ฉางผิงกงจู้เบิกตัวจอหงวนโจวซื่อเสี่ยนเข้าพบในห้องหารือความลับสุดยอด โจวซื่อเสี่ยนพอเห็นเครื่องแต่งกายขององค์หญิงฉางผิงก็ลอบคร่ำครวญในใจ เพราะวันนี้องค์หญิงฉางผิงแต่งตัวด้วยชุดที่วาบหวามยิ่งกว่าคราวที่แล้วอีก นางยังคงสวมชุดแพรสีขาวบางเบา ทว่าครั้งนี้ไม่ได้ใส่อะไรไว้ข้างในเลย ยกเว้นกางเกงชั้นในสีขาวตัวเล็กๆ แลเห็นปทุมถันอวบอูมตูมตั้งดันชุดแพรเนื้อดี เห็นปลายยอดสีชมพูรำไร สร้างความวาบหวิวให้กับโจวซื่อเสี่ยนเป็นอย่างยิ่ง
ฉางผิงกงจู้มองหน้าเขากล่าวว่า
“หุงเฉิงโฉวยอมสวามิภักดิ์กับแมนจูแล้ว สถานการณ์ทางชายแดนเร่งร้อนคับขันท่านทราบเรื่องหรือไม่?”โจวซื่อเสี่ยนจ้องเขม็งที่ปทุมถันอวบอูมแวบหนึ่ง ก็รีบเงยหน้ารับคำว่า
“ข้าพระองค์ทราบ การศึกที่ชายแดนกลับกลายเป็นเช่นนี้...ล้วนสืบเนื่องจากขันทีโฉดเฉาฮั่วฉุน... มันจงใจหน่วงเหนี่ยวคำสั่งทางทหาร ..เป็น..เหตุให้ทหาร..ชายแดนเสียขวัญ”
โจวซื่อเสี่ยนพูดตะกุกตะกัก เขาไม่อาจหักห้ามสายตาสำรวจเรือนร่างที่น่าหลงใหลข้างหน้าได้ กลิ่นหอมรัญจวนจากร่างขององค์หญิงฉางผิงยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ใคร่ของเขาร้อนแรงขึ้นมา ท่อนควยถึงกับลุกขึ้นตุงเป้ากางเกงขึ้นมาทันที
ฉางผิงกงจู้ลอบจับตาสำรวจโจวซื่อเสี่ยนอยู่ตลอดเวลา เห็นท่อนควยของเขาลุกขึ้นจนกางเกงโป่งพองอย่างชัดเจน ทราบว่าเขาเห็นส่วนสัดของตนเกิดความต้องการตามสัญชาตญานบุรุษหนุ่ม นางมีจุดมุ่งหมายอยู่ในใจจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น กล่าวเสียงเครียดว่า
“วันใดไม่กำจัดเฉาฮั่วฉุน บ้านเมืองยากที่จะมีความสงบสุขได้ ในพื้นที่นครหลวง มันมีหูตาเกลื่อนกลาด หากคิดฆ่ามันนอกจากลอลวงมันออกนอกเมือง”
โจวซื่อเสี่ยนจ้องมองไปที่เป้ากางเกงในอวบอิ่มสมบูรณ์จนเห็นเป็นโคกขององค์หญิงฉางผิง ต้องรู้สึกร้อนรุ่มจนแทบจะอดใจไม่ได้ต้องกล่าวว่า
“องค์หญิง ข้าพระองค์มีเรื่องขอร้อง”
“อะไรหรือ”
“องค์หญิงได้โปรด...สวม...เสื้อคลุมเถอะ... อากาศค่อนข้างเย็น...องค์หญิงไม่แข็งแรง..ข้าพระองค์เกรงว่า..องค์หญิงอาจจะไม่สบาย ทำให้เสียงานใหญ่” เขาพูดตะกุกตะกัก
ดวงตาขององค์หญิงฉางผิงฉายประกายวาวครุ่นคิดในใจ
