ขายของ

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

With No Remorse Chapter 22

With No Remorse Chapter 22 “ตอนนี้มันไม่ออกไปเพ่นพ่านแล้วครับ แค่บ้านกับที่ทำงานสองที่” ศรัณย์พูดแล้วยกช้อนข้าวต้มข้นซด กลาง โต๊ะอาหารนั่น หม้อหุงข้าวไฟฟ้าขนาดย่อมตั้งส่งควันลอยเป็นสาย กลิ่นข้าวต้มหอมกรุ่นฟุ้งไปทั่วห้องปะปนกับ กลิ่นกาแฟนุ่มนวลที่โชยออกมาจากเครื่องต้มกาแฟที่อยู่ถัดไป “งั้นเราคงต้องเล่นมันที่บริษัทเลย หรือไม่ก็คอยจังหวะไปก่อนตามที่ผู้การว่า” ชาติชายครุ่นคิด “ถ้ามีจังหวะ พี่จะเอาเลยหรือเปล่าล่ะครับ” ศรัณย์เงยหน้าขึ้นมอง “ถ้าจัดการได้ มันก็จะจบไปเป็นเรื่อง ๆ ก็ดี จะได้กลับไปทำงานกันบ้าง มานาน ๆ คนอื่นก็ต้องทำงานแทนเรา” ชาติชายตอบ “วันนี้พี่จะโทรไปรายงานการปฏิบัติกับพี่นครก่อน ได้เรื่องยังไงแล้วจะบอก” “คุณคะ ขอโทษค่ะ” เสียงใส ๆ ที่ดังมาจากด้านหลังทำให้สองหนุ่มหันไปมอง วันเพ็ญเดินลงมาจากชั้นบนช้า ๆ มือรวบผ้าห่มผืนใหญ่ที่ศรัณย์เอาคลุมตัวเมื่อคืนไม่ให้บังสายตาที่ก้มมองขั้นบันได สองหนุ่มลุกขึ้นยืน “มีอะไรครับ” ชาติชายเป็นคนถาม “เอ่อ คือ ดิฉัน อ่า” วันเพ็ญตะกุกตะกักแก้มแดงระเรื่อ “ไม่มีเสื้อผ้าเลย” “จริงซิ..” ชาติชายพูดขึ้นแล้วหันไปมองศรัณย์ “เอ่อ ถ้าไม่รังเกียจ เสื้อผ้าผมก่อนก็ได้ครับ” ศรัณย์รีบบอกแล้วเดินไปหาวันเพ็ญ หยุดยืนที่ตีนบันไดเงยหน้ามอง วันเพ็ญที่ยืนสูงขึ้นไป “ยังไง เดี๋ยวสาย ๆ ค่อยออกไปหาซื้อใหม่” วันเพ็ญเม้มปาก “ก็ได้ค่ะ” เธอพูดแล้วหันหลังเดินกลับขึ้นไปชั้นบน “ตัวไหนก็ได้นะครับ ในตู้นั่นเลย” เสียงที่ดังไล่หลังมานั่นทำเอาวันเพ็ญย่นจมูก บ่นพึมพำระหว่างที่เดินไปยังห้องนอน “หนอย เสื้อผ้าไม่เอามาสักชิ้น แล้วนี่จะให้ใส่เสื้อผู้ชายอีก มันจะไม่คันตายเหรอเนี่ย ตัวก็ใหญ่ยังกะ อะไรดีนะ แล้ว มีเสื้ออะไรบ้างก็ไม่รู้ ไหนจะเสื้อใน กางเกงในอีก สงสัยคงไม่ต้องใส่มันแหละ ใครจะเอากางเกงในของนายนั่น มาใส่กัน แค่คิดก็หยะแหยงแล้ว ไหนดูซิ มีอะไรพอใส่ได้บ้างเนี่ย แหม ตู้เสื้อผ้าเรียบร้อยดีนี่ นึกว่าจะขยุ้ม ๆ เป็น กองขยะเสียอีก .. อืมม เสื้อตัวนี้ก็ดูโอเคนะ ไหนดูซิ...” วันเพ็ญเอาผ้าห่มพันเอวเหน็บชายพออยู่แล้วยกเสื้อยืดตัวนั้นสวมลง “อืมม ก็พอใช้ได้นะ ไหนดูกระจกหน่อย ว๊าย หัวนมดันเสื้อมาเป็นตุ่มเลย อื๋ยย เต้าเต้อวเห็นหมด ขืนใส่ลงไป คงมองกันเพลินซีเนี่ย เดี๋ยวใส่อีกตัวทับคงพอไหว อืมม กางเกงทหารนี่โอเคหรอก อึ๊บ ใช้ได้ อืมม โอเค ไม่เข้าร่อง แล้ว แหม