้ว”
นิรัชราค่อยโล่งอก
ก่อนจะนึกขึ้นได้ถามด้วยเสียงขำๆ
“มดอะไรของนุชน่ะชื่อแปลกๆ”
ดวงตากลมโตขุ่นเขียว
มองไปยังร่างสูงที่พูดแจ้วๆ
แค่นหัวเราะออกมา
“อ๋อ...มดเจ้าเล่ห์น่ะ...มดพันธุ์นี้ร้ายกาจเหลือเกิน...นิดจำไว้นะ...เจอทีไร...ต้องฆ่าให้ตาย...ฆ่าให้ตาย”
คนที่กำลังจีบปากจิ๊บๆ
นั้น พูดไปพลางขยี้เท้าไปพลาง
ท่าทางคันไม้คันมือ
นิรัชรานึกว่าเพื่อนพูดเล่นเลยหัวเราะกิ๊ก
ยกมือขึ้นตีไปที่แขนของอีกฝ่ายเบาๆ
“บ๊องส์ใหญ่แล้วนุชเนี่ย...”
จากนั้นสาวน้อยผู้มาจากเชียงใหม่ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก
นั่งทำตาปรอยๆ ฟังเสียงทุ้มๆ
ของร่างสูงที่กำลังเล่าความเป็นมาเป็นไปของปางห้วยสักอย่างสนใจ
ขณะที่อรนุชอยากจะวิ่งออกไปจากศาลาหลังนั้นแทบขาดใจแต่ก็ไม่กล้า
เลยแกล้งนั่งหลับตาทำท่าหลับไปทันที
มิไยที่นิรัชราจะหามาทำตาโตสะกิดเรียก
เด็กสาวร่างบางก็ไม่สนใจ
ทำเสียง ฮื้อ...น่าเบื่อจะตาย...ง่วงจะนอน
จนเพื่อนอ่อนใจได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
ตอนหนึ่งของการพูดของเจ้าของปางห้วยสัก
ที่เบื้องหน้าของคนทั้งหมดมีแผ่นกระดานใหญ่ที่แปะรูปถ่ายทางอากาศถึงสภาพ
ภูมิประเทศของเทือกเขาโดยรอบ
คมศรชี้มือไปยังภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นสภาพของป่าไม้ที่ถูกโค่นล้มอย่างผิด
กฏหมายจนเตียนโล่งไปหมด
“...อย่างที่เห็นน่ะครับ...ถึงแม้ว่าเราจะพยายามอนุรักษ์ธรรมชาติกันไว้
อย่างเต็มที่
แต่ผืนป่ามันก็ลดน้อยลงไปเยอะ...ผมจึงเห็นด้วยกับแนวความคิดของอาจารย์ทั้ง
หลายจริงๆ
ครับที่จัดให้มีกิจกรรมปลูกป่าครั้งนี้...และให้น้องๆ
ที่น่ารักมาร่วมกิจกรรม...”
คำพูดทุ้มนุ่มนวลนั้นทำเอาคุณลุงคุณป้าทั้งหลายยิ้มแก้มแทบปริ
ขณะที่สาวๆ ร้องกิ๊วก๊าวกันเป็นการใหญ่
จะมีก็แต่เพียงอรนุชคนเดียวในที่นั้นที่ลืมตาจากการแกล้งหลับมาทำหน้าตูม
ค้อนควักดินฟ้าอากาศไปตามเรื่องตามราว
เบะปากงามอย่างหมิ่นๆ พึมพำ
“เช๊อะ...น่ารักตายล่ะ...ให้คนอื่นมาเหนื่อยปลูกต้นไม้ในพื้นที่ของตัว...
แต่ตัวเอาไปใช้ประโยชน์หาเงินเข้ากระเป๋า...อี่โธ่เอ๊ย...ไปหลอกเด็กอมมือ
เถอะ...”
นิรัชราได้ยินแว่วๆ
หันมาทำตาโต
ดุเพื่อนที่เธอสนิทที่สุดในบรรดาตัวแทนจากนักศึกษาทั่วประเทศ
“ตายแล้วนุชจ๋า..ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะจ๊ะ...พื้นที่ที่เราจะไปปลูกป่าไม่ใช่
พื้นที่ของคุณคมศรสักหน่อย
ปางห้วยสักของคุณคมศรนี่เขาเป็นกันชนกับพวกตัดไม้ทำลายป่า
พื้นที่ที่เราจะเข้าไปปลูกน่ะอยู่เลยเข้าไปทางป่าสงวนที่ถูกลักลอบตัด
จ้า...”
อรนุชหันรีหันขวางอย่างหงุดหงิด
ก่อนจะโพล่งออกไป
“แต่..แต่..นายนี่ก็ได้ประโยชน์อยู่ดี...ได้หน้าไง...พวกเราสิเหนื่อย...”
สาวน้อยหน้าใสจากเชียงใหม่
ยิ้มน่ารัก ส่ายศีรษะอย่างระอาใจ
กล่าวว่า
“โธ่
คุณคมศรเขาจัดการทุกอย่าง
ลงทุนลงแรง
กล้าไม้ที่เตรียมเอาไว้เขาลงทุนเป็นเงินหลักแสนเชียวนะ...ยังเปิดห้องพักให้
พวกเราพักฟรี เที่ยวฟรี
เลี้ยงฟรี ไม่ต้องมีของตอบแทน
นักข่าวอะไรก็ไม่ต้องขอมาให้ทำข่าว...อย่างนี้นุชจะว่าอะไรเขาอีกจ๊ะ”
อรนุชอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ....โอ๊ยยย...อะไรกันเนี่ยทำไมใครๆ
ก็เข้าข้างนายหน้าหมีนี่กันหมด...
“แหม...นิดนี่รู้ดีจริงนะ...ละเอียดยิบเชียว”
สาวน้อยร่างเล็กค่อนให้
ใบหน้างอนๆ นิรัชราหัวเราะคิกคัก
“อะไรกันจ๊ะ...เขาพูดกันออกแซ่ด...นุชต่างหากไปอยู่ไหนมา...ตกข่าวใหญ่แล้วเราน่ะ”
ตอนนั้นเองที่การบรรยายอย่างสั้นๆ
รวบรัดได้ใจความก็จบลงพร้อมกับเสียงปรบมือกราวใหญ่
นิรัชราเลยละความสนใจกับอรนุชไปแค่นั้น
ผสมโรงตบมือแปะๆๆๆๆ
ไปกับพรรคพวกที่นอกจากจะปรบมือแล้วยังส่งเสียงกิ๊วก๊าวกันแสบแก้วหู
คมศรยิ้มกว้างก้มศีรษะรับการปรบมือ
สายตาแลไปเรื่อยๆ
ก็แลเห็นร่างเล็กนั่งจุ้มปุ้กหน้างออยู่คนเดียว
ใบหน้าคร้ามคมนั้นยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ
ตอนนั้นกล่าวเชื้อเชิญ
“ผมว่าได้เวลาแล้วครับ...เราลงมือกันดีกว่า...ยังต้องนั่งรถเล็กเข้าไปอีกเป็นระยะพอสมควร...แดดร้อนมากไปจะทำงานไม่สนุก”
ร่างสูงกำยำพูดจบก็ก้มศีรษะให้อีกครั้งก่อนจะเดินนำออกไป
โดยมีคณะกองประกวดเฮโลตามไปเป็นพรวน
ซึ่งนิรัชราก็หันมาจูงข้อมือเล็กบางของอรนุชที่นั่งหน้างออยู่
“เอ้าไปกันได้แล้ว...เอ...ทำไมเช้านี้นุชแปลกๆ...เฮี้ยวใครกันจ๊ะ...”
อรนุชได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ
ปล่อยให้เพื่อนเดินจูงมือตามคณะไป
พร้อมๆ กับ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ
ฝากไว้ก่อนเถอะ...นายหน้าหมี...ฉันจะเอาคืนให้สาสม
………………..
เสี่ยเซี้ยงนั่งยิ้มกระหยิ่มอย่างใจเย็น
ขณะที่เสี่ยทองที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามภายในห้องรับแขกของบ้านเสี่ยโฉด
ตอนนั้นผู้มาเยือนมีสีหน้าร้อนรน
ใบหน้าอูมนั้นมีวี่แววคาดหวัง
หลังจากผ่านการครุ่นคิดมาทั้งคืน
เสี่ยร่างอ้วนก็โทรเข้ามาขอนัดพบกับจ้าของบ้าน
โดยรอจังหวะให้คันธรสนั้นออกไปทำงานแล้ว
“เสี่ยเซี้ยงเราไม่ใช่คนอื่นคนไกล...ผมเดือดร้อนจริงๆ...เสี่ยเห็นใจผมหน่อยสิครับ”
ร่างใหญ่กำยำนั้นสั่นไปตามแรงหัวเราะที่ดังร่วนอารมณ์เหลือเกิน
“เสี่ยทอง...ไอ้เรื่องที่เสี่ยขอผมน่ะมันใช่เรื่องเล็กๆ
ที่ไหนกันล่ะครับ...เสี่ยลองคิดดู...ถ้าเป็นเสี่ยเองล่ะ...มีคนขอให้เสี่ย
ประเคนแฟนตัวเองใส่พานให้ผู้ชายคนอื่น...จะให้ตัดสินใจง่ายๆ
เลยหรือครับ…ฮ่ะฮ่ะ”
เสี่ยหน้าอูม
ทำใบหน้าปั้นยาก คิดในใจ
ไอ้เซี้ยงทำมาเป็นเล่นลิ้น
ถ้ามึงหวงจริงป่านนี้ไล่กูออกไปนอกบ้านนานแล้ว
ไม่ใช่มานั่งหัวเราะเหมือนไอ้บ้าอย่างนี้หรอก...ชะ...แม่งเล่นตัวเรียกร้อง
ค่าตอบแทนล่ะสิ
“ผมเดือดร้อนจริงๆ...กำลังเข้าตาจน...ไม่งั้นผมไมบากหน้ามากวนเสี่ยอย่างนี้หรอกครับ”
ต่อหน้าเสี่ยทองได้แต่พยายามระงับอารมณ์ขอร้อง
ขณะที่เสี่ยเซี้ยงกระหยิ่มยิ้มในใจ
เพราะอ่านสายตาของอีกฝ่ายออกว่ามันกำลังร้อนรุ่มเพียงไร
ชะ...ไอ้ทอง...จะให้กูช่วยมันก็ต้องมีของแลกเปลี่ยนเนื้อๆ...หน่อยสิวะ
แต่เนื้อแท้ที่จริงแล้วนอกเหนือจากผลประโยชน์ที่กำลังจะตักตวงได้จากโอกาส
ตรงหน้านั้น เสี่ยโฉดกำลังลิงโลดใจสุดๆ
เพราะแผนการที่เสี่ยร่างอ้วนมาเผยให้ฟัง
มันทะลุปรุโปร่งในกลมสันดานอันเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย
แผนการณ์ต่อเนื่องเป็นฉากๆ
ตามติดมายิ่งต่อเนื่องไปมากกว่าตัวเสี่ยทองคนต้นคิดเสียอีก
ใบหน้าของเสี่ยโฉดที่กระหยิ่มยินดีสุดๆ
นั้นจึงเป็นทั้งแรงบวกกับผลประโยชน์เบื้องหน้า
กับรางวัลอันล้ำค่าที่รอคอยอยู่ในอนาคตอันใกล้
ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เสี่ยเซี้ยงตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น....อูว์....สุด
ยอด...ขอบใจเว้ยไอ้ทองที่เสนอแผนเด็ดๆ
ให้กับกู
ตอนนั้นเสี่ยร่างอ้วนมีใบหน้าตัดใจ
กัดฟันพูด
“ถ้าเสี่ยยอมช่วย...ผมให้หุ้นของโรงแรมผมเป็นค่าตอบแทนเสี่ย...ห้าเปอร์เซ็นต์”
ในบรรดาผู้ที่ถือหุ้นหลายรายที่ร่วมกันกับเสี่ยทองก่อตั้งบริษัทโรงแรมใน
เครือปาร์ลมบีช
เสี่ยทองนับเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่มีหุ้นในมือกว่าหกสิบห้าเปอร์เซ็นต์
ตอนนั้นเพื่อเป็นการต่อชีวิตให้กับกิจการของตนเอง
เสี่ยร่างอ้วนจึงยอมตัดใจยกหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ให้กับอีกฝ่ายเป็นข้อแลก
เปลี่ยน ซึ่งในความคิดของเสี่ยทองนับว่าตัดใจอย่างมากแล้ว
แต่ปฏิกิริยาของเสี่ยเซี้ยงนั้นแค่เลิกคิ้ว
เหยียดริมฝีปาก
“ผมหูฝาดไปหรือเปล่า...เสี่ยทอง...เสี่ยคิดว่าคนระดับคุณคันธรสไฮโซสาวชื่อดังควรจะมีค่าเท่าไหร่กัน”
เสี่ยทองพยายามระงับใจที่พล่านดาลเดือด
ฝืนยิ้มแห้งแล้งกล่าวว่า
“ผมแค่ต้องการได้รูปไปแบล็กเมล์ไอ้ปานเทพ...คุณรสก็คงไม่ได้สึกหรอไปสักเท่า
ไหร่...ห้าเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าหุ้นมันมากแล้วนะครับ...เสี่ยเซี้ยง”
เสี่ยโฉดหัวเราะกระหยิ่ม
ยื่นมือแบออกไปตรงหน้าทั้งคู่
เสี่ยทองตาเบิกโพลง
กล่าวเสียงตะกุกตะกัก
“เสี่ย...เสี่ยหมายความว่า...”
“สิบเปอร์เซ็นต์…ไม่มีการต่อรอง”
เสี่ยเซี้ยงกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เสี่ยทองตัวสั่นเทิ้ม
เขามีหุ้นในมือหกสิบห้า
ถ้าตัดไปสิบเหลือแค่ห้าสิบห้า
มันหมิ่นเหม่ต่อการสูญเสียอำนาจในการบริหารไปเหลือเกิน
“เสี่ยเซี้ยงขอให้เห็นแก่ไมตรีของเรา...ผมกับเสี่ยคบกันมานานนะครับ”
เสี่ยโฉดยิ้มกริ่ม
“ผมยอมให้ก็เพราะเห็นแก่มิตรภาพของเรานะครับเสี่ยทอง....ถ้าไม่อย่างนั้นผมคงไล่ตะเพิดเสี่ยไปแล้วล่ะ...”
เสี่ยอ้วนแผดด่าโคตรเหง้าของเสี่ยเซี้ยงอยู่ในใจ
ดวงตานั้นพล่านไปด้วยความเกรี้ยวกราด
แต่เพราะตกอยู่ในสภาพไม่อาจต่อรองได้มากนัก
สมองอันเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายครุ่นคิดวูบวาบอย่างหนัก
เอาวะ....กูขอให้ผ่านตอนนี้ไปก่อน...ค่อยหาทางเอาคืนทีหลังก็ได้
และความคิดหนึ่งที่สว่างวาบขึ้นมา
ดวงตานั้นทอประกายหื่นกระหาย
ใบหน้าอูมนั้นก็ตัดใจว่า
“ผมยอม...แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง...”