“จอหงวนผู้นี่ช่างมีคุณธรรมน่าเลื่อมใสนัก เห็นได้ชัดว่าเกิดอารมณ์ความต้องการในตัวเรา แต่สามารถข่มใจไว้ได้ เขาตั้งใจจะบอกให้เราสวมเสื้อผ้าแต่กลัวเราอับอาย กลับสรรหาคำแสดงความเป็นห่วงเราแทน คนผู้นี้เลิศทั้งปัญญา ความกล้าหาญ ไม่มัวเมาในลาภยศ ซ้ำยังสามารถข่มกลั้นราคะในตัวเองได้ นับว่าเป็นวิญญูชนที่แท้จริง ไต้เหม็งได้คนเช่นนี้มาช่วยเหลือนับว่าเป็นวาสนาของพระบิดานัก”
องค์หญิงฉางผิงครุ่นคิดอย่างชื่นชม นางจงใจแต่งกายยั่วยวนโจวซื่อเสี่ยนถึงสองครั้ง เพราะต้องการทดสอบว่าโจวซื่อเสี่ยนจะผ่านด่านราคะได้หรือไม่ ครั้นพบว่าเขาไม่หวั่นไหวต่อเรือนร่างสตรี ทำให้ไว้ใจจอหงวนผู้นี้ได้อย่างเต็มที่ คิดแล้วจึงกล่าวอย่างเฉื่อยชา
“ท่านโจวมีคุณธรรมน่าเลื่อมใสนัก ตอนนี้บ้านเมืองเผชิญวิกฤต ขันทีโฉดครองเมือง เราไหนเลยห่วงใยสุขภาพของตนเอง ท่านโจวเป็นวิญญูชน มีบุคลิกเลิศล้ำ เราท่านอยู่กันสองต่อสอง ท่านโจวยังอ่อนน้อมสำรวมตนนับว่าหาได้ยากยิ่ง พระบิดาได้ท่านมาใช้งาน นับว่าเป็นบุญของไต้เหม็งเราแล้ว”
โจวซื่อเสี่ยนใจหายวาบเหงื่อหลั่งไหลพรั่งพรู ลอบตำหนิตนเองในใจ
“โจวซื่อเสี่ยนเอย เสียทีที่เจ้าร่ำเรียนเป็นถึงจอหงวน องค์หญิงไว้ใจเจ้ายกย่องให้เป็นวิญญูชน แต่เจ้ากลับคิดบัดสีต่อนาง ช่างน่าอายนัก”
คุณธรรมของเขาพอบังเกิด ลำควยทีแข็งชันอยู่ก็ค่อยๆอ่อนตัวลงจนเป็นปกติ องค์หญิงฉางผิงสังกตุเห็นต้องลอบชื่นชมในใจ
โจวซื่อเสี่ยนพอสงบใจได้ปัญญาพลันบังเกิด กล่าวอย่างฉาดฉานว่า
“องค์หญิงชักนำจั่วหวินหลิงซึ่งเป็นยอดฝีมือในสังกัดมันไปแล้ว ขอเพียงพวกเราล่อลวงมันออกจากนครหลวง ข้าพระองค์ขออาสาลอบสังหารมันเอง”
“แต่เฉาฮั่วฉุนฝึกปรือวิชาลมปราณกร้าวแกร่งบริสุทธิ์ มีร่างคงกระพันชาตรี ดาบกระบี่ทั่วไปยากระคายเคืองได้”
“เป็นวิชาพลังทารกบริสุทธิ์”
ฉางผิงกงจู้ผงกศีรษะรับ โจวซื่อเสี่ยนกล่าวต่อ
“แต่ผู้ที่ฝึกวิชาพลังทารกบริสุทธิ์ บนร่างจะมีจุดมรณะแห่งหนึ่ง”
“น่าเสียดายที่พวกเราไม่รู้” ฉางผิงกงจู้กล่าอย่างครุ่นคิด “เรานึกได้วิธีหนึ่ง แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนสองคน คนหนึ่งพูดจาหว่านล้อมให้เฉาฮั่วฉุนออกจากนครหลวง คนที่สองรับหน้าที่ระเบิดสังหารมัน แต่ผู้ที่จุดสายชนวนต้องตกตายพร้อมกับมัน”
โจวซื่อเสี่ยนอาสาว่า
“องค์หญิง ข้าพระองค์ขอรับหน้าที่นี้ ประกันว่าจะไม่เป็นที่ผิดหวังของท่าน”
ฉางผิงกงจู้จับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งกล่าวว่า
“ท่านโจวจงรักภักดีต่อบ้านเมืองจริงๆ”
...................................................................................
