ขายของ
วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554
With No Remorse Chapter 13
With No Remorse
Chapter 13
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง...........
เสียงโทรศัพท์กรีดขึ้นในความมืดของค่ำคืน ชาติชายลืมตาขึ้นพร้อมกับที่มือคว้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่วาง
อยู่ข้างหมอนขึ้นมา อีกมือหนึ่งหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมองพรายน้ำที่เรืองแสงบอกเวลา
“ครับแม่” ชาติชายกรอกเสียงลงไป
“ชาย หนูรจไม่สบายเหรอ” เสียงมารดาถามสวนมา
“ไม่นี่ครับ ก็ออกไปตั้งแต่เมื่อเย็นนี้แล้วนี่ครับ”
“เอ แล้วยังมาไม่ถึงเลยนี่ แม่รออยู่น่ะ ตกลงกันว่าเดี๋ยวหนูรจจะมาเปลี่ยนให้แม่กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เตรียมของมาเฝ้าคุณต้นเนี่ย”
“รจออกไปตั้งแต่เกือบ ๆ หกโมงแล้วครับแม่ นี่เกือบสามทุ่มแล้วยังไม่ถึงเหรอครับ”
“ยังเลย คะ.......” เสียงกานดาเงียบไปอึดใจใหญ่ “คุณต้นกำลังสั่งให้คนออกไปหาแล้วละชาย”
“งั้นเดี๋ยวผมมาครับ” ชาติชายบอกแล้วปิดโทรศัพท์ลุกขึ้นอย่างร้อนใจ
.............................
ร่างบาง ๆ นั้นเซถลาด้วยแรงผลักไปจนกระแทกขอบเตียงแล้วล้มพับลง
“ว้าย..” เสียงหวีดเบา ๆ ก่อนเจ้าของร่างจะหมุนตัวลุกขึ้นนั่งหน้าตาตื่นตระหนก มือตลบชายกระโปรงปิด
ท่อนขาอวบ เมื่อเย็นนี้เองที่เธอไปถึงโรงพยาบาลแล้ว แต่เมื่อเธอเดินไปยังร้านสะดวกซื้อใกล้เคียงนั้น
เธอก็โดนรวบขึ้นรถตู้ ผ้าที่ชุ่มด้วยกลิ่นยาสลบที่คุ้นเคยทำเอาเธอหมดสติไปจนกระทั่งหยาดน้ำเย็นที่ราด
ลงมาบนใบหน้าปลุกประสาทให้ตื่นขึ้นมารับรู้ว่า ชายสองคนกึ่งพยุงกึ่งลากเธอขึ้นมาพร้อมกับผ้าขนหนู
เปียกน้ำที่ลูบหน้าเธอแรง ๆ ก่อนจะผลักเธอลงมาบนเตียงนอนหลังนั้น
“แกเป็นใคร” รจนาเอ่ยถาม อย่างงุนงง สมองเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว
“อยากรู้” หางเสียงเจ้าคนที่ขาวกว่าดังลากสูงเป็นเชิงถาม มันทั้งสองค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ เธอผุดลุกขึ้นยืน
หัวสมองหมุนนิด ๆ ด้วยฤทธิ์ยาที่ยังค้างคา
“จับฉันมาทำไม”
มันหันไปยิ้มกับอีกคนที่หน้าตาเสี้ยมกว่า สายตาเธอส่ายสลับไปมา ความทรงจำค่อย ๆ กลับมา
“แก ลูกชายเสี่ยเล้งนี่ จับฉันมาทำไม เอาฉันไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้นะ” เสียงเข้ม ๆ ไม่ทำให้มันหวั่นไหว
สองคนยังหน้าระรื่นแผดหัวเราะดังลั่น
“ดุดีนี่หว่า ยังจะทำเก่ง จะมีผัวอยู่รอมร่อยังไม่สำเหนียก” คำพูดของมันทำเอาเธอใจหายวาบ ไอ้คนขาว
ลูกชายเสี่ยเล้งเดินเข้าใกล้ท่าทางหยิ่งยะโส “มึงมาลองควยกูซะดีกว่า เดี๋ยวกูจะเย็ดให้เสียวคอหอยเลยมึง”
มันเดินเข้าใกล้อย่างไม่ระแวดระวัง เท้าเรียวของพยาบาลสาวยกงอขึ้นก่อนจะเหยียดถีบเข้าไปกึ่งกลางลำตัว
มันเต็มที่ ปลายเท้าพลาดเป้าที่เธอหมายตาไปโดนเข้าเต็มท้องน้อย มันเซถลาออกไปตัวงอ สองมือกุมท้อง
หน้าตาบิดเบี้ยว ไอ้อีกคนถลันตัวเข้ามาหา เท้าเรียว ๆ ถีบออกไปอีกครั้งยันเข้าที่หน้าขามันจนเสียหลัก มือ
ที่ตวัดตบมาที่ใบหน้าเธอจึงพลาดเป้าไป เธอขยับตัวจะพุ่งเข้าจัดการไอ้ตัวผิวคล้ำ
“หยุดนะมึง ไม่ กูยิงหน้าเละแน่” ปากกระบอกปืนกลวงโบ๋จากมือไอ้ก้อง แยงเข้ามาเต็มหน้าจนเธอผงะหยุด
เพี๊ยะ...