เสี่ยเซี้ยงหัวเราะ
“อะไรหรือเสี่ยทอง”
เสี่ยอ้วนใบหน้าอูมนั้นมีแววอันกระหาย
แลบลิ้นเลียปาก
“ผมขอกับ...คุณรสด้วย...”
เสี่ยโฉดครุ่นคิดครู่หนึ่ง
ก็หัวเราะก๊ากใหญ่
“ฮ่าฮ่า...ก็อย่างที่เสี่ยพูด..เราคบกันมาตั้งนาน...นิดๆ
หน่อยๆ ทำไมจะช่วยกันไม่ได้ล่ะครับ..ฮ่าฮ่า”
เสี่ยทองผสมโรงหัวเราะด้วย
เพราะอย่างน้อยแผนการณ์ก็เดินมาตามที่ตั้งใจ
แม้จะต้องตัดใจสูญเสียค่าตอบแทนที่เกินกว่าที่คิด
แต่กระนั้นก็ไม่ถึงกับขาดทุนซะทั้งหมด...
ท่ามกลางเสียงหัวเราะอันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายของสองเสี่ยโฉด
ดวงตาสองคู่ในเวลานั้นมันเต็มไปด้วยประกายอันกระหายหิวในตัณหาราคะ!!!
…………………
เนื่องเพราะกว่าจะได้หลับก็เกือบใกล้รุ่งแล้ว
ทำให้กว่าที่อรอุษาจะตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้า
ดีที่ว่าวันนี้เธอไม่ต้องไปสอน
แต่ถึงกระนั้นพอสะดุ้งตื่นเด็กสาวก็รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาทันที
หลังจากอาบน้ำเสร็จพอเห็นใบหน้าตัวเองในกระจกที่โต๊ะแป้ง
เด็กสาวก็ต้องแลบลิ้นออกมาอย่างตกใจ
เพราะตอนนั้นดวงตาคู่งามของเธอค่อนข้างช้ำอันเนื่องมาจากฝันร้ายเมื่อคืนวาน
เนื่องจากรู้ว่าถ้าลงไปสภาพนี้คงไม่พ้นถูกซักจากป้าเอียดแน่ๆ
ทำให้อรอุษาตัดสินใจเปิดลิ้นชักหยิบตลับคอนซีลเลอร์ขึ้นมาแต้มที่ใต้ตาก่อน
จะโรยแป้งปัดๆ จนรอยหมองคล้ำนั้นจางไปเยอะ
ก่อนจะพยายามทำตัวให้สดใสขึ้นโดยการเลือกเสื้ออยู่กับบ้านสีเหลืองอ่อนๆ
แขนกุดที่อวดผิวผ่องของเธอตรงหัวไหล่กลมมนไล่ไปตามต้นแขนอันบอบบางยาวเรียว
งามนั้นจนกระจ่างตา
หลังจากสำรวจดูความเรียบร้อยของหน้าตาจนแน่ใจว่าจะไม่มีร่องรอยอะไรแล้ว
เด็กสาวค่อยเดินออกไปจากห้อง
ป้าละเอียดได้ยินเสียงกุกๆ
กักๆ ในห้องของเด็กสาวอยู่นานแล้ว
เลยมายืนรอรับตรงบันไดชั้นล่าง
ซึ่งอรอุษาเดินแกมวิ่งมาพร้อมกับออกตัว
“เมื่อคืนดูหนังสือดึกไปหน่อยค่ะ..วันนี้ษาเลยนอนตื่นสาย”
ป้าละเอียดยื่นมือไปกุมข้อมือบางของเด็กสาว
ยิ้มให้
“วันนี้คุณษาไม่ต้องไปสอนไม่ใช่หรือคะ...ตื่นสายหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร...
แล้วนี่...หิวหรือยังคะ…เช้านี้ป้าทำข้าวต้มทรงเครื่องไว้ให้ค่ะ”
อรอุษายิ้มน่ารัก
พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ข้างในด้วยสีหน้าอันแจ่มใส
เดินเกาะตัวของแม่บ้านไปอย่างประจบตรงไปยังห้องอาหาร
“แหมแค่ได้ยิน...ษาก็ท้องร้องแล้ว...”
ป้าละเอียดได้ยินก็ชื่นใจ
รีบส่งเสียงไปก่อนตัว
“เอ้า..เด็กๆ...เตรียมโต๊ะได้...คุณษาจะรับข้าวต้มแล้ว…แหม...เสียดายจังคุณนุชไม่อยู่...รายนั้นชอบข้าวต้มทรงเครื่องที่สุด”
อรอุษาที่เดินไปพลางยิ้มไปพลาง
ได้ยินคำพูดนั้น
ส่งผลให้ดวงตาคู่งามหม่นประกายวูบขึ้นทันที
แต่ป้าละเอียดที่กำลังคุมเด็กๆ
จัดโต๊ะไม่ทันได้เห็น
ทานข้าวเช้าเสร็จ
ขณะที่ป้าเอียดง่วนไปกับงานบ้านอื่นๆ
เด็กสาวที่กำลังเบื่อๆ
ไม่มีอะไรทำก็เดินไปนั่งที่เรือนกล้วยไม้
หยิบตำรามาเตรียมการสอนไปแกนๆ
แต่ในใจนั้นไม่มีสมาธิความพร้อมในงานตรงหน้าเลย
บ่อยครั้งที่ดวงตากลมโตนั้นเหม่อมองใจลอย
และเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นแทรกภวังค์แห่งความเหม่อลอยนั้นเอง
ทำให้อรอุษาสะดุ้งสุดตัว
เอื้อมมือไปรับ
พบว่าเป็นเบอร์ใครแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว...เอ...พี่ไอซ์โทรมาทำไม
“พี่ไอซ์หรือคะ...ษาพูดค่ะ”
เสียงใสของพริตตี้สาวดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
“อ้าว...วันนี้ษาไม่ได้มาที่มหาลัยหรือจ๊ะ”
“ค่ะ...พอดีวันนี้ไม่มีสอน...พรุ่งนี้ก็ไม่มีนะคะ...จะไปอีกทีก็วันมะรืน...ไม่ทราบว่าษาจะช่วยอะไรพี่ไอซ์ได้บ้างหรือเปล่าคะ”
อรอุษากรอกเสียงอ่อนหวานลงไป
เด็กสาวยังจำได้เสมอว่าอีกฝ่ายนั้นเคยช่วยขับรถมาส่งเธอที่บ้านอยู่ช่วง
หนึ่ง ถ้าเธอจะตอบแทนอะไรได้บ้างอรอุษาก็ยินดี
“ไม่มีหรอกจ้ะ...วันนี้พี่ได้ตั๋วคอนเสริต์มาสองใบ...เลยอยากจะชวนษาไปฟังเปียโนกัน...คณะนี้เขามีชื่อมากเลยนะ...”
พริตตี้สาวเอ่ยนามคณะดนตรีคณะหนึ่งที่กำลังเดินทางมาเปิดคอนเสริต์รอบพิเศษ
ให้กับสภากาชาดเพื่อหารายได้สมทบทุนให้กับมูลนิธิสายใจไทย
ซึ่งอรอุษาเองเป็นผู้ใฝ่ในการดนตรีอยู่ก่อนแล้ว
แค่ฐิติพรรณเอ่ยปากเธอก็รู้ว่าเป็นคณะดนตรีคณะไหนกำลังมาเปิดคอนเสริต์ที่
เมืองไทย
ดวงตากลมโตของอรอุษาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ความเหงาที่เกาะกินใจ
ทำให้เธอรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
อย่าว่าแต่งานแสดงดนตรีเป็นกิจกรรมโปรดของเด็กสาวตลอดมา...
“เหรอคะ...แหม...ดีจัง...ษากำลังเบื่อๆ
อยู่พอดี...อยากไปจังค่ะ...อุ๊ย...แต่...แต่ไม่เป็นการรบกวนพี่ไอซ์นะคะ...ษาเกรงใจจัง”
พอรู้ตัวว่าแสดงความยินดีจนเกินงามทำให้เด็กสาวหน้าแดง
ตอนท้ายต้องรีบออกตัวอย่างขัดเขิน
ก่อนจะค่อยคลายใจลง
เพราะเสียงหัวเราะใสของฐิติพรรณดังตอบมา
“โธ่...ถ้าพี่คิดว่ารบกวนแล้วจะมาชวนษาหรือจ๊ะ...ตกลงไปนะ...คอนเสริต์เริ่ม
บ่ายโมงตรง...เดี๋ยวพี่ไปรับที่บ้านนะจ๊ะ...เราไปหาอะไรกินอร่อยๆ
กันก่อนแล้วค่อยไปฟังคอนเสริต์กัน”
“ค่ะ...ษาจะรอ...ขอบคุณพี่ไอซ์มากค่ะ”
อรอุษากล่าวเสียงอ่อนหวาน
ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปที่บ้านด้วยอาการที่ร่าเริง
....................
ทางด้านฐิติพรรณที่วางหูลงนั้น
ดวงตาคู่งามของเด็กสาวสาดประกายวาววับ
“นังเด็กหน้าซื่อ...อยากมาสะเออเรื่องฉันนัก...โทษทัณฑ์ที่พี่เธอต้องได้รับ
...เธอก็มาเอาไปแทนให้สาสมกับความงี่เง่าที่รนแส่หาเรื่องของเธอเองก็แล้ว
กัน...”
ในโสตประสาทของพริตตี้สาวยังก้องคำพูดของชายตัวโตที่เข้ามาแทรกกลางขัดแผนการณ์ของเธอที่ล่อลวงอรนุชไปให้ชิดกับพวกรุมโทรมในวันนั้น
...โดยเฉพาะน้องสาวคุณ
ต้องขอบคุณเขาให้มาก...ถ้าไม่ได้เขา...ผมก็คงตามมาหาคุณไม่ทัน....
ดวงตาของฐิติพรรณวาวโรจน์
เมื่อได้ยินเสียงตอบจากปลายทางเมื่อเธอต่อสายไปยังอีกเบอร์หนึ่งโดยทันทีหลังจากวางสายจากอรอุษา
“ไอซ์หรือจ๊ะ...แหมพี่ดีใจจัง...ไม่นึกว่าน้องไอซ์จะโทรมาหา”
ปากงามของฐิติพรรณเหยียดยิ้มอย่างเหยียดหยาม
แต่เสียงที่กรอกลงไปนั้นหวานใส
“พี่ศักหรือคะ...ไอซ์โทรมากวนหรือเปล่าคะ?”
“โอว์...ไม่...ไม่เลย...พี่ดีใจเหลือเกินต่างหากที่น้องไอซ์ยังนึกถึงพี่อยู่”
เสียงของจิ้งจอกสวาทดังมาอย่างระรื่น
ขณะที่ดวงตาของพริตตี้สาวลุกโชติช่วงราวกับมีเปลวเพลิงอยู่ภายใน
ปากบางของเธอกลับกรีดเสียงลงไปอย่างอ่อนหวาน
“ไอซ์มีเรื่องรบกวนหน่อยค่ะ....”
ความขัดกันระว่างน้ำเสียงกับสีหน้าแววตานั้น
มันเปล่งประกายแผ่ซ่านอะไรบางอย่างออกมาจากเรือนร่างที่ควรจะงามยวนใจสำหรับ
คนที่มีโอกาสมองเห็น แต่ ณ
วินาทีนั้นความเยือกเย็นอำมหิตที่ปกคลุมสีหน้าแววตาของเธอมันได้บดบังภาพ
แห่งความสดใสไปจนหมดสิ้น
หลงเหลือไว้แต่เพียงความกลิ่นอายของความน่าหวาดหวั่นน่าสะพรึงกลัวเท่า
นั้น!!!
...............................
ดวงตาของเสี่ยคิ้มเปล่งประกายวูบวาบอย่างสะใจ
ขณะที่กรอกเสียงตอบลงไปอย่างกระตือรือร้น
“โอว์...ไม่เป็นไร...ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณน้องไอซ์...”
เสียงของฐิติพรรณดังกังวานใสตอบมา
“แล้วไอซ์จะติดต่อเสี่ยกลับมาอีกทีนะคะ...เรื่องคงคืบหน้าไปเร็วๆ
นี้แหล่ะค่ะ”
“ครับ...ผมจะรอฟังข่าวดีจากน้องไอซ์”
เสี่ยคิ้มกระซุ่นตอบ
ใบหน้าที่ไว้เคราคางแพะเต็มไปด้วยประกายแห่งความสาสมใจ
ที่เวลาแห่งความแค้นที่อัดอั้นตันใจกำลังจะได้รับการสะสางแล้ว
หลังจากวางสายจากพริตตี้สาวไปแล้วเสี่ยนักค้าทองและอัญมณีก็นั่งครุ่นคิด
อยู่ภายในอพาต์เมนท์ที่พักของตนเองอีกครู่หนึ่ง
ดวงตานั้นเปล่งประกายวูบวาบน่ากลัว
ก่อนที่จะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ตามไอ้ตี๋กับไอ้ชดมากรุงเทพให้ฉันด่วน...ให้บินมาเลย…เข้าใจไหม”
เสียงรับอย่างนอบน้อมทางปลายสายก่อนที่เสี่ยคิ้มจะวางหูไป
ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์
ไอ้ศักดา...คราวนี้แกหนีไม่พ้นมือฉันแน่...
ในเวลานั้นเอง...เสียงโทรศัพท์ของเสี่ยคิ้มก็ดังขึ้นอีก..
เสี่ยตัณหากลับมองดูที่สายเรียกเข้า
แล้วต้องขมวดคิ้ว ส่งเสียงออกไป
“เสี่ยทอง...มีธุระอะไรกับผมหรือ”
เสียงเสี่ยอ้วนดังระรื่นมา
วาจาสั้นๆ รวบรัดได้ใจความประโยคถัดๆ
มานั้นแค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้ใบหน้าของเสี่ยคิ้มแดงซ่านไปด้วยเพลิงปรารนา
ริมฝีปากสั่นระริก
เมื่อกรอกเสียงถามอย่างร้อนรน
“โอว์...เมื่อไร...เมื่อไรครับ...ยอดจริงๆ...ขอบคุณเสี่ยเหลือเกิน....
อ๊ะ...แน่นอน.ๆ....ผมต้องตอบแทนเสี่ยอย่างจั๋งหนับแน่นอน...ฮ่าฮ่า...แล้ว
เจอกันครับ....”
เสี่ยคิ้มดวงตาซ่านไปด้วยเพลิงกระสัน
ควยอวบอ้วนกระดิกตุงเป้า
เสี่ยตัณหากลับแลบลิ้นเลียปาก
กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างกระหาย
ภาพดวงหน้าที่สวยบาดตาของคันธรสลอยเข้ามาในห้วงความคิด
...อา...เรือนร่างอันขาวผ่องเนียนงามไปทั่วตัว
ทรวงอกที่อิ่มอวบเป็นเต้าขาวน่าเฟ้นหน้าลงไปคลอเคลีย
หน้าท้องที่ผ่องละออตาราบเรียบไร้ไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อยนิด
และเนินนูนที่ปกคลุมไปด้วยขนละเอียดดำล่อตาล่อใจให้เข้าไปขยำขยี้
อย่างกระหาย
ภาพเหล่านั้นในครั้งก่อนๆ
ที่เขาทำได้แค่มองดู
พร้อมกับถอกควยตัวเองเปลื้องความใคร่...แต่คราวนี้....แค่ในความคิด...ก็ทำ
ให้ความกระสันของเสี่ยคิ้มพล่านพลุ่งไปทุกอณูแห่งความรู้สึก
ขนทั่วกายของเสี่ยตัณหากลับลุกชันอย่างกระหายหื่น
.......................