น่าจะมีกางเกงในเสียหน่อย สาบกางเกงเข้าร่องเมื่อกี้เสียววาบเลยเรา เอาเสื้ออีกตัวซิ...” วันเพ็ญก้าวเดินไปยังโต๊ะอาหาร พยายามทำหน้าเรียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ท้องหิวจนรุ้สึกได้ หน้าเธอยังแดง ๆ เพราะตอน ที่ส่องกระจกครั้งสุดท้ายนั่น ถึงสวมเสื้อยืดสองตัวแล้ว แต่หัวนมเธอก็ยังดันเสื้อขึ้นมาเห็นเป็นปุ่ม ๆ อยู่ดี อีกทั้ง ยามที่เดินนั้นเล่า ไอ้สาบกางเกงแข็ง ๆ มันก็ถูไถเอากลีบเนื้ออยู่ไหว ๆ ชายหนุ่มทั้งสองลุกขึ้นเมื่อวันเพ็ญเดินมา ถึงโต๊ะอาหาร ทำเอาเธอหยุดยืนเลิกคิ้วอย่างเก็บความประหลาดใจไม่มิด เธอเคยแต่ต้องลุกขึ้นยืนยามที่ผู้อื่นมาถึง ด้วยความที่เป็นผู้น้อย แต่คราวนี้ชายทั้งสองลุกขึ้นยืนเมื่อเธอมาถึงโต๊ะนั้นจึงสร้างความประหลาดใจให้ไม่น้อย “เชิญครับ ข้าวต้มฝีมือนายรัณย์ พอกินได้ครับ ของไม่สดเท่าไร วันไหนคุณ..” ชาติชายอึกอัก “วันเพ็ญค่ะ” “ครับ คุณวันเพ็ญ ไปสัตหีบ จะให้นายรัณย์ทำให้กินใหม่ ถ้าได้ปลาได้กุ้งสด ๆ แล้วรับรองว่าอร่อยกว่านี้แน่นอน” จวบจนวันเพ็ญนั่งลงนั่นแล้ว ชาติชายจึงนั่งลงบ้าง ส่วนศรัณย์ก็กลับมาพร้อมกับชามและช้อนในมือ จัดการตัก ข้าวต้มเกือบเต็มชามมาวางตรงหน้าเธอ “อย่าเชื่อพี่ชายเลยครับ แค่พอกินได้แหละครับ” ศรัณย์ยิ้มแล้วขยับไปนั่งลงอีกด้านหนึ่ง “ขอบคุณค่ะ” วันเพ็ญยิ้มแหย ๆ กับสองชายหนุ่มแล้วค่อย ๆ ตักข้าวต้มขึ้นชิม ชั่วไม่นานข้าวต้มชามนั้นก็เหลือแต่ น้ำขลุกขลิก วันเพ็ญเงยหน้าขึ้นเห็นสองหนุ่มนั่งยิ้ม ๆ “อีกชามไหมครับ เติมอีกหน่อย ข้าวต้มมันเบา ๆ เดี๋ยวสาย ๆ จะหิวอีก นะครับ” ศรัณย์ลุกขึ้นกุลีกุจอตักข้าวต้ม วันเพ็ญขยับจะห้าม แต่ความหิวประกอบกับรสชาติข้าวต้มนั่นทำให้เธอยั้งปากไว้ “กินเถอะครับ เชื่อมันหน่อย เมื่อคืนออกแรงมาเยอะนะครับ ตามสภาพที่นายรัณย์เล่าให้ฟัง” “ขอบคุณค่ะ” ชามที่สองหายไปอีกในเวลาไม่นาน วันเพ็ญถอนหายใจแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “อร่อยจังค่ะ” “ขอบคุณครับ กาแฟไหมครับ” ศรัณย์ถามขึ้น “ไม่เอาค่ะ กลัวดำ” ความเป็นกันเองของทั้งสองทำให้เธอกล้าพูดเล่นมากขึ้น “เมื่อคืนขอโทษนะครับที่ไม่ได้เตือนให้ระวังตัว” ชาติชายพูดสั้น ๆ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ให้คุณศรัณย์ไปช่วยก็ขอบคุณมากแล้ว” วันเพ็ญหันไปสบตาชาติชายและศรัณย์ ชาติชายลุกเดินไปที่ฝั่งห้องรับแขกก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาเดินมายื่นส่งให้ “ผมว่าคุณคงติดต่อผู้บังคับบัญชาเสียก่อนนะครับ แล้วก็ติดต่อทางบ้านด้วย” ชาติชายบอกเรียบ ๆ “ขอบพระคุณค่ะ” วันเพ็ญยกมือไหว้อย่างซาบซึ้งใจ “โอ๊ย ไม่ต้องไหว้ผมก็ได้ครับ” ชาติชายทำหน้าไม่ถูก “อ้อ เรื่องที่คุณอยู่ที่นี่ ตอนนี้ทางผมขอให้ปิดเป็นความลับ ไว้ก่อนนะครับ” “ค่ะ..” วันเพ็ญเงยหน้ารับคำแล้วก้มลงกดหมายเลขโทรศัพท์ หางตาบอกเธอว่าชายทั้งสองขยับเดินไปนั่งคุยกันที่ ชุดรับแขก “สวัสดีค่ะ หัวหน้า.... เพ็ญเองค่ะ.... ยังค่ะ อยู่ที่ไหนไม่ทราบค่ะ คนของผู้การท่านไปช่วยออกมา....... ” จนครู่ใหญ่ วันเพ็ญจึงเดินเอาโทรศัพท์มาคืน “ขอบคุณค่ะ” “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวให้นายรัณย์พาไปหาเสื้อผ้าแล้วกันนะครับ” “เอ่อ แต่งตัวยังงี้ไม่สะดวกเลยค่ะ..” เธอบอก ชาติชายกับศรัณย์มองเธอจนเธอรู้สึกอาย ๆ เหมือนสายตาของเขา นั้นมันจะทะลุเสื้อเข้าไป โดยเฉพาะศรัณย์ที่ไปช่วยเธอเมื่อคืน เธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นอะไรบ้างตอนที่เธอถูก ขึงพืดอยู่นั่น ถึงสองคนที่จับตัวเธอจะปล่อยมือไปแล้วเธอก็ยังทั้งเจ็บทั้งหมดแรงกระดิกกระเดี้ยไปอีกอึดใจใหญ่ ๆ ถึงแม้ว่าเมื่อคืนตอนที่เปลี่ยนเอาผ้าปูที่นอนออกนั่น เขาจะไม่เห็นก็เถอะ ชายหนุ่มทั้งสองหันมามองหน้ากัน “จดเบอร์ให้ได้ไหมคะ” สิ้นเสียงทั้งสามคนก็นิ่งไปพักหนึ่ง แล้วตาของชาติชายก็เบิกขึ้นอย่างที่นึกอะไรออกมาได้ “เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวผมหาตัวช่วยเอง” พูดจบก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดพร้อมกับเดินออกไปนอกตัวบ้าน ทิ้งให้ศรัณย์ นั่งมองหน้าวันเพ็ญ “คุณชาติชายไปไหนคะนั่น” “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมว่าพี่ชายคงคิดอะไรออกแล้ว เดี๋ยวก็มาครับ ว่าแต่ว่าเจ็บไหมครับนั่น” วันเพ็ญมองเห็น ความห่วงใยออกมาจากสายตาของนายทหารหนุ่ม “ระบมนิด ๆ ค่ะ ไม่ถึงเจ็บ” วันเพ็ญทำท่าเหยียดแขนเหมือนจะอวด “งั้นคุณคงยังไม่ได้ล้างหน้า” ศรัณย์พูดเรียบ ๆ ทำเอาคิ้วเรียวเลิกขึ้น “ทำไมคะ .. โอย” วันเพ็ญถามพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วก็ครางเมื่อความเจ็บแล่นขึ้นมายามที่มือตนเองสัมผัส ผิวหน้า “เจ็บจัง เป็นไงบ้างคะเนี่ย” “บวม ช้ำ เลยครับ” ศรัณย์ยิ้มแหย ๆ วันเพ็ญลุกขึ้นเดินหายไปในห้องน้ำ พอดีกับชาติชายเดินยิ้มกริ่มเข้ามา “อ้าว ไปไหนแล้วล่ะ” “เข้าไปห้องน้ำน่ะครับ ส่องกระจกแหละครับ” ศรัณย์หันไปมองวันเพ็ญที่เดินปิดหน้าออกมา “โอย เจ็บจัง ทีเมื่อเช้าไม่รู้สึก” เสียงใส