ไอ้ก้องตวัดมือฟาดเข้าเต็มแรง เธอทั้งเจ็บทั้งแสบด้วยแรงมือที่ตบเข้ามากึ่งแก้มกึ่งคางจนหน้าชา
มึนไปวูบหนึ่ง
ตุ๊บ...
กำปั้นหนัก ๆ ยัดเข้าเต็มท้องจนจุกเสียดตัวงอ หยาดน้ำไหลรินออกจากดวงตาขณะที่เธอทรุดลงกับพื้น
ความรู้สึกที่ยังพอมีบอกเธอว่าเส้นผมโดนจับขยุ้มยกขึ้นจนเจ็บแสบไปทั้งหนังหัว
เพี๊ยะ...
ฝ่ามือหนา ๆ ฟาดเข้ามาอีกครั้งเต็มแก้มจนสติเธอวูบเลือน ร่างบางอวบผวาไปตามแรงหมุนซวนเซลงไป
หมอบกับพื้น มือหยาบหนาจับไหล่พลิกหงาย ยามเมื่อลืมตามองนั่น ใบมีดขาวคมจ่อเข้ามาเกือบถึง
ปลายจมูก
“ซ่านักหรืออีสัตว์ อยากตายหรือไง” ไอ้ชัยขยับมีดในมือ “เดี๋ยวกูเชือดเลี้ยงหมาซะนี่”
ใบมีดขาววับที่กวาดไปมาร่วมกับปากกระบอกปืนทำเอารจนานอนนิ่งหายใจหอบ ไอ้ก้องขยับตัวเดินไปวาง
ปืนลงบนโต๊ะตัวเตี้ย ๆ ที่อยู่ห่างออกไป รจนามองตามไป
เพี๊ยะ....
ฝ่ามือไอ้ชัยฟาดลงที่โหนกแก้มจนเจ็บแสบ รสเค็มเฝื่อน ๆ ในปากบอกให้เธอรู้ว่าเลือดไหลรินออกจาก
แผลในปากเธอ
“ไม่ต้องเสือกมอง แล้วอย่าเสือกลองดีกับกูอีก” ไอ้ชัยคำรามใส่ จรดใบมีดลงกับลำคอขาวผ่องจนรจนา
ได้แต่นอนนิ่ง “ถ้ามึงขยับอีก กูเชือด” ใบมีดกดลงกับลำคอจนเริ่มจะรู้สึกเจ็บ
มือไอ้ก้องขยับขยุ้มลงกับคอเสื้อชุดขาวที่รจนาสวมใส่ พอเธอขยับมือขึ้นรั้งชายเสื้อไอ้ชัยก็กดใบมีดลงกับ
ลำคอจนเจ็บแปลบ ไม่ถึงอึดใจชายเสื้อก็เปิดอ้าออกอวดถันตึงที่ปิดอยู่ในเสื้อยกทรง ไอ้ก้องตะโบมมือ
ขยำขยี้เต้าอวบ
“โอ๊ย เจ็บนะ” เสียงใส ๆ ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะร่าของไอ้ก้อง
“เดี๋ยวก็หายเจ็บน่า กูจะดูดให้มึงเสียวจนลืมตัวต้องให้กูเย็ดเต็ม ๆ ตีนเชียวมึง”
กระโปรงถูกดึงรั้งรูดออกไปจนเย็นท่อนขาวาบ ๆ โคกแคมเนื้อผ่องโดนมือขยำเต็มกำ แล้วมันก็ดึงถลก
กางเกงในลงจนโคกเนื้อนวลโผล่พ้นขอบกางเกงใน มือกร้านกำกุมลงบนโคกเนื้อแล้วสอดนิ้วทะลวงลงไป
ในถ้ำเนื้ออย่างกักขฬะ
“เฮ้ย อี เฮ้ย” เสียงไอ้ชัยร้องลั่น เมื่อสองมือเรียวยกตวัดขึ้นกุมมือของมันแน่นหนึบ ร่างบางยกตัวขึ้นเสือก
ลำคอขาวผ่องเข้าหาคมมีดที่จ่อคอ “ฉิบหาย เฮ้ย”
“เฮ้ย ๆ” เสียงไอ้ก้องดังขึ้นประสานกัน “เหี้ยเอ๊ย อีสัตว์นี่ แม่ง”
........................................
ประตูห้องเปิดออกแล้วร่างของนายทหารหนุ่มคนหนึ่งก็เดินพรวด ๆ เข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด การุณย์
ที่นอนอยู่หันไปมองพร้อมกับกานดาที่ยืนอยู่ข้างเตียง ด้านหลังชาติชายลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาวขึ้นยืนเต็มตัว
นายทหารหนุ่มยืนละล้าละลัง
“มีอะไร สมภพ” การุณย์ถามขึ้น นายทหารหนุ่มยืนเก้ ๆ กัง ๆ จนกานดาขยับถอยออกจากข้างเตียง เขาจึง
ขยับเข้าประชิดก้มลงพูดเบา ๆ ข้างหูการุณย์พอได้ยินกันสองคน พอเขายืดตัวขึ้นยืนตรงนั้น ชาติชายก็เห็น
ว่าใบหน้าคมสันของการุณย์บัดนี้ซีดเผือด นัยน์ตาฉายแววรวดร้าวเจ็บปวดกวาดมาสบตาเขานิ่ง มิพักให้
ต้องเอ่ยปากอันใดอีก ชาติชายเข้าใจได้ทันทีว่านายทหารหนุ่มมารายงานเรื่องอะไร
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน ภพ” การุณย์ถามเรียบ ๆ แต่ไม่อาจปกปิดหางเสียงที่แหบแห้งสั่นเครือ
“อะไรคะ คุณต้น” กานดาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน หันมองไปมาระหว่างชายทั้งสาม ชาติชายขยับเข้าใกล้
ผู้เป็นมารดาเมื่อสายตาของการุณย์ขยับบอกเป็นนัย
“เรื่องหนูรจครับ” เสียงบอกเรียบ ๆ เพียงแค่นั้น กานดาก็เข้าใจได้โดยกระจ่าง ภาพของสาวน้อยหน้าตาสดใส
วาบขึ้นมาในห้วงคำนึงก่อนที่โลกพลันดับมืด
.................
เสียงพระสวดดังทั่วศาลา บรรดาแขกเหรื่ออยู่ในอาการสำรวม ด้านหน้าสุด การุณย์นั่งอยู่บนเก้าอี้คนไข้ที่มี
เสาสูงห้อยขวดยาที่ต่อสายลงมายังเข็มที่ปลายแขนนั่งนิ่ง ดวงทั้งคู่เหือดแห้งจับอยู่ที่ภาพรจนาที่ตั้งอยู่เด่น
ข้างโลงไม้สัก
ยามที่ถ่ายภาพนั้นสาวน้อยยิ้มแย้มหน้าตาสดใสเบิกบาน เรียวปากจิ้มลิ้มแย้มเยื้อนเหมือนเมื่อยามที่เธอ
เอ่ยปากพูดคุยกับเขา ยามที่สาวน้อยที่เขาเลี้ยงมาแต่เล็กตัดพ้อเขายามที่เขาขัดใจ ฉอเลาะเขายามที่
อยากได้สิ่งของใด ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอก็รู้ดีว่าหากเป็นของที่จำเป็นแล้ว เธอจะไม่ผิดหวังจากผู้เป็นอา ดวงตาคม
ที่เคยจับจ้องเขาด้วยความรักใคร่ ความเคารพ ความเชื่อมั่น อ้อมกอดที่เธอโถมเข้ากอดด้วยความคิดถึง
ยามที่เขาต้องห่างเธอด้วยกิจการงานในหน้าที่
การุณย์รู้ดีว่าความเจ็บปวดในจิตใจเขานั้นถึงแม้นจะมากมายมหาศาล แต่ก็มีชายอีกผู้หนึ่งที่เจ็บปวด
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขา ชายผู้ที่เป็นบุตรของเพื่อนสนิทผู้เคยช่วยชีวิตของเขา ชายที่เขาเรียกเป็นหลาน