บริเวณที่ถูกจัดเอาไว้เป็นพื้นที่ปลูกป่านั้น
ลึกเข้าไปในพื้นที่ของป่าสงวนซึ่งเส้นทางการเดินทางนั้นรถบัสใหญ่เข้าไปไม่
ได้ เหล่าคณะกองประกวดจึงต้องขนย้ายกันไปขึ้นรถบรรทุกที่เล็กกว่า
แล่นผ่านถนนขรุขระเข้าไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริเวณลานกว้างๆ
ที่หลงเหลือต้นไม้ยืนต้นเอาไว้ไม่กี่ต้น
นอกนั้นเป็นตอไม้ที่แสดงให้เห็นชัดถึงการถูกคนเข้ามาบุกรุกถากถาง
ทางปางห้วยสักตั้งเต๊นท์อำนวยการอยู่ก่อนแล้ว
ข้างในมีที่นั่ง อาหาร
เครื่องดื่มเอาไว้รับรองคณะผู้มาเยือน
พร้อมกับบริเวณที่กั้นเอาไว้ฉุกเฉินเผื่อเกิดมีใครประสบอุบัติเหตุไม่คาดคิด
แสดงถึงการเตรียมการเอาไว้อย่างพรักพร้อมของเจ้าของสถานที่
เมื่อทั้งหมดลงจากรถบรรทุก
ต่างก็เข้าไปฟังการสรุปบรรยายสั้นๆ
เกี่ยวกับวิธีการทำกิจกรรมร่วมกันในครั้งนี้
บรรดาสาวน้อยทั้งหลายที่แต่งตัวทะมัดทะแมง
ทุกคนสวมหมวกปีกกว้างยืนฟังคนร่างสูงสาธยายวิธีการเกลี่ยพื้นที่
ขุดหลุดม และลงกล้าไม้กันตาแป๋ว
ใบหน้าคร้ามคมของคมศรมีร่องรอยยิ้มแย้ม
เมื่อมองเห็นสีหน้าของสาวน้อยบางคนเริ่มมีสีหน้าท้อใจ
เมื่อมองเห็นพื้นที่อันกว้างขวาง
และวิธีการที่ตนเองแสดง
“ไม่ต้องห่วงนะครับ...เราค่อยๆ
ทำกันไปไม่ต้องรีบร้อน
เหนื่อยนักก็เข้ามาพักกันก่อน...งานหนักๆ
จริงก็คือการเกลี่ยดินและขุดหลุม
จะมีคนของทางปางห้วยสักดำเนินงานในส่วนนี้
ส่วนน้องๆ ก็ช่วยขุดบ้างก็ไม่เป็นไรครับ
ให้เน้นไปที่วางเอากล้าไม้ออกจากเรือนไปเพาะก็แล้วกันครับ...เอาล่ะครับถ้า
ทุกคนเข้าใจแล้วเราก็เริ่มงานกันได้...ทำไปจนถึงประมาณสักสิบเอ็ดโมงก็พอ...
ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น...ที่เหลือทางปางจะจัดการต่อเองครับ”
บรรดาคุณป้าคุณลุงที่เป็นผู้ใหญ่ผงกศีรษะยิ้มแย้ม
ส่วนกลุ่มคณะสาวน้อยก็เฮโลกันไปรับเครื่องไม้เครื่องมือสีหน้าครึกครื้นแจ่ม
ใส จะมีก็แต่อรนุชที่งอนตุ๊ปป่อง
แต่ก็ไม่กล้าออกฤทธิ์อะไรให้เป็นที่สังเกตเห็นความผิดปกติ
เดินหน้างอตามนิรัชราไปที่บริเวณที่ถูกจัดเตรียมกล้าไม้โดยมีเต็นท์เตี้ยๆ
คลุมด้วยตาข่ายสีดำ
ซึ่งกล้าไม้ที่ถูกนำมามีหลากหลายพรรณตั้งแต่สัก
ประดู่ มะค่าโมง และอื่นๆ
อีก
โดยมีเจ้าหน้าที่ของปางเป็นคนแนะนำวิธีการกระจายพรรณไม่สลับกันไปให้กับ
บรรดาคณะกองประกวดนำไปปลูก
นิรัชรากับอรนุชเดินอุ้มกล้าไม้จากเต๊นท์เดินไปตามแนวที่บางส่วนเห็นได้ชัด
ว่าคนของทางปางห้วยสักได้มีเกลี่ยพื้นที่
ถากถางหญ้าไปก่อนแล้ว
ทำให้งานง่ายขึ้นเยอะ
แค่เซาะดินให้ร่วน และขุดหลุมลงไป
ก่อนจะนำกล้าไม้ออกจากถุงดำวางเข้าไปในหลุมและกลบดิน
แต่ถึงกระนั้นพอเริ่มทำไปได้สักพัก
งานที่ทีแรกคิดว่าง่ายก็ไม่ง่ายอย่างคิด
ถึงแม้จะมีเจ้าหน้าที่บางส่วนช่วยในเรื่องขุดหลุม
แต่คนก็ยังไม่พอ บรรดาสาวๆ
หลายคนที่ทีแรกทะมัดทะแมงขุดหลุมกันเอง
พอเวลาผ่านไปก็ชักไม่ไหว
หน้ามันย่อง บ่นอู้กันไปตามๆ
กัน หลายๆ
คนเริ่มหมดแรงเดินตุปัดตุเป๋กลับเข้าไปนั่งในเต๊นท์
บรรดาพี่เลี้ยงของแต่ละคน
ต่างเข้ามาช่วยดูแลกันวุ่นวายหาน้ำท่ามาให้
แต่สปีริตของคณะนักศึกษาสาวก็นับว่าใช้ได้
เพราะไม่มีใครกินแรงเพื่อน
พอนั่งพักคุยกระจุ๋งกระจิ๋งกันให้พอหายเหนื่อยจากนั้นก็พากันเดินกลับออกไป
อีก
คณะนักศึกษาทำงานกันง่วน
สนุกเพลิดเพลินกันไปอย่างดีจนกระทั่งสายๆ
หลายคนหมุนเวียนกันไปพักหลายรอบแล้ว
นิรัชราเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ใบหน้าใสนั้นแดงก่ำชวนอรนุชไปพักบ้างก็หลายครั้ง
แต่เด็กสาวที่ดูร่างเล็กบางแต่ทะมัดทะแมงทรหดกว่าใครตอบยิ้มๆ
ขณะใช้จอบในมือโกยดินออกมาจากหลุม
เตรียมฝังกล้าไม้
“ไม่เป็นไร...นิดไปพักก่อนเถอะ...เดี๋ยวนุชเอากล้าไม้พวกนี้ลงเสร็จแล้วจะตามไป”
“ถ้างั้นนิดขอถอยก่อนล่ะ...ไม่ไหว...เหนื่อยเหลือเกิน...หิวน้ำด้วย...นุชก็
อย่าหักโหมมากไปนะจ๊ะ...พักบ้างก็ได้...แถวของเราน่ะปลูกไปมากกว่าคนอื่นเขา
อยู่แล้ว...”
สาวน้อยจากม.เชียงใหม่ว่าแล้วก็เดินกลับไปที่เต๊นท์
ถอดหมวกปีกกว้างนั้นมากระพือไล่ความร้อน
เลือดที่ไหลเวียนจนแดงก่ำบวกกับอาการร้อนแดดนั้นทำให้วงหน้าใสนั้นดูงามตา
คุณป้าสองคนที่พักเหนื่อยจากการทำกิจกรรมร่วมกับสาวๆ
นั่งดื่มน้ำเย็นๆ คุยกันอยู่
ตอนนั้นป้ากานตาสะกิดเพื่อนให้ดูเด็กสาวในการควบคุมของตนเองเดินกลับมา
“เห็นไหม...หนูนิดของฉัน...สวยก็สวย...เก่งก็เก่ง...เรื่องกิจกรรมไม่ยั่นใคร”
กรองกนกเบ้ปาก
แต่ไม่จริงจังนัก
เพราะเธอเองก็มีความนิยมในตัวของนิรัชราไม่น้อย
ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปที่ลานกว้าง
“เช๊อะ...ดูน้องนุชของฉันบ้างสิ...อาไร้...ตัวนิดเดียวทำงานเป็นเครื่องจักร...”
“จ้า...จ้า...ยกนี้...ถือว่าหนูนุชน่ะได้แต้มไป...แต่ทางฉันน่ะไม่ยอมหรอกนะจ๊ะ...ยังเหลืออีกหลายยก”
เสียงบรรดาคุณป้าทั้งหลายซุบซิบคุยกันต่างฝ่ายต่างลงคะแนนกันในใจ
ด้วยสีหน้าแววตาที่เป็นสุขในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้
เพราะถือว่าเป็นกองประกวดที่ไม่ได้แข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตาย
ส่วนใหญ่ก็แป็นเพื่อนๆ
ในวงการวิชาการเหมือนกัน
วัตถุประสงค์หลักเพื่อจัดกิจกรรมปลูกฝังให้บรรดานักศึกษาเหล่านี้ได้รู้จัก
ทำงานให้กับสังคม
และใช้ชีวิตเป็นกลุ่มอย่างเอื้ออาทรแก่กันมากกว่า
ร่างสูงใหญ่ที่คอยเดินแนะนำวิธีการขุดดิน
ลงกล้า และเกลี่ยดินไปตามจุดต่างๆ
นั้น โดยไม่ได้มีทีท่าที่ผิดสังเกตแต่อย่างใด
ในที่สุดก็ค่อยๆ
เคลื่อนไปยังร่างเล็กบางที่กำลังใช้จอบเกลี่ยดินฝังกล้าไม้อยู่อย่างทะมัด
ทะแมง
“เก่งนี่...วางปุ๊บๆๆ...แซงหน้าแถวอื่นไปเยอะเลย...”
อรนุชไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าใครมาพูดเสียงเคล้าหัวเราะยั่วๆ
ปากบางขมุบขมิบเจริญพรอีกฝ่ายยาวเหยียด
หันหลังให้ไม่สนใจ
เดินแบกจอบตรงไปเหวี่ยงลงบนพื้นดินดัง
ผลุ...
“อ๊ะๆ...หวังว่าคงไม่ได้จินตนาการว่าดินตรงนั้นเป็นหน้าของผมนะครับ..”
ร่างสูงเดินตามมาส่งเสียงยั่วเย้าต่อ
อรนุชเบิกตาโต...นายหน้าหมีนี่ถ้าจะมีผีพรายกระซิบ...ใช่...เธอกำลังคิดว่า
ดินแห้งๆ
นั้นคือใบหน้าอันรุงรังของอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มแย้มอยู่อย่างน่าหมั่นไส้
จริงๆ เทียว...นี่แน่ะ...นี่แน่ะ...นี่แน่ะ....
มือเล็กบางที่สวมถุงมือผ้าเนื้อหนากุมด้ามจอบทะมัดทะแมงเหวี่ยงอาวุธในมือลงดินตามจังหวะในใจ
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ
คมศรหัวเราะเบาๆ
เดินมาแย่งจอบในมือไปถือไว้เอง
“พอเถอะ...คุณทำมาเยอะแล้ว...มือแตกหรือยังก็ไม่รู้...”
“ช่างฉัน...เอาจอบคืนมานะ”
อรนุชตวาดแว๊ด...พยายามยื้ออาวุธคู่มือคืน
แต่คมศรไม่ยอม
กลับเป็นฝ่ายลงมือเหวี่ยงจอบลงดินเอง
พลางเหลียวหน้าลงไปกล่าวกับเด็กร่างเล็ก
กระซิบเสียงระรื่น
“โมโหผมหรือ....”
เพราะสองคนเดินมาค่อนข้างห่างจากกลุ่มคณะ
มองมาไกลๆ ท่าทางนั้นก็ดูคล้ายๆ
คมศรกำลังแนะนำวิธีปลูกป่ากับสาวน้อยร่างเล็กอยู่
ไม่ได้มีอะไรผิดปกติแต่อย่างใด
อรนุชงอนตุ๊บป่อง
ใบหน้าแดงก่ำทั้งเพราะเหนื่อยและเพราะความรู้สึกอย่างอื่นที่ประดังขึ้นมา....
“ใช่...นาย...นายรู้อยู่ก่อนว่าฉันจะต้องมาที่นี่...”
เด็กสาวหวนนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายที่บอกว่าตัวเธอจะต้องเป็นคนตามเขามาเอง
ซึ่งตอนนั้นอรนุชนึกว่านายหน้าหมีพูดยั่วเธอเล่น...ที่ไหนได้...ความโกรธที่
ตัวเองดูเหมือนประหนึ่งเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ถูกยั่วเย้าให้หัวหมุนไปมาตลอด
ทำให้เสียงขู่นั้นแฟ่ดฟ่อดเหลือประมาณ
“แหม...ก็แค่อยากเซอร์ไพรซ์คุณน่ะ...ผมดีใจจะตายไปที่ได้เห็นหน้าคุณ...คุณไม่ดีใจหรอกหรือที่เห็นหน้าผม”
อรนุชเบะปาก...แต่ดวงตากลมโตนั้นเริ่มมีประกายพราวมาจากความรู้สึกภายใน...เช๊อะ..ใครจะตอบให้โง่
ตอนนั้นแขนกำยำแข็งแรงขุดหลุมลึกจนเสร็จอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเด็กสาวร่างบาง
ขุดหลายเท่า อรนุชจึงแกะกล้าไม้จากถุงหย่อนลงไป
คมศรยิ้มกว้าง
ใช้จอบเกลี่ยหลุมนั้นอย่างชำนาญการ
กรองกนกดูไกลๆ
เห็นร่างสูงแบกจอบ
และร่างเล็กหิ้วถุงกล้าไม้เดินตามต้อยๆ
แล้วสะกิดพรรคพวก
“แหม..คู่นั้นเหมาะกันจังนะ...ดูไกลๆ
แล้วนึกถึงสมบัติกับอรัญญา...”
พี่แต๋วทำตาเคลิ้ม
ขณะที่กานตาเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน
ยิ้มแย้มกับภาพตรงหน้าอย่างเอ็นดูเด็กสาวตัวเล็กนั้นด้วยความจริงใจ
........................