ๆ บ่นงึมงำพร้อมกับเจ้าของเสียงเดินมาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง “คงสักสามสี่วันแหละครับกว่าจะหาย” ศรัณย์บอกปลอบใจหญิงสาว “อูย สามสี่วันคงไม่หายหรอกค่ะ อย่างเร็วคงต้องเจ็ดวัน” ยามนี้ความสนิทสนมไว้วางใจเพิ่มพูนขึ้น “หายซีครับ เอาดินสอพองกับน้ำมะนาวพอก ถ้าพอกทั้งหน้าผิวจะสวยเนียนขึ้นด้วย” แรก ๆ เสียงศรัณย์สดใส แต่ ช่วงท้ายกลับหม่นหมองลง วันเพ็ญไม่ทันจะสังเกตเหมือนกับชาติชายที่รู้จักรุ่นน้องดีกว่า “โห ยาโบราณนะคะ จะหายเหรอ ใครบอกค่ะ เชื่อได้เหรอ” วันเพ็ญหันไปถามทันได้เห็นแววตาหมองของศรัณย์ ตอนที่เขาลุกขึ้นยืนหายใจลึก ๆ ก่อนตอบแล้วหมุนตัวเดินออกไปนอกตัวบ้าน “แม่..ผมเอง ครับ..” วันเพ็ญมองตามหลังชายหนุ่มที่เดินดุ่มไหล่ห่อออกไปอย่างมึนงง แล้วหันมามองหน้าชาติชายที่ถอนหายใจ ”เพ็ญพูดอะไรผิดเหรอคะ” “ไม่ผิดหรอกครับ” ชาติชายยิ้มปลอบหญิงสาว “เผอิญว่า แม่นายรัณย์แกเสียชีวิตไปแล้วน่ะครับ” ชาติชายบอกเบา ๆ สีหน้าวันเพ็ญยังงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก “คือ พ่อนายรัณย์เป็นนักข่าว เขียนบทความเปิดโปงขบวนการค้ายาเสพติด จนกระทั่งวันหนึ่งก็โดนพวกนั้นดักยิง ระหว่างขับรถเข้ากรุงเทพ” ชาติชายบอกเรียบ ๆ “วันประดับยศนายรัณย์พอดี ในรถมีพ่อ แม่ กับน้องนายรัณย์ อีกสองคน” “ตาย” วันเพ็ญครางสีหน้าสลดวูบ ยกมือขึ้นทาบหน้าอก “ถ้ายังอยู่กัน ตอนนี้น้องนายรัณย์คนรองน่าจะสักยี่สิบกว่า คนเล็กก็คงราว ๆ ยี่สิบ ประมาณนั้น” ใบหน้านั้นตื่นตะลึง ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง “น้องของคุณศรัณย์ ชื่ออะไรคะ” “ชิดชนก กับ กรัณย์ ครับ” ชาติชายตอบ “ตอนนั้นยายชิดชนกคงเรียนอยู่ประมาณ.. มหาวิทยาลัยปีสอง เก่งพอ ๆ กันครับ พี่น้องบ้านนี้ทั้งสามคนเนี่ย อ้าว คุณเพ็ญ” ชาติชายร้องเรียกเมื่อเห็นวันเพ็ญหลั่งหยาดน้ำตาไหลริน ศรัณย์ที่กำลังเดินกลับเข้ามาได้ยินเข้าก็เดินเข้ามาที่โต๊ะ “มีอะไรครับพี่ชาย” ชาติชายเงยหน้าขึ้นมองรุ่นน้อง “มีอะไรครับคุณเพ็ญ” เมื่อเห็นว่าชาติชายรู้จะตอบอะไรศรัณย์จึงหันไปถามวันเพ็ญ “พี่นก พี่ชิดชนก น่ะค่ะ เป็น” น้ำตาเม็ดกลมที่ไหลลงมาเป็นทางทำเอาสองหนุ่มประหลาดใจ “เป็น พี่รหัสของเพ็ญ เอง เพ็ญจำได้ พี่นก..” คำพูดกลืนหายไปในลำคอ ใบหน้างามเปียกไปด้วยน้ำตาแล้ว ศรัณย์ทรุดตัวลงนั่งเบิกตา ด้วยความประหลาดใจ “คุณเพ็ญ น่ะเหรอครับ.” หางเสียงของศรัณย์แหบแห้งอยู่ในลำคอ “ค่ะ พี่นกเรียนปีสาม เพ็ญเป็นเฟรชชี่ พี่นกคอยดูแลเพ็ญเสมอ ๆ พี่นก...” หางเสียงขาดไปเพราะเจ้าของเสียงได้แต่ นั่งสะอื้น “เหรอครับ..” เสียงศรัณย์แหบแห้งจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง “นกเป็นคนอย่างนั้นแหละ คุณเพ็ญ” ชาติชายขยับลุกเดินออกไปจากห้อง เมื่อรู้สึกว่าควรจะปล่อยให้สองคนนั่นคุยกันไปลำพัง เขาไม่อยากจะเชื่อว่า โลกนี้มีอะไรที่ประจวบเหมาะได้เช่นนี้ ดูเหมือนว่ากลุ่มของเขานี่จะต้องพบเจอคนที่มีความสัมพันธ์กันในลักษณะ ต่าง ๆ เขากับรจนาเคยเห็นกันมาเมื่อยังเยาว์ กับปานเรขาหรือก้อย น้องสาววรวุฒิเพื่อนสนิทก็รู้จักมาตั้งแต่เด็ก แล้ว คราวนี้นายศรัณย์ก็พบกับวันเพ็ญที่เป็นน้องรหัสของน้องสาวตนในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ยังไม่ต้องนับ อาต้น พันเอกการุณย์กับแม่เขาเองที่ต่างก็รู้จักกันมานาน “พี่ชาย มาแล้วค่า” เสียงใส ๆ ดังมาก่อนตัวเมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันเล็กแล่นเข้ามาจอด “อ้าว ก้อย มาแล้วเหรอ ไม่ทันเห็น” ชาติชายร้องทักสาวน้อยบนอานที่ลงมาจากรถ เสื้อยืดตัวนั้นรัดทรงจนเห็นเต้า อวบตูมขึ้นมาเป็นก้อนเมื่อสายสะพายของกระเป๋าที่เธอหอบมานั้นพาดลงระหว่างเต้าทั้งสอง กางเกงยีนส์ขายาว สีเข้มเข้ารูปดูทะมัดทะแมง ผมรวบรัดไปด้านหลังเปิดวงหน้าหวานคมชวนหลงใหล “อ้าวพี่ชายมองอะไรคะ ก้อยอายนะ ก้อยเรียกตั้งแต่โน่นแล้ว พี่ชายแหละคิดอะไรถึงไม่ได้ยิน” เสียงใส ๆ ต่อว่า ขณะที่จัดขาตั้งรถเข้าที่ “ไหนคะ พี่สาวที่ว่าจะให้ก้อยช่วย สวยป่ะ” “มานี่ก่อน เดี๋ยว” มือแข็งแรงคว้าแขนสาวน้อยไว้จนเซเข้ามาหาตัว “บ้า พี่ชาย กลางวันแสก ๆ นอกบ้านด้วย เดี๋ยวใครเห็น” สาวน้อยหน้าตาตื่น “เดี๋ยวก่อน มานี่ก่อน” ชาติชายลากแขนสาวน้อยไปด้านหนึ่งมองตรงผ่านหน้าต่างเข้าไปเห็นศรัณย์กำลังคุยกับ วันเพ็ญอยู่ ก่อนที่ศรัณย์จะลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ วันเพ็ญ ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโอบไหล่ที่สะท้านไหว “อุ้ย พี่ชาย พี่ศรัณย์เป็นอะไรกับผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ” สาวน้อยเงยหน้าขึ้นถาม “เธอชื่อวันเพ็ญ” ชาติชายบอกก่อนจะบอกเล่าให้สาวน้อยฟัง ปานเรขาเงยหน้าขึ้นมองตาแป๋วอย่างตั้งใจพยักหน้า รับคำเป็นจังหวะ “แค่นี้แหละ อ้อ แล้วก็อย่าทำหน้าอย่างนี้กับใครนะ” ชาติชายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หน้ายังไงคะพี่ชาย” สาวน้อยถามด้วยความสงสัย “ก็อย่างที่กำลังทำอยู่นี่แหละ” ชาติชายบอก