และมั่นใจว่าจะมอบอนาคตของหลานสาวคนนี้ให้ ชายผู้ที่ในขณะที่เขานั่งอยู่ด้านหน้านั้นกลับต้องซุกร่าง
หลบมุมอยู่นอกศาลาด้วยภารกิจที่ต้องปิดลับ ไม่มีโอกาสที่จะขึ้นมานั่งฟังพระอย่างสะดวก ยามที่จะมา
เยี่ยมเยียนสตรีอันเป็นที่รักผู้ทอดร่างอยู่ในโลงบนแท่นตั่งนั้นก็ต้องหลบซ่อนตัวมาอย่างเงียบเชียบ
นอกจากดวงตาที่ฉายแววรวดร้าวอย่างยิ่งแล้ว การุณย์บอกตนเองว่าเขาไม่เห็นแววตาของใครที่จะแข็งกร้าว
แน่วแน่และเต็มไปด้วยความเคียดแค้นปานนั้นมาก่อน ดวงตาที่ฉายแววอันหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกหนาวยะเยือก
อยู่ข้างใน แววตาที่บอกการุณย์โดยไม่ต้องเอ่ยปากว่า เขารับรู้ความรู้สึกของการุณย์อย่างลึกซึ้ง
ในขณะเดียวกันก็บอกการุณย์ว่า ไม่ว่าใครที่เกี่ยวข้องกับการพรากสตรีอันเป็นที่รักไปจากพวกเขานั้น
จะต้องได้รับการตอบแทนจากเขา การตอบแทนที่แม้แต่ยมทูตก็จ้องเบือนหน้าหลบ แววตาอันนั้นยังคง
ฉายแสงเจิดจ้าลุกโชนตั้งแต่วันที่เขารับทราบข่าวและยิ่งเจิดจ้าขึ้นตามวันที่ผ่านเลย
การุณย์หันมองถามกานดาที่นั่งอยู่ข้างเคียง ดวงตาสวยคู่นั้นแดงก่ำ หยาดน้ำเกาะอยู่เกือบเต็มมาตั้งแต่
เธอทราบข่าว กานดาเป็นลมพับไปตั้งแต่ในห้องยามที่ทราบข่าวของรจนา ตั้งแต่นั้นด้วยหยาดน้ำตาเต็ม
ใบหน้า เธอลุกขึ้นจัดแจงงานด้วยตัวเองแทบทุกประการ ยามที่หยุดมือเธอก็นั่งเหม่อลอยน้ำตาไหลเป็นทาง
ยามที่เธอมาดูแลเขานั้นเธอก็พยายามปั้นหน้าแช่มชื่นยิ้มแย้มอย่างแห้งแล้ง สีหน้านั้นการุณย์เองเคยเห็น
ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เขาไปช่วยเธอทำงานศพของเพื่อนรักเมื่อหลายปีก่อน
“ชาติชาย เอ่อ ตาชาย อยู่ไหนครับ คุณดาเห็นไหม”
“คงอยู่ด้านหลังศาลานี่แหละค่ะ” หยาดน้ำไหลรินลงมาข้างแก้ม ทั้งสงสารสาวน้อยผุ้น่ารักที่ต้องมาจบชีวิต
ด้วยทุรชน และบุตรชายของตนที่ภาระการงานบังคับให้เขาต้องหลบเร้นกาย ไม่อาจจะขึ้นมานั่งฟังสวด
ให้หญิงอันเป็นที่รักได้
การุณย์พยักหน้าช้า ๆ ยกมือขึ้นประนมไหว้พระสงฆ์ที่เดินออกไปจากศาลา ครู่ถัดมาบรรดาแขกทั้งหลาย
ก็เวียนมาล่ำลาเขา จนอึดใจใหญ่ ๆ ศาลาทั้งหลังก็เงียบสงบ คนที่ยังอยู่ก็ล้วนแต่ชายฉกรรจ์ที่บ้างนั่งบ้างยืน
มองไปรอบ ๆ อย่างระวังระไว พอการุณย์หันไปมองตากานดา เธอก็ขยับตัวเข้ามาหา
“จะกลับหรือคะ”
“ครับ แต่ผมมีเรื่องจะขอร้องคุณดาให้บอกเจ้าชายว่า อย่าวู่วาม อย่าใจร้อน ได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ ทำไมหรือคะ”
“ผมเห็นตานายชายแล้วใจไม่ดีครับ กลัวว่าหลานจะใจร้อนแล้วพลาด”