ศักดาบรรจงแต่งตัวให้ดูดีมีสไตล์
เสื้อเชิ๊ตสีขาวเนื้อนุ่มและกางเกงขายาวยี่ห้อเดียวกันนั้น
ทำให้ร่างที่เปรียวสมส่วนของบุรุษเพศตกเป็นเป้าสายตาของสตรีหลายคนในบริเวณ
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแสดงดนตรีการกุศลเพื่อหารายได้เข้าสภากาชาดไทย
ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มตัดโกนหนวดใหม่ๆ
จนมีไรเขียวขึ้นตรงปลายคางและริมฝีปาก
ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับจิ้งจอกสวาทอีกหลายเท่า
ดวงตาที่พราวไปด้วยความระรื่นรมย์กับสิ่งที่กำลังเสนอคอยอยู่ตรงหน้า
ทำให้เลือดลมในร่างกายของชายหนุ่มพลุ่งพล่าน
หลังจากได้รับโทรศัพท์อย่างไม่คาดฝันจากฐิติพรรณ
สมองของจิ้งจอกสวาทที่พล่านเร็วจี๋
คำพูดของอีกฝ่ายที่ดังสะท้อนในโสตประสาทของตนเองในขณะนี้ทำให้ศักดาครุ่นคิด
หนัก
“คิกคิก...ไม่ต้องมาปิดบังไอซ์อีกแล้วนะคะ...เพราะพี่รสบอกไอซ์ทุกเรื่องแล้ว”
ด้วยสัญชาตผู้ร้ายปากแข็ง
ศักดาก็กล่าวเสียงออดอ้อนด้วยมารยาที่เขาเคยใช้ได้เสมอมา
“พี่ผิดไปแล้ว...พี่สำนึกว่าตัวเองทำผิดต่อคุณรส...ไอซ์ยกโทษให้พี่นะ...พี่จะกลับตัวใหม่นับแต่นี้ไป”
เสียงหัวเราะใสนั้นดังระรื่นมา
จนศักดารู้สึกโล่งอก
แต่ทว่าคำพูดที่ตามมาทำให้ชายหนุ่มถึงกับสะอึก
“ใครว่าคะ...ไอซ์กำลังจะขอให้พี่ศัก...เป็นตัวของตัวเอง...คิดยังไงเมื่อก่อนก็ให้ทำอย่างนั้นต่อไป...”
จิ้งจอกสวาทกระแอมไอออกมา
นังไอซ์มันมาไม้ไหนกันแน่วะ....แต่ปากของเขายังคงพูดเพื่อรักษาสภาพของตัวเองเอาไว้ไม่หยุด
“โธ่...น้องไอซ์...อย่าลองใจพี่อีกเลย...พี่สำนึกผิดแล้วจริงๆ
นะครับ”
เสียงหัวเราะนั้นหายไปกลายเป็นเสียงตวัดห้วนขึ้นมาแทน
“แล้วใครว่าไอซ์ลองใจพี่ศักล่ะ...ไอซ์ต้องการให้พี่ศักทำทุกอย่างที่พี่ศัก
เคยทำกับเหยื่อคนใหม่ที่ไอซ์จะหามาเสนอให้พี่ศักถึงปากเลย...แต่...คิกคิก
...ไม่ต้องคิดมากหรอกนะคะ...เพราะรายนี้น่ะมันลูกไก่เซื่องๆ..ที่เซื่องจน
เซ่อ...ไม่มีทางรู้ทันพี่ศักแน่”
ใบหน้าของจิ้งจอกสวาทนั้นแปรเปลี่ยนไปทันที
เมื่ออีกฝ่ายแบไต๋มาอย่างนี้
เขาจะทำอย่างไร....เป็นแผนอะไรของนังไอซ์หรือเปล่า...และมันจะได้ผลประโยชน์
อะไร
เสียงของฐิติพรรณตามติดมาราวกับจะอ่านใจของจิ้งจอกสวาทออก
“ไม่ต้องคิดมากน่า...พี่ศัก...ก็แค่ไอซ์เกลียดครอบครัวของมัน
พี่สาวทั้งสองคนของมันทำกับไอซ์กับพี่รสซะแสบสันต์...ถ้าพี่ศักอยากจะไถ่โทษ
กับพี่รสบ้าง...ไอซ์ว่างานนี้น่ะเหมาะเลย...เผลอๆ...พี่รสอาจจะยอมยกโทษให้
พี่ศักด้วยนะคะ...”
เสียงของพริตตี้สาวกังวานมาแว่วหวาน
ศักดาตาลุกโพลง
มีความรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันตา
แต่ชายหนุ่มก็ทำเป็นกระแอมไอก่อนที่จะถามอย่างไว้เชิง
“พี่ขอฟังรายละเอียดจากไอซ์ดูก่อนได้ไหม....”
ฐิติพรรณหัวเราะคิกคัก
ก่อนจะเล่าความเป็นมาที่เธอกับคันธรสนั้นแค้นใจในตัวของอรชากับอรนุชเพียงใด
และตบท้าย
“นั่นแหล่ะค่ะ...คือสาเหตุที่ไอซ์อยากให้พี่ศักรับงานนี้...ไม่ต้องคิดมาก
ว่าไอซ์จะมีแผนการร้ายอะไรนะคะ...เพราะถ้าพี่ศักช่วย...พี่ศักก็รับไปเต็มๆ
...ทั้งขึ้นทั้งล่องไม่มีเสียสักนิ๊ด....คิคิ”
ในใจของจิ้งจอกสวาทนั้นกำลังตื่นเต้นจนตัวสั่นกับสิ่งที่ได้ฟัง
ภาพของหญิงสาวที่สวยซึ้งงามสง่าไปทุกอิริยาบทล่องลอยเข้ามาในห้วงคำนึง
....ที่สำคัญที่สุดที่เป็นจุดสุดยอดที่ทำให้ศักดาแทบร้องพล่านออกมานั้นก็
คือความงามอย่างโดดเด่นเป็นเอกไม่มีทางเป็นสองรองใครนั้นมาพร้อมกับ
ทรัพย์สินอันมหาศาล...โรงแรมในเครือทั้งหมดที่มีมูลค่าที่...จิ้งจอกสวาท
กระทั่งฝันก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ครอบครอง
โอกาสเรืองรองตรงหน้านั้น
สมองอันชั่วช้าเต็มไปด้วยเล่ห์กลกามของศักดาที่ทำงานไวไม่แพ้เสี่ยโฉด
ก็ครุ่นคิดแผนการต่อเนื่องได้เป็นฉากๆ
น้องสาวคนสุดท้อง...เหยื่ออันโอชะที่จะเป็นสะพานให้เขาแทรกเข้าไปคว้าดาว
ประดับฟ้ามาครอบครอง...คราวนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปเหมือนกับคันธรส
อีกเป็นอันขาด
เมื่อสายตาเขาแลไปปะทะร่างงามที่โด่ดเด่นของฐิติพรรณที่เดินจูงมือเด็กสาวคน
หนึ่งตามหลังมา
ดวงตาของจิ้งจอกสวาทก็เบิกกว้างตะลึงงันไปกับภาพตรงหน้า...
...............................
เสี่ยเซี้ยงซ่อนยิ้มไว้ในหน้าขณะที่โอบเอวของคันธรสที่กลับมาจากบริษัทแต่กลางวันกำลังนั่งเบียดแนบชิดอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน
“เสี่ยทอง...เขาขอให้รสช่วยพูดกับคุณปานเทพ...เรื่องของโรงแรมที่เสี่ยเขา
กำลังมีปัญหากับบริษัทของคุณเทพ…รสไม่อยากเลยค่ะ...แต่เสี่ยทองเขาก็โทรมา
ตื๊อตลอด...รสจะทำไงดีคะเสี่ย”
คันธรสที่นั่งเบียดอยู่ข้างๆ
เสี่ยเซี้ยง เงยหน้าถาม
ซึ่งเสี่ยโฉดยิ้มกล่าวว่า
“ตามประสาคนรู้จักกัน...ที่รักก็ช่วยเสี่ยเขาหน่อยสิครับ...ไม่เห็นแปลก”
ใบหน้างามของคันธรสนั้นแหงนขึ้นจ้องใบหน้าของเสี่ยเซี้ยง
กล่าวเบาๆ
“เสี่ยไม่ว่าอะไรหรือคะ...ถ้ารสจะไปพบกับคุณปานเทพเขาจริงๆ”
ฮ่ะฮ่ะ
จะไปว่าอะไรเล่า
อีโง่...ก็ฉันนะเต็มใจส่งแกไปเอง...ฮ่าฮ่า
เสี่ยโฉดยิ้มย่อง
ก้มหน้าลงจูบไปบนปากงามของหญิงสาว
พึมพำเสียงกระเส่า
“ผมรักคุณรส...มีหรือจะไม่ไว้ใจที่รักของผม...”
ใบหน้างามนั้นแดงระเรื่อ
ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายอย่างพึงใจในคำพูดของอีกฝ่าย
เสี่ยโฉดกระซุ่นคิด
เย็ดทิ้งทวนก่อนดีกว่า...ดูท่าไอ้ทองมันคงระบายความเงี่ยนของมันลงไปบนนังไฮโซนี่จนบักโกรกแน่ๆ
มือไวเท่าความคิด
คันธรสครางออกมาอย่างเสียวซ่าน
เมื่อเสี่ยเซี้ยงปลดกระดุมเสื้อ
และสอดมือเข้าไปในร่องอกเสื้อของตัวเอง
มือหยาบๆ นั้นขยำไปบนสองเต้าอวบของเธอขยำเบาๆ
นิ้วแข็งแรงบดบี้ไปตรงปลายถันผ่านเนื้อผ้าลูกไม้บางเบาที่ห่อหุ้มเต้างาม
อย่างช้าๆ เสี่ยโฉดก็ปั่นอารมณ์ของหญิงสาวจนตัวอ่อน
แอ่นอกอูมขึ้นรับการเฟ้นสัมผัสนั้น...ปลายถันแข็งเป็นไตดันออกมาจนนิ้วของ
เสี่ยเซี้ยงรับรู้ได้ผ่านเนื้อผ้านุ่มเนียน
เสียงหัวเราะหื่นประสานเสียงครางครวญอย่างเสียวซ่าน
พร้อมๆ
กับที่ร่างกำยำโอบอุ้มร่างงามของคันธรสเดินเข้าไปในห้องนอน
......................
สายตาของเด็กสาวกลุ่มใหญ่ที่กำลังเดินเล่นอยู่ในศูนย์สรรพสินค้าชื่อดัง
ชี้ชวนกันไปยังภาพที่พวกเธอเห็นตรงหน้า
“เฮ้...แอ๋ว...ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า...นั่นมันอีลูกเจ๊กหน้าจืดนี่นา...”
ศจีมองตามไปสายตาก็ปะทะเข้ากับเรือนร่างที่อยู่ในชุดเสื้อเกาะอกสีขาว
อวดผิวขาวผ่องเป็นยองใยตรงเนินอกและช่วงไหล่
เนื้อผ้าบางเบาที่รัดไปกับลำตัวนั้นชูให้เห็นทรวดทรงที่น่าตื่นใจ
ทรวงอกที่ตูมเด่นตั้ง
ลายผ้าลูกไม้ของยกทรงขึ้นเป็นแนวให้เห็นชัดๆ
ผ่านเนื้อผ้าบางเบา
กระโปรงบานสีขาวที่สั้นประมาณครึ่งขาอ่อนเผยให้เห็นช่วงขาขาวเนียน
ประกอบกันแล้วทำให้เด็กสาวในชุดที่เตะตานั้นเป็นจุดเด่นในสายตาของคนใน
บริเวณนั้นแทบทุกคน
“ฮื่อ...ไม่ผิดหรอก...ดูแปลกตาไปนะ...ไม่รู้มันคิดยังไง...อยู่ดีๆ
ก็มาแต่งตัวแบบนี้”
ศจีพึมพำ
อดรู้สึกไม่ได้
นังหน้าจืดเวลาแปลงโฉมก็สวยเด่นสะดุดตาเหมือนกัน
ขณะที่เพื่อนร่วมก๊วนพึมพำกระซิบ
“สงสัยคงอยากเปลี่ยนลุ๊กเอาไว้สู้กับไอซ์มั้ง....ก็โอ...นะ...ขาวๆ...หมวยๆ...อย่างนี้”
เด็กสาวที่มีอาชีพรับจ๊อบเป็นพริตตี้เหมือนกับฐิติพรรณยักไหล่
“ก็ได้แค่แค่พยายามว่ะ...แต่ขอโทษ...ไอซ์น่ะกินขาด...นังลูกเจ๊กนี่แต่งแค่ไหน...มันก็แค่หมวยหน้าขาวเท่านั้นแหล่ะ...”
เสียงเพื่อนร่วมก๊วนหัวเราะกราว
ก่อนที่บางคนจะถอนใจ
“เฮ้อ...พูดถึงไอซ์...เดี๋ยวนี้พวกเราเซ็งๆ
ไปนะ...ตั้งแต่ตัดมันออกจากกลุ่ม”
ศจีเองก็คิดถึงเพื่อน
จะอย่างไรเธอกับฐิติพรรณก็มีความสัมพันธ์กันมายาวนาน
ตอนนั้นพลันสายตาของเธอที่จับไปยังรุจิราก็เบิกกว้าง
เมื่อแลเห็นเด็กสาวตรงหน้าเดินระรื่นอยู่ภายใต้การห้อมกรอบของเด็กหนุ่มห้า
คน
“แหว่ะ...สวะจริงๆ...นังลูกเจ็กมันหาคู่ควงได้แค่นี้เหระวะ...”
เสียงคนหนึ่งครางขึ้นมา
ศจีขมวดคิ้ว...เธอก็ไม่อยากจะเชื่อ
แต่ท่าทางที่รุจิรากับเด็กหนุ่มทั้งห้าเดินเคลียคลอบ่าแนบบ่ากันไปนั้นมัน
แสดงให้เห็นเป็นอื่นไม่ได้เลยว่า
รุจิรากับคนพวกนั้นไม่ใช่แค่รู้จักกันธรรมดา
“ช่างมันเหอะ...อยากจะคบหาใครก็เรื่องของมัน..ฉันไม่เห็นสนใจ”
ศจียักไหล่
ก่อนที่จะพากันเดินไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ส่วนทางด้านชิดกับพวกแกงค์เด็กนรกเพิ่งปล่อยตัวให้รุจิรากลับบ้านไปตอนรุ่ง
เช้าของวันนี้เพื่อไม่ให้ทางบ้านของเด็กสาวผิดสังเกต
ก่อนจะโทรเรียกตัวเธอออกมาพบอีก...ไม่มีคำปฏิเสธจากรุจิรา
ชิดกับพวกหัวเราะกระหยิ่ม
สองวันสองคืนที่พวกมันกระเด้าควยเข้าใส่โพรงหลืบของรุจิรา
ความหัวอ่อน
และการหวั่นไหวไปอย่างง่ายดายต่อรสสวาทนั้น
ทำให้แกงค์นรกรู้สึกตื่นเต้น
และมีความรู้สึกกระหายหื่นยิ่งไปกว่าตอนที่พิชิตตัวของฐิติพรรณที่มีความสวย
กว่าเสียอีก
เพราะความแข็งของพริตตี้สาวทำให้เด็กนรกทั้งห้าไม่มีความรู้สึกของความเป็น
เจ้าของ....ต่างกับรุจิรา...ที่ชิดกับพวกรู้สึกถึงความที่มีอำนาจเหนือกว่า
เป็นเจ้าของเรือนร่างงามนี้ทั้งกายและใจ
ซึ่งความมีอำนาจเหนือกว่านั้นมันถูกพิสูจน์อย่างชัดเจน
โดยที่ความจริงนั้นรุจิราออกมาพบกับแกงค์เด็กนรกด้วยชุดเสื้อผ้าปกติ
แต่ถูกชิดกับพวกกล่อมจนยอมไปซื้อชุดใหม่เพื่อเปลี่ยนออกมาเดินเที่ยวกับพวก
ตนเอง ซึ่งชิดกับพวกตัวสั่นด้วยความกระสันซ่าน
เมื่อเดินเคียงคู่กับรุจิราในชุดที่ชวนวาบหวามใจนั้น
ชิดกระหยิ่มกระซิบไปที่ข้างหูของเด็กสาวที่พวกตกกล่อมจนตกเป็นทาสควย
“ทีหลังพี่หมวยมาเที่ยวกับผมก็แต่งชุดสวยๆ
อย่างนี้นะ...ชิดเห็นแล้วช๊อบชอบ”
รุจิราหน้าแดงซ่าน
กล่าวเบาๆ
“พี่...พี่แต่งตัวอย่างนี้ออกมาจากบ้านได้ที่ไหนล่ะ...ทางบ้านพี่ไม่ยอมหรอก”
มืดที่เดินขนาบอีกด้าน
ก็เสริมเสียงเคล้าหัวเราะ
“ไม่เห็นเป็นไร
ก็เอามาเปลี่ยนข้างนอกแบบนี้ก็ได้นี่ครับ...พี่หมวยคนสวย…ขาพี่หมวยสวยเหลือเกิน...เห็นแล้วอยากขยำจริงๆ...”