ภายในห้องเขตอุทยานอบเชย เฟยจินเอ๋อหยิบฉวยกระบี่วิเศษพร้อมฝักเล่มหนึ่งเดินเข้ามาให้แนเสี่ยวเชี่ยนเปิดกล่องแพรใบหนึ่ง จัดวางกระบี่ลงในกล่อง
พลันบังเกิดสุ้มเสียงหนึ่งร้องชมเชยว่า
“กระบี่ที่ดี”
ในเสียงร้อง อู๋ซันกุ้ยเดินกระโผลกกะเผลกออกมา
แนเสี่ยวเชี่ยนลืมตากลมกว้างร้องว่า
“เราเรียกท่านอย่าได้ออกมาวิ่งเพ่นพ่าน”
อู๋ซันกุ้ยกล่าวว่า
“ครั้งนี้เราคิดล่ำลาพวกท่าน”
“เท้าของท่านทุเลาแล้วหรือ”
“ขอบคุณที่ท่านกังวลใจ นับว่าทุเลาเจ็ดแปดส่วนแล้ว เราต้องการพบนายหญิงท่าน เพื่อขอบคุณนางที่ช่วยชีวิต”
“เฮอะ นายหญิงเราหาใชอนุญาตให้แมวสุนัขทั่วไปพบพานได้”
“พวกท่านอย่าได้ดูแคลนเรา เราอู๋ซันกุ้ยรั้งตำแหน่งเสนาธิการชั้นที่หกในสังกัดแม่ทัพหุงเฉิงโฉว”
เฟยจินเอ๋อยิ้มออกมา กล่าวว่า
“พี่เสี่ยวเชี่ยน เสนาธิการชั้นที่หกใหญ่โตใช่หรือไม่”
แนเสี่ยวเชี่ยนรับคำอย่างยิ้มแย้ม ย่อกายคารวะ
“น้อมพบแม่ทัพอู๋”
เฟยจินเอ๋อกล่าวว่า
“ตกลง นายหญิงเราชมดอกไม้ที่อุทยานหลวง ท่านตามเรามา”
อู๋วันกุ้ยเดินตามหลังแนเสี่ยวเชี่ยนทั้งสอง พอผ่านเก๋งพักร้อนแห่งหนึ่ง เห็นเด็กหนุ่มแต่งกายหรูเลิศ สวมมงกุฎจำลองผู้หนึ่ง ถูกสายรัดผ้าผืนหนึ่งมัดติดกับเสาไม่ภายในเก๋ง
อู๋ซันกุ้ยชมดูจนงงงันวูบ วกกายขึ้นเก๋งพักร้อนถามว่า
“เด็กน้อย เจ้าไฉนผูกมัดอยู่ที่นี่”
เด็กหนุ่มนั้นดิ้นรนพลางร้องว่า
“ปล่อยข้าพเจ้า รีบปล่อยข้าพเจ้า”
แนเสี่ยวเชี่ยนพลันเหลียวหน้ามาร้องว่า
“นี่ ท่านไฉนไม่เดินต่อ ท่านมิใช่ต้องการพบนายหญิงเราหรอกหรือ”
“มันที่แท้เป็นใคร”
“เอาเถะ บอกต่อท่าน มันเป็นน้องชายนายหญิงเรา”
“อย่างนั้นไฉนมัดมันไว้ที่นี่”
“มันเหยียบย่ำต้นกล้วยไม้ที่นายหญิงเรารักทีสุดจนแหลกเละ ถอนขนของนกแก้ววชิระตัวหนึ่งไปจนหมดสิ้น นายหญิงเราจึงลงโทษมัน โดยมัดมันไว้ที่นี่”
เด็กหนุ่มนั้นร้องสอดขึ้น
“พวกเจ้าหากไม่ปล่อยเรา เรากราบทูลต่อพระบิดา ถลกหนังพวกเจ้าออกมา”
อู๋ซันกุ้ยทวนคำ “พระบิดา” ซักถามแนเสี่ยวเชียนทั้งสองว่า
“มันที่แท้เป็นใคร”
แนเสี่ยวเชี่ยนอับจนปัญญา ได้แต่กล่าวว่า
“มันเป็นราชโอรสของฮ่องเต้”
อู๋ซันกุ้ยสะท้านด้วยความตระหนก
“มันคือไทจือ(รัชทายาท) อย่างนั้นนายหญิงท่านคือ”
“นายหญิงเราคือองค์หญิงเจาเหยิน”
เฟยจินเอ๋อกล่าวเสริมขึ้น
“ซึ่งความจริง องค์หญิงเราไม่ทราบดีต่อท่านปานใด เมื่อวานเฉาฮั่วฉุนส่งคนมาทวงถามท่านองค์หญิงเพราะเพื่อช่วยท่าน ถึงกับฆ่าคนของเฉาฮั่วฉุน”
“องค์หญิงดีต่อเราปานนี้ เราต้องขอพบนางแน่นอน”
แนเสี่ยวเชี่ยนกล่าวว่า
“ท่านหากต้องการพบนาง ก็สงบใจรั้งอยู่ที่นี่อักสักระยะเวลาหนึ่งเถอะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น