“ได้ค่ะ ดาจะบอกให้ แต่นายชายจะเชื่อหรือไม่คงบอกยาก” กานดาหยุด “ทราบไหมคะว่า พวกคุณสามคน
นี่น่ะ นิสัยใจคอคล้ายกันมาก “
“ทราบครับ ผมถึงหวังว่านายชายจะยอมฟังคุณบ้าง”
“ถ้าจะให้ดาห้ามตาชายคงไม่มีหวังหรอกค่ะ คงได้แค่บอกให้รอบคอบ”
“แค่นั้นก็ยังดีครับ...” การุณย์หยุดพูดเมื่อเห็นวรวุฒิเดินเข้ามาหา
“ผู้การครับ เป็นไปตามที่สงสัยครับ พวกไอ้ก้องนั่นแหละครับ” วรวุฒิพูดเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม
“อืมม วุฒิอย่าเพิ่งบอกเจ้าชายนะ”
“ไม่ทันแล้วครับ เมื่อกี้ตอนผมมามันล๊อกคอผมไปเค้นหมดแล้วครับ” วรวุฒิตอบเรียบ ๆ
“เฮ้ย แล้วนายก็บอกเหรอ” เงาร่างหนึ่งขยับวูบเข้ามา
“วุฒิไม่บอกผมก็เค้นได้ครับคุณอา” ทั้งสามคนหันไปมองชาติชายที่เข้ามาร่วมวงอย่างเงียบกริบ
“ชาย อย่าวู่วามนะ เดี๋ยววางแผนกันก่อน” การุณย์เอ่อยปากบอกชาติชายอย่างร้อนรน
“จริงว่ะชาย อย่างที่พี่วุฒว่านะ ใจเย็น ๆ”
“คุณอา คุณแม่ วุฒิ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ชาติชายบอกเสียงเรียบ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
ทั้งการุณย์ทั้งวรวุฒิไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ทั้งสองคนรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาในอก
“ชาย..”
“ครับแม่” เสียงแข็ง ๆ อ่อนลงจนเหลือเชื่อเมื่อชาติชายหันไปหาผู้เป็นมารดา
“แม่รู้ว่าชายสูญเสียไปมากเท่าไร เพราะแม่เคยสูญเสียมาก่อน” มืออันอบอุ่นยกขึ้นจับไหล่แล้วลูบท้ายทอย
บุตรชายเบา ๆ “ชายรับปากแม่กับคุณต้นได้ไหมว่าจะไม่วู่วามผลีผลามจนตัวเองเป็นอันตราย”
มือแข็งแรงยกขึ้นกุมมือผู้เป็นมารดา สายตาแน่วแน่มองกวาดไปยังสายตาอีกสามคู่ทีละคน
“ผมรับปากได้ครับว่าผมจะไม่ผลีผลาม แต่ใครก็ตามที่ทำเรื่องนี้ ต้องชดใช้ แน่นอนครับ”
“เฮ้ย ชาย จะเอายังไงก็บอกนะ เอาด้วย” วรวุฒิพูดเรียบ ๆ
“ได้เพื่อน” ชาติชายรับคำสั้น ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับการุณย์และกานดา “คุณอา กับ แม่ อย่าห้ามเลย
นะครับ”
การุณย์กับกานดาได้แต่อ้าปากค้างเมื่อร่างของชาติชายหันกลับเดินผละไปเงียบ ๆ จนเมื่อร่างนั้นลับลงไป
จากศาลาหายไปในความมืดแล้วนั่นแหละ การุณย์จึงหันไปหาวรวุฒิ
“วุฒิ ขอแรงช่วยดูหน่อยแล้วกันนะ”
“ครับผู้การ ถ้าผมตามมันทันนะครับ” วรวุฒิรับคำเรียบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้นเปรย ๆ “คราวนี้ได้นรกแตก
กันมั่งแล้ว”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น