ใบหน้าขาวผ่องของรุจิราแดงระเรื่อ
ค้อนให้กับวาจาหยาบช้านั้น
ความรู้สึกเสียวซ่านที่พุ่งขึ้นมาจากท้องน้อย
ทำให้เธอแกล้งเดินบิดสะโพกยั่วเย้าสายตาของคนทั้งห้าที่รายล้อมเธออยู่
“อูยยย...พี่หมวยผมทนไม่ไหวแล้วววว..”
อ้วนส่งเสียงครางออกมา
ควยอวบตุงเป้ากางเกงจนคับ
ชิดกับพวกที่เหลือก็คิดเหมือนกัน
จากนั้นทั้งห้าก็เดินพารุจิราขึ้นไปบนชั้นที่เป็นชั้นขายของเฟอร์นิเจอร์ที่
ตามประสบการณ์ของแกงค์เด็กนรกมีคนเดินน้อยที่สุด
ก่อนจะไปหยุดตรงทางหลืบที่ไกลที่สุดตรงมุมห้าง
อันจะเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำผู้ชาย
ชิดกับพวกก็หันรีหันขวางจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นก็ฉุดมือของเด็กสาวผลุบเข้า
ไปข้างใน
ชิดผลักร่างของรุจิราเข้าไปในห้องน้ำ
ส่วนอีกสี่คนยืนออกันอยู่ตรงหน้าทางเข้า
สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะกระเส่าของชิดเริ่มดังแว่วขึ้นมา
ก่อนที่อีกประมาณยี่สิบนาทีหัวโจกแกงค์นรกจะเดินตัวเบาออกมาใบหน้าเสี้ยม
นั้นยิ้มระรื่น
แกงค์เด็กนรกที่เหลือนั้นตกลงกันเรียบร้อยก่อนหน้านี้แล้วว่าใครจะเข้าก่อนเข้าหลัง
พอหัวโจกเดินออกมา
อ้วนก็เดินตัวปลิวเข้าไปแทน
เด็กช่างกลร่างอ้วนที่ผลุบเข้าไปในห้องเบิกตากว้าง
มองรุจิราที่นั่งหน้าแดงอยู่ตรงชักโครก
ชุดเกาะอกนั้นรุ่ยลงมากองบนหน้าท้องพร้อมๆ
กับยกทรงสีขาวถูกเลิกขึ้นไปอวดสองเต้าที่กำลังเคลื่อนขึ้นลงอย่างเหนื่อยหอบ
กระโปรงสั้นที่ถูกถลกขึ้นมาตรงเอว
และกางเกงในที่ม้วนคาอยู่ที่ตรงข้อเท้า
ทำให้สายตาของเด็กช่างกลร่างอ้วนแลเห็นโพรงหลืบที่ตอนนั้นแบะออกมาอย่าง
ชัดเจน ในเวลานั้นคราบน้ำเมือกที่เอ่อออกมา
ค่อยๆหยดลงไปในคอห่าน ติ๋ง
ติ๋ง
อ้วนเบิกตาถลน
ลนลานเข้าฉุดร่างบางของรุจิราให้ลุกขึ้นแทบแนบผนังห้องน้ำ
มือหยาบนั้นขยำขยี้ไปบนทรวงอกที่เต่งเต้านั้นอย่างตระกลาม
ปากหนาบดเบียดไปบนปลายถันนั้นดูดดื่มความหวานของเนินนมเต่งนั้นอย่างอร่อย
ลิ้น ซ๊วบบบบ ซ๊วบบบบบ
อูยยยยย...หอมเหลือเกินพี่หมวย....อูยยยยย...ซ๊วบบบบ...ซ๊วบบบบ
รุจิรากัดฟันแน่น
พยายาไม่ส่งเสียงครางออกมา
เพราะกลัวว่าใครจะได้ยิน
อ้วนใช้มือข้างหนึ่งตะครุบหมับไปที่ขาอ่อนขาวสล้างของเด็กสาว
จับให้รุจิรานั้นยกขาข้างหนึ่งขึ้นไปยันตรงบริเวณชักโครก
ก่อนที่มือหยาบของเด็กร่างอ้วนจะลากขยำไปตรงเนินนูนที่ฉ่ำแฉะไปด้วยน้ำเมือก
ของชิดหัวโจกอย่างเมามัน
ร่างบางที่ขาข้างหนึ่งยืนเหยียดอยู่กับพื้น
ขณะที่ขาอีกข้างหนึ่งยกขึ้นยันอยู่ตรงชักโครกถึงกับส่ายบิดไปมาอย่างเสียว
ซ่านกระสัน
เสียงครางลอดออกมาจากปากที่พยายามเม้มสนิท....อื้ออออ...อื้อออออ...ซี๊ดดดด
...ซี๊ดดดดด
“อูยยยยย..นุ่มนิ่มแน่นมืออ้วนดีจัง...ชอบไหมครับพี่หมวย...”
อ้วนร้องกระเส่า
มือหยาบที่ขยำไปตรงเนินสวาทนั้นรับรู้ถึงอาการบิดพล่านของร่างงามได้เป็น
อย่างดี
ควยอวบที่กระตุกเต่งคับเป้าก็ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
โผล่หัวถอกบานคล้ำร่อนผงาดออกมาหงึกหงัก
รุจิราบิดหน้าอย่างเสียวซ่าน
เมื่ออ้วนกระแซะร่างอ้วนของตนเองเบียดเข้ามากับร่างเธอที่พิงผนังห้องน้ำ
อยู่ พร้อมๆ
กับจ่อหัวถอกอวบนั้นเข้ามาตรงโพรงหลืบที่ท่ายืนถ่างขาแหกกว้างอยู่นั้น
ร่องหลืบของเด็กสาวราวกับปากของเด็กทารกที่อ้าออกรอคอยปลายถันจากนมของคน
เป็นแม่อย่างโหยหา
“อุ๊บบบบ....ซี๊ดดดดดด....”
เด็กสาวสาวแหงนหน้าเพริด
ปากงามอ้าออกร้องอย่างทนห้ามใจไม่ไหวเมื่อควยอวบของอ้วนนั้นแหวกทะลวงกลีบ
อูมเข้ามาในร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว
เด็กสาวยืนโหย่งตัวอย่างเสียวซ่าน
รู้สึกท่อนเนื้อที่รุกรานเข้ามานั้นแผ่ตัวเองจนตึงคับไปทั้งตลอดโพรงหลืบ
ร่างขาวที่พิงผนังสั่นสะท้าน
ขาข้างที่ใช้ยืนทรงตัวบนพื้นนั้นสั่นสะท้าน
ปลายเท้าจิกไปกับพื้นแน่น
อ้วนหัวเราะกระเส่า
ปากไซร้ไปตามซอกคอขาวผ่องของรุจิราที่ยืนระทวยติดผนังห้องน้ำ
มือกำขยำไปบนสองเต้าอูมนั้นอย่างเมามัน
ก่อนที่จะเริ่มเกร็งสะโพกกระเด้าเข้าออกโพรงหลืบของรุจิราเริ่มจากช้าๆ
และค่อยๆ เร่งเครื่องขึ้นเรื่อยๆ
ปั่บๆๆๆๆ
“อ๊ะๆๆๆๆ...ซี๊ดดดด...ซี๊ดดดดด..อูววววว..ซี๊ดดดดด…อ๊ะๆๆๆๆๆ”
รุจิราครางครวญ
ส่ายหน้าไปมาอย่างเสียวซ่านกระสัน
ร่างที่ยืนพิงผนังอยู่นั้นกระแทกหลังไปแนบชิดกับผนังห้องน้ำ
เวลาที่ควยอวบของเด็กร่างอ้วนกระแทกเข้าสุดๆ
จนหนอกควยปะทะกับโคกอูมนั้น
แรงส่งทำให้หลังของรุจิราเด้งไปกระแทกผนังจนเกิดเสียงดัง
กึกๆๆๆๆๆๆ ตามไปด้วย
เด็กร่างอ้วนที่กัดปากคำรามอย่างมันส์หัวถอก
ที่ตะบันผลุบเข้าออกโพรงสวาทที่ฉ่ำแฉะของรุจิรา
อูยยยยย...อูยยยยย...หีตอดดีจริงๆ....อัซซซซ
อัซซซซ...อูยยยยย...
ชิดกับพวกที่ยืนอออยู่ด้านนอก
หัวเราะระรื่น
ฟังเสียงควยของเพื่อนร่วมแกงค์กระเด้าต่อเนื่องยาวเกือบครึ่งชั่วโมง
เสียง กึกๆๆๆๆๆๆ
ดังอย่างต่อเนื่องยังไม่มีทีท่าจะหยุด
อ๋องเหลียวซ้ายแลขวา
ส่งเสียงร้องเข้าไป
“สัตว์อ้วนเอ๊ย...เย็ดอยู่นั่นแหล่ะ...กระฉูดควยมึงได้แล้ว....ไอ้เหี้ย...พวกกูรออยู่อีกหลายคน...”
สิ้นเสียงของอ๋องไม่นาน
เสียงคำรามของอ้วนก็ดังขึ้นกระเส่าห้อง...อูซซซซซ...อูซซซซซ...อูซซซซซ
เสียงกึกๆๆๆๆ ดังสนั่นพร้อมๆ
กับการสั่นสะเทือนของผนังห้องน้ำ
ก่อนที่อาการสั่นสะเทือนอย่างหนักนั้นจะค่อยๆ
เบาลงจนหลงเหลือเพียงเสียงหอบหายใจหนักๆ
และเสียงคราง ฮือฮือ ดังแว่วมา
และร่างของเด็กช่างกลอ้วนฉุที่เดินหน้ามันเยิ้มออกมายิ้มเผล่
ทั่วร่างอวบอ้วนนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาจนชุ่มโชก
มืดรออยู่ควยโด่อยู่แล้วไม่ยอมเสียเวลา
ผลุบเข้าไปในห้องน้ำต่อทันที
และไม่นานเสียงกึกๆๆๆๆ..ก็ดังต่อเนื่อง
ผสานกับเสียงครางกระเส่าดังลอดออกมาจากภายใน
อูซซซซ อูซซซซ...อี๊ยยยย..อี๊ยยยยย....อ๊ะๆๆๆ
กว่าที่มืดจะเสร็จสม
พรรคพวกที่ยืนอออยู่ตรงหน้าห้องน้ำนั้น
ต่างทำหน้าทำตาแสยะวาวอย่างนักเลงโตเต็มที่
ทำให้คนที่คิดจะเดินเข้ามาใช้บริการที่ห้องน้ำเปลี่ยนใจ
เดินเลี่ยงไปใช้ที่อื่นกันหมด
ท่ามกลางเสียงหัวเราะงอหายของแกงค์เด็กนรก
ที่ยืนฟังเสียงดังกึกๆๆๆๆๆ
ต่อเนื่องอย่างสบายอารมณ์ใบหน้ายิ้มแย้ม
พอมืดเดินออกมา
แจ็กก็ผลุบเข้าไปต่อคิวแบบไม่ให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
เสียงกึกๆๆๆ ดังต่อเนื่องขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เสียงอูซซซซ อูซซซซ
ของแจ็กดังลอดประสานกับเสียงคราง
ฮื้อออออ ฮื้อออออ
ของรุจิราที่เริ่มสะกดอาการไว้ไม่หยุด
เสียงครางของเธอจึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
พนักงานทำความสะอาดที่เดินเข้ามาดู
เมียงๆ มองๆ
อย่างสงสัยในการจับกลุ่มของแกงค์เด็กนรก
ซึ่งชิดหัวโจกกังวลว่าถ้าพวกตนเองป่วนเกินไป
แม่บ้านไปฟ้องยามเรื่องจะไปกันใหญ่
จึงกวักมือเรียก
และแอบยื่นเงินให้สามร้อย
กระซิบว่า
“ช่วยหน่อยนะพี่สาว
เพื่อนผมสองคนเขาเงี่ยนจัด...หาที่ลงไม่ได้จริงๆ”
แม่บ้านที่อายุยังอยู่ในวัยประมาณสามสิบปี
เงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงอูซซซ
อูซซซ และเสียงร้อง อ๊าๆๆๆๆ
ดังลอดออกมาพร้อมๆ กับเสียงกึกๆๆๆๆๆๆ
ของผนังที่กำลังสะเทือนราวกับมีใครใช้ค้อนทุบอยู่
ก็รู้ทันทีว่าเหตุการณ์อะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่
เงินสามร้อยแลกกับการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่สำหรับแม่บ้านทำความสะอาดมันเป็น
การตัดสินใจที่ง่ายดายมาก
อ๋องที่เหลือคนเดียวยังไม่เสร็จสม
ใจป้ำควักเงินให้อีกสองร้อย
“ทั้งหมดห้าร้อย...พี่สาวช่วยไปหาป้ายมาวางข้างหน้าหน่อยสิว่ากำลังซ่อมห้องน้ำอยู่น่ะ...จะไม่ลืมพระคุณเลย”
แม่บ้านยักไหล่
เด็กมามั่วกันเอง
ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ
ดังนั้นจึงรับเงินมาอย่างยิ้มๆ
แล้วว่า
“รอเดี๋ยวนะ...”
แกงค์เด็กนรกหัวเราะร่า
มองดูแม่บ้านเดินผละไป
ตอนนั้นเสียงของมืดดังกระเส่าแรงขึ้นๆ
โอวววววว....พี่หมวย...สุดยอดดดด...อูวววว...อูววววว...พรรคพวกได้ยินก็
หัวเราะครืนใหญ่
เสียงกึกๆๆๆๆๆ
ดังต่อเนื่องไปอีกร่วมสิบนาทีจนกระทั่งแจ็กเดินตัวเปียกออกมา
อ๋องคนสุดท้ายแลบลิ้นเลียปากด่า
“ไอ้เหี้ย...กว่าจะเสร็จ...กูเฉาควยจะตายห่าอยู่แล้ว”
เด็กโค่งพูดจบก็วิ่งเข้าไปเป็นคนสุดท้าย
ตอนนั้นร่างของรุจิกราปลือยเปล่าขาวโพลนเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อจนมันปลาบ
ไปทั้งตัวแล้ว
เพราะชุดที่เธอใส่ถูกถลกออกไปหล่นเรี่ยราดอยู่บนพื้น
จะมีก็แต่เพียงกางเกงในตัวน้อยที่ยังคาที่ข้อเท้าข้างขวา
เด็กโค่งที่อัดอั้นตันใจอยู่นาน
กระชากร่างเปลือยของรุจิราให้ยืนหันหลังให้กับตัวเอง
ใช้มือแบะช่วงขางามของเด็กสาวให้กางคร่อมโถส้วม
และกดร่างของเด็กสาวให้แอ่นราบลง
จนรุจิราต้องใช้มือไปยันตรงชักโครกเอาไว้
นัยน์ตาเหลือกลานของอ๋องกวาดไปตามเอวคอดที่รับกับสะโพกผายที่ตอนนั้นกำลัง
แอ่นขึ้นมากลมดิกราวกับลูกบอล
ช่วงขางามที่แยกถ่างออกมานั้น
ทำให้แลเห็นโพรงหลืบที่แบะอ้าออก
น้ำขุ่นๆ ข้นคลั่กอยู่ในโพรงเนื้อสีชมพูสด
ส่งกลิ่นคาวหืนตลบไปทั่วห้องแคบๆ
อ๋องบดมือไปตามปรีก้นที่ขาวผ่องนั้นกระเด้งงอนขึ้นอวดหน้านั้นอย่างเมามัน
นิ้วหยาบๆ นั้นลากไปตามร่องก้นที่ขาวผ่อง
ปลายนิ้วของเด็กโค่งกระฉอกเข้าออกไปตามโพรงหลืบที่เหนียวข้น
เสียงดังแจ๊ะๆๆๆๆ
สร้างความเสียวซ่านให้กับร่างงามสะดุ้งไหวไปตามแรงเฟ้นนั้น
รุจิราคราง ฮือออ
ฮืออออ...อูวววว...ซี๊ดดดด...ซี๊ดดด…อ๋องจ๋า...พี่เสียววว...จัง...ซี๊ดดดดด
...อ๊ะๆๆๆๆ..แจ๊ะๆๆๆๆๆ...
เด็กโค่งลนลานถอดกางเกงออก
ผงานลำควยอวบที่ปลายถอกบานร่า
ส่งเสียงกระเส่า
“เดี๋ยวจะเสียวยิ่งกว่านี้อีกครับพี่หมวยคนสวยของอ๋อง...”
หัวถอกนั้นกดพรึบไปบนร่องหลืบที่มันวาวไปด้วยน้ำเมือก
เด็กโค่งกัดฟันร้อง
อูซซซซ...บดเบียดหัวตออวบอ้วนนั้นครูดผ่านโพรงหลืบของรุจิราเข้าไปอย่างรวด
เร็วทีเดียวหมดลำ...ปั่บ...หนอกควยของเด็กโค่งกระแทกไปที่ง่ามก้นขาวผ่องของ
เด็กสาวเต็มๆ....ร่างงามสะดุ้งเฮือก...ปากร้อง...อูววววว...ซี๊ดดดดดด...
สะโพกผายราวกับลูกฟุตบอลนั้นดิ้นระริกร่านอยู่ท่ามกลางหนอกควยที่อัดเข้ามา
จนเบียดชิดร่องก้น
กระโปกควยของอ๋องนั้นตีไปตามโคนขาอ่อนที่แบะคาคร่อมโถส้วมอยู่
เด็กโค่งเกร็งหน้าท้องเริ่ม
กระเด้าลำควยผลุบเข้าผลุบออกโพรงหลืบนั้น
เสียงปั่บๆๆๆๆ
ดังขึ้นมาเป็นจังหวะตามหน้าขาของเขากระแทกไปที่แก้มก้นที่อวดโฉมแน่นเปรี๊ยะ
อยู่ตรงหน้า
รุจิราครางครวญ....ซี๊ดดดด...ซี๊ดดดดด....ซี๊ดดดดด
ความเสียวซ่านที่พล่านพลุ่งไปทั่วทุกอนูเนื้อขาวๆ
นั้น
ทำให้เด็กสาวส่ายสะโพกกระเด้าตอบท่อนเอ็นที่ทะลวงโพรงหลืบของเธออย่างเร่า
ร้อน กลีบอูมสวยของเด็กสาวขมิบตอดดูดรัดไปตามลำเอ็นอ้วนอวบ
ยามที่ปลายถอกนั้นพรวดเบียดผนังโพรงของเธอราวกับลูกสูบ
อาการที่ขมิบรัดแนบแน่นนั้นสร้างความเสียวกระสันต์ให้กับเด็กโค่งจะเหลือ
ประมาณ ปากเบี้ยวบูด
ครางกระเส่าร้อง
อูววววว...อูววววว...หีตอดจริงๆ....โอวววว..พี่หมวย...สุดยอดดดดดด...อู
ววววว...โอวววว...กระเด้าสะโพกแรงๆ....อย่างนั้น...อูวววว..อูวววว...
ซี๊ดดดดดด..อร่อยควยอ๋องจริง...โอววว....ปั่บๆๆๆๆๆๆๆ
ในห้องน้ำแคบๆ
นั้น เกือบพอดีแค่ตัวของรุจิราที่ยืนแอ่นโก้งโค้งอยู่
พออ๋องที่จะต้องใช้จังหวะในการสาวลำควยกระเด้า
ก้นของเด็กโค่งก็ต้องกระแทกไปกับประตูห้องน้ำดังกึกๆๆๆๆๆ
ตลอดเวลา
ภาพของกลีบอูมของสาวสดที่หดเข้าออกยับยู่ไปตามท่อนเอ็นที่บดเบียดนั้นมัน
ยั่วสายตาของเด็กโค่งที่ยืนกระเด้าอยู่เสียเหลือเกิน
เด็กหนุ่มร้อง อูววววว อูววววว
เร่งเครื่องกระเด้าท่อนเนื้อตัวเองขึ้นไปอีกยกใหญ่
เสียง ปั่บๆๆๆๆ ดังถี่ยิบพร้อมๆ
กับฟองฟ๊อดขาวที่ฟุ้งกระจายจับไปตามท่อนเอ็นของตนเอง
น้ำเมือกของพรรคพวกทั้งสี่คนที่หลั่งอยู่ก่อนหน้าและน้ำเงี่ยนที่ทะลักทลาย
ออกมาจากโพรงหลืบที่ดูดรัดท่อนควยที่กำลังครูดคราดเบียดสีอยู่นั้นเยิ้ม
หลั่งพรั่งพรูกระฉอกออกมาตามจังหวะกระเด้าของอ๋อง
จนชุ่มโชกไปทั้งหนอกควยที่กระแทกเข้าใส่ไม่ยั้งนั้น
หยดน้ำเมือกและน้ำสวาทที่รวมตัวกันมากเข้าๆ
ก็กลั่นเป็นหยด แหมะๆๆๆๆ
ลงไปในคอห่าน ดังติ๋งๆๆๆๆๆ
“ซี๊ดดดด...ซี๊ดดดดด..พี่...พี่เสียว...ใจจะขาดแล้วววว....อี๊ยยยยย...”
รุจิราครางคราว
เนื้อขาวๆ เต้นระริกถี่ยิบ
เมื่อเพลิงกระสันตั้นไต่ระดับความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ตามจังหวะกระเด้าของเด็กโค่งที่ด้านหลัง
มือขาวบางของเด็กสาวที่กำยึดแน่นไปตรงชักโครกนั้นเกร็งจนเส็นเลือดเขียวๆ
ขึ้นเป็นริ้วมองเห็นได้ชัดผ่านผิวเนื้ออันขาวใสอันเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวมา
จากมีเชื้อชาติจีนของเธอ
“อูยยยยย..อ๋องก็เสียวววว...หีมันตอดเหลือเกิน....โอววว...ซี๊ดดดด...ถ่างขา
อีกหน่อยสิครับพี่หมวย...อูยยยย..อย่างนั้น.....อูยยยววว...อีกเดี๋ยวเดียว
...โอววว...อูยยยยย....”
เสียงปั่บๆๆๆๆ
ดังพร้อมๆ
กับเสียงก้นของเด็กโค่งที่กระแทกประตูห้องน้ำ
กึงๆๆๆๆๆๆๆ ประสานไปกับเสียงครางครวญระงมห้องน้ำ
ซึ่งตอนนี้รุจิราไม่สนใจแล้วว่าเป็นห้องน้ำสาธารณะ
เด็กสาวแหงนหน้าเพริดร้อง
อ๊ะๆๆๆๆๆๆๆ เสียงดังลั่นห้อง.ประสานกับเสียง
อูซซซซซๆๆๆๆๆๆ ของเด็กโค่ง
ที่ใบหน้าเบี้ยวเหงื่อแตกไปทั่วตัว
ร่างโน้มลงไปตามแผ่นหลังขาวเนียนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เอื้อมมือเข้าไปเคล้นสองเต้าอูมที่เด้งกระเพื่อมอยู่อย่างรุนแรงตรงหน้า
อูววววว...อูววววว...โอวววววว...สุดยอด....พี่หมวยย......อ๊ซซซซซซ
ปั่บๆๆๆๆๆ
รุจิราใบหน้าเหยเกแหงนหน้าเพริด
ความเสียวที่เกิดจากท่อนเนื้อที่ครูดคราดโพรงหลืบของเธออย่างรุนแรง
ความอวบนั้นเบียดสีไปกับติ่งแตดของเธอนั้น
บี้จนเม็ดละมุนนั้นสั่นระริกร่านไหวกระซิกกระซี้
พล่านความเสียวซ่านกระสันต์ให้แผ่ลามไปทั่วทุกอณูเนื้อ
ขนอ่อนๆ ทั่วร่างลุกชัน
เด็กสาวบิดตัวเร่าๆ
ขาที่แหกถ่างคร่อมโถส้วมนั้นสั่นกระตุกถี่ถี่
เนื้อขาวตรงท่อนขาอ่อนนั้นเต้นระริกๆ
จนเห็นได้ชัดเจน
ความเสียวที่พล่านพลุ่งนั้นมันรุนแรงจนถึงขั้นเข้าสู่วิมานฉิมพลีแล้ว
“โอวววว...โอวววว...อ๋อองงง..จ๋า....พี่...เสียวววว...เสียวววเหลือเกิน...
ไม่...ไม่ไหววววแล้ววว...เร็วๆๆๆๆ..พี่จะถึงแล้วววว...อ๊ะๆๆๆๆ…เร็วๆๆๆ..
แรงๆๆๆ...โอวววว..โอวววว...อ๊ะๆๆๆๆ”
อ๋องแบะปากออกมาอย่างกระหาย
เร่งเครื่องกระเด้าหนักเข้าๆ
เสียงหน้าขากระแทก ป้าบๆๆๆๆๆๆ
ถี่ยิบ
“อูยยยย...ได้เลย...พี่หมวย...อ๋องจัดให้....อูวววววว...อูววววว...โอยยย...
ตอดใหญ่แล้วววว...โอววว
โอวววว...อูยยยย...อูยยยยย...ซี๊ดดดด..ตอบชิบหาย...ไม่ไหวเหมือนกันนน...
โว้ยย...”
ความเสียวกระสันที่ได้รับอยู่ตรงหัวถอกนั้นพล่านจนเกินจะทน
พอร่างงามของรุจิราสะท้านเฮือก
ดิ้นพร่านๆๆ ปากร้องลั่นห้องน้ำ
อ๊ายยยยยยยยยยยซซซ
แสดงอาการน้ำแตกไปคาควยตัวเองนั้น
โพรงสวาทที่ตอดถี่ยิบก็ดูดเอาหัวถอกบานที่แตกตัวอัดแน่นอยู่ในผนังโพรงถึง
อาการไปแทบพร้อมๆ กัน
อ๋องสูดปากร้องลั่นห้อง
อูซซซ อูซซซซ อูซซซซ อ๊ากกกซซซซ....
น้ำกามจากปลายถอกกระฉูดราดเข้าไปในร่างกายของรุจิราที่ยืนโก้งโค้งส่ายสะโพก
อย่างรุนแรง ปิ๊ด ปิ๊ด ปิ๊ด
ซึ่งผนังโพรงนั้นยังดูดตอดไม่หยุด
ราวกับปากเด็กทารกที่พยายามดูดน้ำนมจากอกแม่
รีดเค้นน้ำกามออกไปจากปลายควยของเด็กโค่งจนหยดสุดท้าย….
ป้ายห้องน้ำชำรุดที่ถูกวางเอาไว้ตรงบริเวณทางเข้า
ทำให้แกงค์เด็กนรกไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอีกต่อไป
ตอนนั้นชิดหัวโจกหัวเราะกระหยิ่ม
เดินส่ายควยที่ตุงเป้าวนกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบหนึ่ง
สวนทางกับอ๋องที่เดินใบหน้ามันเยิ้มออกมา
เสียงกึกๆๆๆๆๆ
ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกรอบ
.........................
อรอุษาอยู่ในชุดเสื้อสีฟ้าเนื้อสวย
คอรูปตัวยูนั้นคว้านพองาม
รอบคอเสื้อประดับเย็บด้วยลูกไม้เป็นลวดลาย
ช่วยเสริมให้ช่วงคอของเด็กสาวนวลผ่องเรียวงามราวกับสลักเสลามาจากช่างปั้น
ฝีมือเทพ แขนเสื้อสั้นแบบจั๊มฟรัดรึงไปบนต้นแขนบอบบาง
ตัวเสื้อเนื้อผ้างามนั้นสอบเข้าหาตัวเผยให้เห็นช่วงเอวที่คอดได้รูป
ชายเสื้อปล่อยระบายพลิ้วยาวมาระตรงบริเวณสะโพกผายที่ตอนนั้นซ่อนความงามอยู่
ภายใต้กางเกงยีนต์สีขาวที่เด็กสาวสวมใส่แบบพอดีตัว
เนื้อผ้าที่หนาลู่ไปตามช่วงขาอวดความเรียวสวยงามอย่างไม่มีที่ติไปจรดปลาย
เท้าที่สวมรองเท้าหุ้มส้นแบบน่ารัก
ความสวยน่ารักที่สดใสกระจ่างตานั้นทำให้เด็กสาวที่เดินอยู่ข้างๆ
พริตตี้สาวที่มีใบหน้าอันบาดใจชายทุกคนถึงกับโดดเด่นได้อย่างไม่เป็นรอง
บวกกับวงหน้าสวยหวานที่มีเครื่องหน้าอันเหมาะเจาะรับกันทุกส่วน
ผิวหน้าที่บางใสราวกับผิวเด็กทารกและผมดำขลับมันระยับป็นเงางามที่ยาวไปถึง
กลางหลังนั้น
ทำให้สายตาของจิ้งจอกสวาทที่แลมองมาถึงกับเบิกตากว้างตื่นตะลึงไปกับความงาม
ตรงหน้า
ทั้งๆ
ที่ในใจวางแผนเอาไว้คิดอาศัยเหยื่ออันโอชะที่หลุดเข้ามาถึงปากง่ายๆ
เป็นแค่สะพานเดินไปสู่รางวัลที่ยอดเยี่ยมกว่า
แต่จิ้งจอกสวาทนั้นพลันบังเกิดเพลิงปรารถนาขึ้นมาอย่างรุนแรงกระหายหื่น
จนขนลุกชันไปทั่วร่าง
อูยยยยย...สวยชิบหาย....ใสปิ๊งๆ...น่ารักน่ากินไปทั้งตัวเลยโว้ยยย....แม่ง
เอ๊ย....ทำไมมันน่าจับเย็ดไปทั้งตัวอย่างนี้วะ...โอยยย...ปากแดงแจ๋..แก้ม
เป็นพวงใสแจ๋วเลย...น่าควานจูบสุดๆ....โอยๆๆ....สุดยอดๆๆ...โชคสุดๆๆ....
หวานควยกูล่ะ...ทีแรกนึกว่าหน้าตาคงงั้นๆ...บ๊ะ...ไม่นึกเลยว่าจะสวยขนาดนี้
....เจ๋งสุดๆ....อย่างนี้กูก็กกนังเด็กนี่เป็นออร์เดิฟเรียกน้ำย่อยไปพลางๆ
ก่อนถึงเวลากินอาหารจานหลักแม่อรชาคนสวย...ให้สบายควยไปเลยสิวะ...ฮ่าฮ่าฮ่า
ความคิดของศักดานั้นพล่านไปด้วยความชั่วช้าลามก
แต่ทุกอย่างมันถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้สีหน้าของชายหนุ่มผู้หล่อเหลายิ้ม
แย้มอย่างนุ่มนวลมีเสน่ห์เหลือเกินในสายตาของเพศตรงข้าม
ศักดาทำทีเดินเกร่เข้าไปในทิศทางที่สองสาวกำลังเดินสวนมา
และเมื่อประสานสบตากับฐิติพรรณ
แววตาของทั้งคู่ก็วูบวาบ
ชายหนุ่มฉีกยิ้มด้วยมารยาขณะที่ฐิติพรรณก็ทำตาโตด้วยความสามารถในการเล่น
ละครที่ไม่แพ้กัน
“พี่ศัก...พี่ศักจริงๆ...ด้วย...ดีใจจังค่ะ...ที่แจอกัน”
พริตตี้สาวส่งเสียงร้องทัก
ขณะที่ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
พยายามระมัดระวังไม่ให้สายตาของตัวเองสาดประกายความรู้สึกที่พล่านพลุ่งอยู่
ภายใน ยิ่งเข้ามาใกล้ๆ
ผิวแก้มบางใสที่ราวกับจะปริไปได้เมื่อต้องลมแรงของเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
ฐิติพรรณมันปั่นป่วนเพลิงตัณหาในกายของจิ้งจอกสวาทอย่างเหลือประมาณ
“อ้อ...น้องไอซ์เองหรือ...แหมบังเอิญจริง...”
พริตตี้สาวหัวเราะคิกคิก
หันไปยังอรอุษาและแนะนำเสียงหวานใส
“นี่น้องสาวของเพื่อนสนิทไอซ์ค่ะ...ชื่อน้องอรอุษา...ษาจ๊ะ...นี่พี่ศักดาจ้ะ”
อรอุษาพนมมือไหว้ชายหนุ่มอย่างเรียบร้อย
พอดวงตากลมโตของเธอประสานเข้ากับสายตาของชายหนุ่มที่มองมา
ใจของเด็กสาวแสนสวยก็สะท้านวูบ
แก้มบางใสนั้นปรากฏริ้วรอยระเรื่อ
ต้องรีบก้มหน้าลงมองพื้น
ในช่วงวัยที่ผ่านตั้งแต่เด็กจนโต
อรอุษาที่เรียนคอนแวนต์หญิงล้วนตั้งแต่เล็ก
และใช้ชีวิตในยามปกติกับพี่สาวทั้งสองคนตลอดมา
ทำให้เธอนั้นไร้เดียงสานักกับเพศตรงข้าม
ชายหนุ่มที่ใกล้ชิดกับตัวเธอก็มีเพียงพี่ปานเทพพี่เขยและพี่ธนาน้องชายของ
พี่เขยเท่านั้น
ภาพของเด็กสาวแสนสวยที่ไร้เดียงสาเบื้องหน้านั้นยั่วยวนใจของจิ้งจอกสวาทจน
ใคร่จะกระชากร่างบางนั้นเข้ามาเฟ้นฟอนจูบแก้มบางใสสีสวยน้นให้สาแก่ใจ
แต่ต่อหน้านั้นศักดารักษาความเป็นสุภาพบุรุษอย่างเต็มเปี่ยม
ทำเป็นไม่สนใจกับความงามล้ำเบื้องหน้า
หันไปยิ้มกว้างขวางกับฐิติพรรณ
ชวนพริตตี้พูดคุยอย่างเป็นกันเอง
อรอุษาที่แอบมองมาอย่างขลาดๆ
จึงค่อยสบายใจขึ้นที่สายตาของชายหนุ่มไม่ได้จ้องมายังเธออีก
“พี่ศักได้ตั๋วแล้วหรือยังคะ”
ศักดายิ้มละไม
ผงกศีรษะ พริตตี้สาวกล่าวเสียงใส
“ไอซ์ก็เรียบร้อยแล้วค่ะ...กำลังจะพาน้องษาไปหาอะไรอร่อยๆ
ทาน...พี่ศักไปด้วยกันสิคะ”
“ได้สิครับ...ยินดีอย่างที่สุด...แต่ว่า...แต่พี่เกรงใจ...เผื่อน้องษาอาจจะไม่สะดวกใจหรือเปล่า...”
ตอนท้ายศักดาหันมาถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ซึ่งเด็กสาวผู้อ่อนเยาว์ไร้เดียงสา
ลึกๆ...ความจริงเธอรู้สึกไม่สะดวกใจอย่างที่อีกฝ่ายพูด
แต่ความเป็นคนขี้เกรงใจ
และถูกอบรมมารยาทสังคมมาเป็นอย่างดี
ทำให้ใบหน้าเป็นสีชมพูเมื่อตอบเสียงเบาบาง
“ไม่ค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นขออนุญาตให้พี่เป็นเจ้ามือนะครับ...”
“ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วค่ะ”
พริตตี้สาวตอบเสียงใส
ก่อนที่จะเดินจูงมืออรอุษาที่หายใจไม่ค่อยทั่วท้องเดินตามชายหนุ่มไป
..................
หลังจากทำกิจกรรมกันค่อนข้างหนักเมื่อช่วงเช้า
พอถึงเวลาอาหารกลางวันที่ยกพลกลับมาร่วมรับประทานกันที่ปางห้วยสัก
คณะกองประกวดทั้งระดับวัยคุณลุงคุณป้าและระดับสาวๆ
จึงลงมือทานกันเป็นการใหญ่อย่างหิวโหย
ซึ่งอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้นั้นสั่งตรงมาจากภัตตาคารที่มีชื่อเสียงในตัว
จังหวัดลำปาง
ทำให้มื้อกลางวันมื้อนี้ถูกใจคนกินกันทั้งหมด
เสียงสรวลเสเฮฮาดังกิ๊วก๊าวลั่นเรือนไทยที่เมื่อเช้าใช้นั่งประชุม
แต่ตอนนี้ปรับสถานที่เป็นจัดเรียงโต๊ะอาหาร
ก๊วนสาวซ่าประจำคณะประกวดรวมตัวกันที่โต๊ะหนึ่ง
ส่งเสียงเอะอะโวยวายดังกว่าใครเพื่อน
จนบรรดาคุณป้าที่นั่งรวมกันอีกโต๊ะต้องส่งเสียงปราม
“นี่หนูกิ๊ก...เบาๆ..หน่อยจ้ะ...เสียงเธอมันดังคับศาลาไปหมดแล้ว”
เสียงหัวเราะโห่ฮิ้วดังจากปากเพื่อนฝูง
เจ้าตัวหน้าม่อย แต่ก็แป๊บเดียวเท่านั้น
เพราะประเดี๋ยวหนึ่งรัชนีก็ยิ้มหัวเราะร่าเริงต่อ
เมื่อหัวข้อการเมาท์ในโต๊ะกำลังลำเลิกถึงความเปิ่นของคณะพรรคสาวซ่าส์แต่ละ
คนที่ทำเอาไว้ในกิจกรรมช่วงเช้า
อรนุชกับนิรัชราก็เป็นสมาชิกของแกงค์นี้ด้วยนั่งหัวเราะคิกคักเสียงใส
“คิดดู
ไอ้เราอุตส่าห์แบ่งงานกันทำ
เรารึก็ขุดแทบมือหงิก
ยายกิ๊กทำแสบ ฝังกล้าไปโดยไม่ถอดออกจากถุง
เล่นเอาเหนื่อยต้องขุดดินรื้อออกมาใหม่
ดีนะที่ฉันน่ะสังหรณ์
กลับมาเห็นทัน...ไม่งั้นต้องทำใหม่ทั้งหมดแน่ๆ...”
มุกดา...สาวน้อยน่ารักผู้มีผิวสีเข้มจากธรรมศาสตร์ค้อนให้กับรัชนีที่ทั้งสองจับคู่กันเมื่อช่วงเช้า
ซึ่งเจ้าตัวรีบร้องเอะอะ
“อ้าวๆ...แล้วใครจะไปรู้ล่ะจ๊ะ...ว่าต้องเอากล้าออกจากถุงก่อน...ไอ้เราก็นึกว่าวางปุ๊บก็กลบดินปั๊บได้เลย”
นิรัชราหัวเราะคิกๆ
กล่าวยิ้มๆ
“ตอนที่คุณคมศรเขาอธิบายตอนเช้ากิ๊กไม่ได้ยินเหรอ…ถ้าไม่เอากล้าไม้ออกจากถุงฝังไปรากก็เน่าได้”
รัชนีทำตาปรอย
หันไปยังชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังนั่งร่วมโต๊ะกับบรรดาคุณลุงคุณป้า
แล้วยกมือประสานกันบนทรวงอก
พร่ำเพร้อ
“โอว์...เจ้าชายของกิ๊ก...แค่ได้ยินเสียง...ใจกิ๊กก็ลอยคว้างจนไม่รับรู้อะไรแล้ว...”
“อ้วก!!!”
เพื่อนๆ
ร่วมโต๊ะพร้อมใจกันส่งเสียงออกมาดังลั่น
จนพี่แต๋วนึกว่ามีใครอ้วกจริงๆ
หันมาร้องถามตาโต
“ตายแล้ว...มีใครเป็นอะไรไปจ๊ะ”
แกงค์สาวซ่าส์หัวเราะคิกๆ
ครืนใหญ่เสียงใสแจ๋วโดยเฉพาะตัวต้นเหตุรัชนีเสียงแหลมดังกว่าเพื่อน
พี่แต๋วจึงค้อนตาคว่ำ
ขมุบขมิบปาก กานตาเพื่อนซี้จึงหันไปแขวะว่า
“ไหนเมื่อเช้าเธอบอกไงจ๊ะว่า...ปล่อยให้สาวๆ
ร่าเริงอย่างนี้น่ะน่ารักดี...”
ว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจ
ขณะที่กรองกนกได้แต่ยิ้มกร่อยๆ
จนแต้มกับคำพูดของตัวเองย้อนมาคืนสนอง
คมศรปรายตามองไปยังเด็กสาวร่างเล็ก
ที่ตอนนั้นตายิบหยีกำลังหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนน้ำตาร่วง
ใช้มือป้ายตาป้อยๆ
ขณะนั้นเองดวงตาประกายเหล็กของชายหนุ่มพลันสาดประกายวูบวาบ
ล้ำลึกจนยากจะหยั่งรู้ว่าเจ้าของดวงตาร่างสูงใหญ่นั้นกำลังรู้สึกอย่างไรกับ
ภาพที่เห็น
หลังอาหารกลางวันเป็นเวลาฟรีไสตล์
ใครใคร่ทำอะไรก็ได้
ทางปางห้วยสักจัดเตรียมไกด์เอาไว้ในหลายจุด
ใครอยากไปเที่ยวชมสวนป่าสักก็ได้
หรืออยากจะเดินท่องป่าดูดอกไม้ป่านานาพันธ์
หรือจะเลือกไปดูสวนดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้ในบริเวณหนึ่งมีเนื้อที่หลายไร่
มีทั้งไม้ดอก
และไม้ประดับที่งามตา..แต่บรรดาคุณลุงคุณป้าส่วนใหญ่เลือกที่จะเอนหลังพัก
ผ่อนเนื่องจากงานค่อนข้างหนักเมื่อช่วงเช้า
และกินอาหารกลางวันจนอิ่มไปตามๆ
กันมันชวนให้นอนเหลือเกิน
ซึ่งรีสอร์ทอยู่ในกลางหุบเขาอันร่มรื่นย์นี้บรรยากาศน่านอนเป็นที่สุด
ไม่นานหลายๆ ห้องก็มีเสียงดังคร่อกๆ
มาให้ได้ยิน
แกงค์สาวซ่าที่เดินผ่านได้ยินก็หัวเราะคิกๆ
คักๆ กันอย่างสนุกสนาน รัชนี
มุกดา และนิรัชราตกลงใจจะไปเดินท่องป่าดูดอกไม้กัน
แต่อรนุชสั่นศีรษะเบ้ปาก
“พวกเธอไปเหอะ...นุชขี้เกียจเดิน...นั่งๆ
นอนๆ อยู่แถวนี้ดีกว่า”
นิรัชรากลัวเพื่อนเหงา
จึงเซ้าซี้ชวน แต่อรนุชยิ้มกว้างขวางยืนยัน
สาวน้อยจากเชียงใหม่ก็เลยตามใจ
“ก็แล้วแต่นุชล่ะกัน...ถ้างั้นเย็นๆ
เจอกันอีกทีแล้วกันนะ”
เพื่อนๆ
แกงค์สาวซ่าโบกไม้โบกมือให้พากันเดินไปร่วมกลุ่มกับคณะอื่นๆ
ที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน
อรนุชกวาดตามองไปรอบๆ
ตัว ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันร่มรื่นย์บริเวณปางนั้น
สายตาของเธอเมื่อกวาดไปเรื่อยๆ
ก็ไปปะทะกับแววตาประกายเหล็กที่เขม้นมองมาแต่ไกลอยู่แล้ว
เด็กสาวสะบัดหน้าพรืด
หันหลังให้ทันทีเดินจ้ำไปอีกทางหนึ่ง
คมศรที่ยืนดูอยู่ต้องส่ายศีรษะอย่างมันเขี้ยวในความแง่งอนนั้น
แต่ก็ปลีกตัวไปไม่ได้เพราะบรรดาคุณลุงคุณป้าบางคนที่ไม่สมัครใจนอนรวมกลุ่ม
กันขอให้เขาพาไปชมการทำสวนป่าสัก
ซึ่งเจ้าของปางร่างสูงก็ขัดไม่ได้
ทำมือให้สัญญาณกับปิงชายหนุ่มไว้หนวดที่เป็นคนสนิทเดินเข้ามาหา
พร้อมกับส่งเสียงกระซิบสั่ง
“คอยดูแล..คุณอรนุชแทนฉันด้วย...สำหรับคนนี้...ฉันอนุญาต...เธออยากจะไปไหน..ทำอะไร..ได้หมด...รับรองให้ดีที่สุดเข้าใจไหม...ไอ้ปิง”
คุณอรนุชนั้นคือใคร
คนสนิทของคมศรนั้นรู้กระจ่างดีอยู่แล้ว
ริมฝีปากที่ไว้หนวดเรียวตอนนั้นจึงยิ้มกว้างขวาง
ผงกศีรษะรับคำอย่างนอบน้อม
“ครับ...พ่อเลี้ยง”
จากนั้นคมศรก็เดินกลับไปยังคณะนักท่องเที่ยวกิตติมศักดิ์
แล้วผายมือเชิญ
“เชิญครับ...ผมจะพาไปชมดูสวนสัก”
ปิงยืนยิ้ม
ตอนนั้นหันมามองร่างเล็กที่เดินเตร็ดเตร่ไปตามทางที่เดินอ้อมไปหลังรีสอร์ท
ในใจคิดอย่างครึ้มๆ
“เฮ้อ...อยู่กับพ่อเลี้ยงมานาน...ไม่เคยเห็นใครได้รับการเอาใจใส่อย่างนี้มา
ก่อน...รึว่าคราวนี้...พ่อเลี้ยงจะชอบใครสักคนขึ้นมาจริงๆ
แล้ววะ..ไม่อยากจะเชื่อเล๊ย
พับผ่า..”
เด็กสาวเป้าหมายในการคิดคำนึงของมือขวาพ่อเลี้ยงแห่งปางห้วยสัก
เดินชมนกชมไม้มาจนถึงหลังรีสอร์ท
ดวงตากลมโตก็พลันเบิกกว้างเป็นประกาย
ปากบางงามร้องออกมา
“โอ้โห...สวยจังเลย”
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้านั้นก็คือสิ่งมีชีวิตสี่ขาลำตัวสูงพ่วงพีสีดำปลอดกำลัง
วิ่งเหยาะย่างอยู่ในคอกกว้างอย่างคึกคะนอง
ใบหน้างามของอรนุชแย้มยิ้มออกมาอย่างกว้างขวาง
วิ่งตื๋อไปชิดขอบรั้วทันที
ดวงตากลมโตนั้นจับจ้องไปยังกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเป็นมัดๆ
กำลังกระตุกไปตามจังหวะควบนั้นอย่างหลงใหล
คนที่จับตามองแต่ไกลใจหายวาบ
ตาเหลือกพอง
เมื่อแลเห็นร่างเล็กบางนั้นชะเง้อชะแง้ยื่นหน้าข้ามเข้าไปในรั้วไม้
ทำท่าราวกับจะปีนเข้าไป
“ตายห่ะ...เดี๋ยวก็โดนเจ้าหมอกเตะตายคาเท้าหรอก...ตัวเล็กๆ
แค่นั้น”
คนสนิทของคมศรวิ่งสุดฝีเท้า
ตะโกนร้องเรียกสุดเสียงจนคอโก่งพอง
“เดี๋ยวๆ...อย่าปีนเข้าไปนะครับ...ม้ามันพยศ”
อรนุชได้ยินเสียงโหวกเหวก
ก็เลยชะงักตัวลงหันไปก็เห็นชายไว้หนวดวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหอบแฮ่กๆๆ
ตรงหน้า ก็ยิ้มพลางว่าเสียงอ่อนหวาน
“ขอฉันขี่หน่อยได้ไหมคะ”
“คุณหนูอยากขี่ม้าหรือครับ…เอาไว้ผมหาตัวอื่นให้ดีกว่า...พ่อเลี้ยงเขาหวงตัวนี้ครับ”
ใบหน้างามที่กำลังยิ้มหวานๆ
อยู่
เปลี่ยนสีหน้าแสดงความงอนป่องถือดีขึ้นมาทันทีจนตากลมนั้นเป็นประกายวาววับ
“ไม่เอาจะขี่ตัวนี้...”
ปากบางงามเม้มอย่างดื้อดึง
ความจริงถ้าไม่มีประโยคหลัง
เธอก็คงยอมให้อีกฝ่ายเลือกตัวอื่นให้ขี่แหล่ะ..แต่เช๊อะ...อยากหวงนักเรอะ
...ทำไมจะขี่ให้ดู
ว่าแล้วก็ทำท่าจะปีนรั้วเข้าไป
มือขวาของคมศรตาเหลือก
รีบถลันเข้ามายกมือไหว้ประหลกๆ
“โธ่...คุณหนู...หาเรื่องให้ไอ้ปิงแท้ๆ...ขอร้องเถอะครับ...เจ้าหมอกตัวนี้
มันไม่ยอมให้ใครขี่หรอกครับ...มันเชื่องกับพ่อเลี้ยงคนเดียว”
“ไม่เชื่อ...อย่ามาขู่เสียให้ยาก...ฉันจะขี่ตัวนี้...พยศมากเหรอ...ขี้งกมากกว่า...เช๊อะ”
ปากงามฟ่อดแฟ่ดใส่คนที่ห่างออกไปนับกิโล
ว่าแล้วก็ขยับตัวจะปีนเข้าไปใหม่
ปิงหนุ่มคนสนิทของเจ้าของปางห้วยสักทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้
นึกถึงถ้าว่าที่เจ้านายสาวตัวน้อยคนนี้หล่นจากหลังเจ้าหมอกมาจุกแอ้กๆ
บนพื้น เท้าหนักๆ
ของพ่อเลี้ยงก็คงประเคนให้เขาเป็นแน่แท้
แค่คิดคนไว้หนวดที่ริมฝีปากก็คอย่น
ถึงแม้คำสั่งของพ่อเลี้ยงจะบอกว่าให้ตามใจทุกอย่าง
แต่กรณีนี้ถ้าขืนตามใจไปมีหวังถูกเตะมากกว่าถูกชม
แต่ตอนนั้นจะให้ยื้อมือเข้าไปฉุดร่างเล็กบางก็ไม่กล้า
ได้แต่เกาหัววุ่นวาย นึกขึ้นได้
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อไปหาคมศรทันที
“ไม่เอาเว้ย...ขืนรับเผือกนี้ร้อนคนเดียวตายห่าแน่เรา...”
ซึ่งพ่อเลี้ยงร่างสูงที่กำลังพาคณะกองประกวดเดินชมแปลงเพาะกล้าไม้สักอยู่
ที่เรือนเพาะชำได้ยินจากปากของคนสนิทก็ตาลุกโพลง
คิดในใจอย่างหงุดหงิด
บ๊ะ...มันน่าจับตีก้นนัก...แม่เด็กดื้อนี่...
ร่างสูงกวักมือเรียกพนักงานที่ดูแลอยู่ประจำเรือนเพาะชำให้เข้ามาดูแลแทนตัว
เอง
ขณะที่พยายามปั้นยิ้มบอกกับบรรดาคณะกองประกวดว่ามีเรื่องด่วนเข้ามา
จึงรีบขอตัวเดินแกมวิ่งกลับไปที่รถจี๊ปส่วนตัวที่จอดอยู่ข้างๆ
“ไอ้ปิง...ทำยังไงก็ได้...อย่าให้เธอขึ้นหลังเจ้าหมอกเด็ดขาด…ไม่อย่างนั้นฉันเตะแกแน่ๆ”
พ่อเลี้ยงร่างใหญ่กล่าวเสียงหนักๆ
เสียงคนสนิทโอดครวญมา
“แล้วพ่อเลี้ยงจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ
เอ้าๆๆๆ..คุณหนู...ว้า...อย่าเข้าใกล้มันนักสิครับบบ...โธ่...ไอ้ปิงตายแน่...”
ร่างกำยำที่เด้งเข้าไปประจำที่นั่งคนขับ
กระชากรถออกไปทันทีด้วยความร้อนใจ
ส่งเสียงหนักๆ ตบท้าย
“ฉันกำลังรีบกลับไป...ถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน...จำไว้นะ...ถ้าแกปล่อยให้คุณอรนุชขึ้นไปบนหลังเจ้าหมอก...แกถูกฉันเตะแน่นอน”
“โธ่...พ่อเลี้ยง....โอ้วๆๆ..ไม่น่ะ...คุณหนู.....ตายแล้ว...”
เสียงคนสนิทร้องลั่น
แต่ชายหนุ่มไม่สนใจแล้ว
ปิดมือถือ เหยียบคันเร่งพารถพุ่งทะยานด้วยความร็วสูง
ใบหน้าคร้ามคมนั้นบึ้งตึง
หงุดหงิดใจเหลือประมาณ
ยัยเด็กดื้อ...มันน่านัก...พับผ่าสิ...เผลอแป๊ปเดียวก่อเรื่อง...
.................
คอนเสริต์การกุศลครั้งนี้นับว่าผู้จัดทำการประชาสัมพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม
เพราะขณะที่ศักดาพาเด็กสาวสองคนกลับมาจากรับประทานอาหารกลางวัน
ตรงหน้าประตูทางเข้าด้านหน้าของหอประชุมใหญ่ที่จุคนดูได้ราวสองพันคน
ในเวลานั้นก็มีคนยืนต่อคิวกันเตรียมกันจะเข้าไปฟังดนตรีกันแน่นขนัด
ตลอดช่วงระยะเวลาทานอาหารกลางวันนั้น
ศักดากับฐิติพรรณผูกขาดการสนทนากันโดยสิ้นเชิง
นานๆ ครั้งอรอุษาที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับอาหารตรงหน้า
จะเงยขึ้นมายิ้มอ่อนๆ รับคำ
เมื่อหัวข้อสนทนานั้นแวะเข้ามาขอให้เธอช่วยออกความเห็น
ซึ่งเด็กสาวก็มีแค่พูดเบาบางทำนองว่า
ค่ะ..ใช่ค่ะ..อยู่เท่านั้น
ซึ่งพริตตี้สาวนั่งนึกในใจอย่างดูถูก
นังเด็กนี่มันจืดสนิทจริงๆ....เสียแรงที่หน้าตาพอเข้าที...เช๊อะ...ไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจดึงดูดเล๊ย...
ขณะที่ศักดายิ้มกระซุ่นในใจ
บางช่วงบางขณะที่เด็กสาวตรงหน้าก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้า
สายตาของจิ้งจอกสวาทก็สาดประกายวาววับ
ยิ่งดูก็ยิ่งสวยว่ะ...ท่าทางจะอร่อยไปทั้งตัว...หัวโบราณอย่างนี้รับรองเลย
...ไม่ต้องพูดถึงความสดซิงๆ...แม้กระทั่งมือสวยๆ
ของนังเด็กนี่สงสัยก็ยังไม่เคยถูกผู้ชายจับมาเลยมั๊ง...ฮ่าฮ่า...อร่อยควยกู
แน่...เมื่อถึงเวลาเปิดซิงของใหม่เอี่ยมถอดด้ามเพิ่งถูกแกะกล่องอย่างนี้
ฮ่าฮ่าฮ่า...
ตอนนั้นพริตตี้สาวมองไปที่แถวของคนที่กำลังต่อคิวกันแน่น
ก็ยิ้มพลางว่า
“ไอซ์ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ...รออีกนานเลยกว่าจะได้เข้า”
ว่าแล้วก็ขยับเดินไป
โดยที่อรอุษานั้นใจเต้นระทึก
ไม่กล้าอยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มที่เธอเพิ่งรู้จักไม่ถึงสองชั่วโมงดี
ก็รีบผวาไปยึดชายเสื้อของฐิติพรรณราวกับกวางน้อยที่ติดแม่
“ษาไปด้วยค่ะ”
เรียวปากงามราวกับกลีบกุหลาบนั้นเอ่ยเสียงบางเบา
ขณะที่เจ้าของเสียงก้มหน้างุด
พริตตี้สาวหันมาหลิ่วตาให้กับศักดาอย่างยั่วเย้า
ก่อนจะหัวเราะเสียงใส
“ไปสิจ๊ะ...พี่ศักคอยตรงนี้นะคะ”
“ครับ...เชิญน้องไอซ์กับน้องษาตามสบายเลยนะครับ...ไม่ต้องรีบร้อน”
ศักดากล่าวเสียงนุ่มนวล
ยืนส่งมองไปยังภาพอันงามตาเบื้องหลังของอรอุษาแล้วรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจะเห็นมาจากที่ไหนมาก่อน
เอ...เหมือนกับเคยเห็นหลังสวยๆ
อย่างนี้มาก่อนนะ...แต่จะเป็นไปได้ไงวะ...ก็เพิ่งเคยเห็นนังเด็กนี่วันนี้
เองนี่หว่า...ถ้าเห็นมาก่อนมีเหรอวะที่กูจะปล่อยให้ผ่านมือไปน่ะ...
จิ้งจอกสวาทไล่ความคิดนั้นออกไปอย่างไม่สนใจอะไรอีก
ตอนนั้นสมองของชายหนุ่มหมกมุ่นครุ่นคิดแผนการณ์ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเคลม
สวาทเหยื่ออันโอชะตรงหน้านี้
ดวงตาของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์สาดประกายวูบวาบ
ขณะที่ฐิติพรรณเดินจูงมืออรอุษาไปที่ห้องน้ำ
กระซิบเสียงหวานว่า
“ษาทำไมดูเกร็งๆ...พี่ศักเขามีอะไรที่ษาไม่ชอบหรือจ๊ะ”
เด็กสาวผู้อ่อนวัยกว่ารีบสั่นศีรษะ
ใบหน้าแดงระเรื่อ กล่าวอุบอิบ
“ไม่...ไม่มีอะไรนี่คะ...ษาไม่ได้เกร็งซักหน่อย..”
“แหมไม่ต้องปิดพี่หรอก...และก็สบายใจได้นะจ๊ะ...พี่ขอรับรองว่าพี่ศักดาน่ะ
เขาเป็นคนใจดีมากๆ...ดูแลน้องๆ
อย่างดีเลยล่ะ...ษาคบหากับเขาอย่างวางใจได้เลยพี่รับประกัน...”
หยุดไปเล็กน้อยก็หยอดต่อเสียงหวาน
“เหมือนกับมาฟังเพลงนี่ไง...ที่มาคงเพราะช่วยอุดหนุนพรรพวกที่ไปขายบัตรการกุศลให้...ไม่เคยเห็นพี่ศักเขาปฏิเสธใครเลยนะ...”
พริตตี้สาวแอบยิ้มในหน้าอย่างพอใจ
เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กสาวผู้อ่อนวัยกว่าเริ่มมีวี่แววชื่นชมคล้อยตามคำพูด
ตัวเอง และเมื่อกลับไปสมทบกับศักดา
รอยยิ้มเหยียดก็ยิ่งฉีกกว้างขึ้น
เมื่อได้ยินอรอุษาเริ่มตอบคำถามที่ศักดาชวนคุยเป็นประโยคยาวๆ
ขึ้น
และในที่สุดรอยยิ้มน่ารักและเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาผ่านริมฝีปากงามของเด็ก
สาวแสนสวย
เมื่อจิตใจอันบริสุทธิ์ของเธอเริ่มเปิดกว้างออกรับการเข้ามาของศักดาผู้มี
เปลือกนอกที่เป็นสุภาพบุรุษแสนดีทุกกระเบียดนิ้ว
ตลอดเวลานั้นเองที่เด็กสาวผู้อ่อนเยาว์นั่งฟังคอนเสริต์เปียโนการกุศลด้วย
ความเพลิดเพลินใจ
โดยที่ไม่มีความรู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางปากเสือ
ปากหมีที่จ้องจะพร่าทำลายล้างเธออย่างเลือดเย็นอำมหิตที่สุด!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น