ทำเอาสาวน้อยขมวดคิ้วย่นจมูก “ไม่เห็นรู้เรื่องเลยพี่ชายนี่ ก็..” “ก็มันน่ารักไง” ชาติชายพูดสั้น ๆ “ไป เข้าไปในบ้านกัน” “ไหน ๆ พี่ชายว่าอะไรนะคะ ก้อยฟังไม่ทัน” สาวน้อยรีบเดินตามชาติชายที่รีบเดินเข้าไปในบ้าน “มาแล้วครับ ตัวช่วย” ชาติชายส่งเสียงนำเข้าไปก่อน ศรัณย์รีบลดมือลงจากไหล่วันเพ็ญพร้อมกับขยับตัวออกจาก กัน ศรัณย์หน้าแดงจนเห็นได้ชัด ขณะที่วันเพ็ญก็ยังคงเห็นสีแดงเรื่อ ๆ ระหว่างที่เธอค่อย ๆ เช็ดน้ำตา ทั้งสองคน ต่างพยายามทำหน้าเป็นปกติ “นี่น้องก้อย ปานเรขา ครับ น้องสาวเพื่อนผมเอง” ชาติชายแนะนำ “สวัสดีค่ะพี่วันเพ็ญ” สาวน้อยไหว้อย่างงดงาม “พี่วันเพ็ญไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก้อยจัดการให้เองนะคะ” สาวน้อยเดินเข้าหาพลางเปิดกระเป๋าใบเขื่องที่ปลดมาจากสะพายแล่งนั่น “นี่ ๆ ก้อยเอาแปรงสีฟันมาด้วย แล้วก็เสื้อก้อยกับกางเกง ไม่รู้ว่าพี่จะใส่ได้หรือเปล่านะคะ” สาวน้อยบอกอย่าง ร่าเริงเปิดกระเป๋ายกแปรงสีฟันขึ้นชูให้วันเพ็ญดูก่อน แล้วหยิบเสื้อขึ้นมาแกว่งเหมือนอวด “ก้อยยังเอา” “พี่ว่านะคะ เราไปข้างบนดีไหมคะ”วันเพ็ญขัดขึ้นพลางพยักหน้าไปทางชาติชายกับศรัณย์ “จริงด้วย” สาวน้อยร้องหน้าแดง “แล้วพี่ชายก็ไม่ยอมบอกเลยนะ” ท่อนหลังหันไปต่อว่าชาติชาย “อ้าว ไหงพี่โดนล่ะ” ชาติชายอุทาน “พี่ศรัณย์อีกคนด้วย” “ฮื้อ..” ศรัณย์ได้แค่อุทาน ก่อนที่ปานเรขาจะจูงมือวันเพ็ญหายลับขึ้นไปชั้นบน “พี่ชายครับ” “หือ อะไรรัณย์” “ผมว่าพี่จะแย่แล้วแหละครับ” “ทำไมวะ” “ก็เมื่อกี้นี้ ที่น้องก้อยว่าพี่นะ เหมือนที่คุณป้าต่อว่าผู้การการุณย์เมื่อวันก่อนเลย นะครับ” ชาติชายหันไปมองหน้าศรัณย์ นึกถึงเมื่อคืนที่โดนแม่เรียกไปเทศนาเรียงตัวที่พาปานเรขาไปเสี่ยงคราวก่อน “จริงว่ะ” ชาติชายเสียงอ่อย ๆ “ถ้าต่อไปพี่มีลูกสาว เป็นอันครบองค์ประกอบเลยนะครับ” “อะไรวะ วันนี้แกพูดมากนะนายรัณย์” ชาติชายจ้องหน้ารุ่นน้อง “องค์ประกอบที่บอกว่า ผู้ชายจะต้องอยู่ในโอวาทของผู้หญิงตลอดชีวิตไงพี่ พี่ไม่เคยได้ยินเหรอ” ศรัณย์ยิ้มกริ่ม “ยังไงวะ” ชาติชายขมวดคิ้ว “ก็ที่ว่า ผู้ชายน่ะ ตอนเป็นเด็กต้องอยู่ในโอวาทของแม่ พอแต่งงานก็อยู่ในโอวาทของเมีย แก่ลงไปก็อยู่ในโอวาท ของลูกสาว ไงพี่พี่จำไม่ได้เหรอ ที่คุยกันเล่น ๆ สมัยเรียนน่ะ” ศรัณย์ยิ้ม “เออว่ะ ท่าทางนะ แต่พี่ว่าวันนี้เอ็งพูดมากจริง ๆ ว่ะ” ชาติชายหันมาจ้องหน้าทะเล้น ๆ “ข้าจะคอยดูซิว่า คุณเพ็ญ จะดุแค่ไหน” “คุณเพ็ญจะเกี่ยวอะไรล่ะพี่” ถึงทีศรัณย์หน้าเหรอหราบ้าง “ไม่รู้ซิ เห็นนั่งโอบกันอยู่ พอเข้ามาหน้าแดงกันหมด เดี๋ยวไปเล่าให้แม่ฟังดีกว่า” ชาติชายพูดลอย ๆ “เฮ้ยพี่ ผมไม่มีอะไรนะพี่” ศรัณย์เดินตามหลังชาติชายที่เดินไปยังโต๊ะอาหาร “พี่ชาย พี่ชาย โว้ย” ชาติชายเดินหัวเราะไปรินกาแฟก่อนจะหันกลับมายักคิ้วให้ศรัณย์ ...................... “เดี๋ยวพี่มา คงใช้เวลาสักสองสามชั่วโมงนะ ทั้งไปทั้งกลับ” ชาติชายที่ยืนคู่อยู่กับปานเรขาหันมาบอกศรัณย์กับ วันเพ็ญก่อนจะออกไปซื้อของ “โห พี่ไปซื้อของทำไมนานจัง” ศรัณย์ขมวดคิ้ว “กะว่าไปลำพูนดีกว่า ซื้อแถวนี้เผื่อใครเห็นเข้า ซื้อเยอะด้วย เดี๋ยวผิดสังเกต” ชาติชายหันเดินออกไปพร้อมกับ ปานเรขา ศรัณย์กับวันเพ็ญนั่งดูโทรทัศน์กันเงียบ ๆ พักใหญ่ ศรัณย์ก็ผลุดลุกขึ้น วันเพ็ญสะดุ้งผงะถอย “อ้าว เป็นอะไรครับ” “แหม อยู่ดี ๆ ก็ลุกพรวด ก็ตกใจซีคะ” พูดพลางค้อนเข้าให้ “ตัวออกเบ้อเริ่ม มีอะไรเหรอคะ” “อ้าว ขอโทษครับ ว่าจะไปทำความสะอาดปืนเสียหน่อยครับ” “เหรอคะ ไปด้วยซีคะ เผื่อเอาปืนเพ็ญไปทำด้วย” “ไปซีครับ” วันเพ็ญลุกขึ้นยืนรอให้ศรัณย์ปิดโทรทัศน์แล้วเดินตามขึ้นไปชั้นบน “โห นี่คลังอาวุธเลยนะคะ ปืนอะไรมั่งน่ะคะ แปลก ๆ” วันเพ็ญอุทานแล้วถามเมื่อเข้าไปในห้องที่เก็บอาวุธไว้ “ไอ้ปืนโตนั่น Barrett M99 ครับ ใช้ลูกปืน .50 BMG คู่นั้น HK 417 ใช้กระสุน 7.62 นาโต้ ไอ้สี่กระบอกนั่น MP 7 ใช้กระสุน 4.6 มิลลิเมตร ของ HK ตรงนั้น UMP 9 ใช้กระสุน 9 มิลลิเมตร พาราเบลลั่ม เหมือนกับปืนพก HK P30 ตรงนั้น เอาปืนคุณเพ็ญมาซิครับ เดี๋ยวจัดการให้” ศรัณย์บอกระหว่างเดินไปหยิบกล่องเครื่องมือออกมาวาง กลางห้องพร้อมกับชี้ให้วันเพ็ญดูอาวุธที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ “ทำหมดเหรอคะเนี่ย เยอะแยะ” วันเพ็ญยืนมองไปรอบ ๆ ห้อง “แป๊บเดียวครับ ทำความสะอาดหลังยิงไปแล้ว ตอนนี้แค่เช็ดฝุ่น ไล้น้ำมันนิดหน่อย ปืนคุณเพ็ญล่ะครับ” “เดี๋ยวไปเอาค่ะ” วันเพ็ญเดินตัวปลิวไปแค่อึดใจก็กลับเข้ามานั่งตรงข้ามศรัณย์ที่กำลังเริ่มทำความสะอาดปืน เธอจัดการปลด ซองกระสุน ตรวจรังเพลิงแล้วถอดปืนพกของตนออกวางเรียงบนผ้าที่ศรัณย์ปูไว้อย่างคล่องแคล่ว ศรัณย์นั่งมองเธอถอดปืนออกมาแล้วหยิบแซ่แยงลำกล้องชุดหนึ่งส่งให้ วันเพ็ญเงยหน้ามองรับของแล้วยิ้มให้ก่อน ก้มลงประกอบแซ่เข้ากับด้ามแซ่แล้วลงมือทำความสะอาดปืนตนเอง สองคนนั่งทำกันเงียบ ๆ จวบจนวันเพ็ญ ทำความสะอาดปืนของเธอเสร็จก็ประกอบกลับเข้าที่ ดึงลูกเลื่อนดูแล้วบรรจุซองกระสุนเรียบร้อยก็วางไว้ด้านหนึ่ง “เพ็ญช่วยไหมคะ” เธอถาม ศรัณย์เงยหน้าขึ้นมอง “เอาซีครับ ถ้าอยากลอง เดี๋ยวผมบอกวิธีถอดประกอบให้ เอา MP 7 นี่แล้วกันครับ นี่ครับ ตรงนี้...” ศรัณย์ส่งปืนให้ วันเพ็ญรับไปส่วนตนเองถืออีกกระบอกหนึ่ง ถอดออกมาช้า ๆ ให้วันเพ็ญดูพร้อมกับทำตาม เธอนั่งมองศรัณย์อย่าง ตั้งอกตั้งใจแล้วทำตามไปช้า ๆ ครึ่งชั่วโมงถัดมา สองคนก็ช่วยกันทำความสะอาดปืนไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ศรัณย์กำลังทำความสะอาดปืนซุ่มยิง M 99 พอเงยหน้ามองวันเพ็ญก็เห็นว่าใบหน้ากลม ๆ นั่นมีเหงื่อเกาะพราว ศรัณย์ถึงกับหยุดมองวันเพ็ญที่ก้มหน้า ก้มตาทำความสะอาดปืนในมือง่วนอยุ่พอวันเพ็ญเงยหน้าขึ้นมองเจอสายตาศรัณย์ต่างคนก็ต่างยิ้มแล้วก้มหน้า ทำกิจต่อไป จนครู่ใหญ่ต่อมา เหงื่อวันเพ็ญก็หยดลงมาที่ปลายคางสร้างความรำคาญให้เธอ วันเพ็ญหยุดมือเงยหน้าขึ้น มองศรัณย์เห็นว่ากำลังทำงานง่วนอยู่ ด้วยความอ้าวของห้องและเสื้อยืดตัวหนาที่เธอสวมใส่มาสองตัวซ้อนนั่น เธอจึงถอดเสื้อออกตัวหนึ่งแล้วชำเลืองมองศรัณย์เห็นว่าเขาไม่ได้สังเกตก็ก้มหน้าทำงานต่อไป ศรัณย์ดันคันรั้งลูกเลื่อนของเจ้า M 99 เข้าที่ดังแกร๊กแล้วเงยหน้าขึ้นมองวันเพ็ญเพื่อจะดูว่าเธอทำไปได้เท่าไรแล้วก็ ตาค้าง หญิงสาวนั่งขัดสมาธิ ปืนยาวพาดอยู่บนตัก มือหนึ่งประคองปืน อีกมือหนึ่งเอาเศษผ้าเช็ดไปตามตัวปืน อากาศยามบ่ายที่อบอ้าวทำเอาทั้งเธอและเขาเองเหงื่อซึม ส่วนวันเพ็ญนั้นถอดเสื้อไปตัวหนึ่งเมื่อใดเขาก็ไม่รู้ได้ แต่เสื้อตัวที่ใส่อยู่นั้นก็เริ่มจะเปียกเหงื่อจนแนบเข้ากับถันเต้าสองลูกงามจนเห็นเป็นเต้าอวบได้ถนัด แล้วพอเจอ รอยด่างบนปืนที่กำลังจัดแจงทำความสะอาดอยู่นั้น เธอก็กดผ้าลงกับรอยนั้นแล้วออกแรงขัด อาการเขย่าตัวยาม ที่ออกแรงขัดรอยด่างนั่น ทำเอาเต้าที่ดันเสื้อยืดออกมาเป็นลูกนั้นขยับส่ายแกว่งไกวไปมาในเสื้อ อาการที่ ปลายหัวนมถูเสื้อนั้นเธอเองก็รู้สึก แต่ไม่ทันจะฉุกใจคิดว่ามันจะส่งผลให้จะงอยถันของเธอลุกพุ่งชูชันจนดันเสื้อ ขึ้นมาเป็นปุ่มปม อีกทั้งเต้าถันเธอมันก็ใหญ่อวบเอาการ ศรัณย์จึงมองเห็นตุ่มไตปลายถันนั้นได้ถนัดถนี่ ภาพนั้น ส่งอาการขมึงตึงลงไปที่ท่อนเอ็นในกางเกงเขาทันที ศรัณย์กลืนน้ำลายเป่าปากแล้วก้มลงทำงานต่ออีกครู่ใหญ่ “เสร็จแล้วค่ะ หมดแล้ว” เสียงใส ๆ ที่ดังขึ้นนั่นทำให้ศรัณย์เงยหน้าขึ้น วันเพ็ญยืดตัวขึ้นเต็มที่ ตั้งหลังตรงแก้อาการ เมื่อยเนื่องจากนั่งขัดสมาธิพร้อมกับยกแขนกางเหยียดสลัดเบา ๆ ศรัณย์นั่งมองตาค้าง “มีอะไรคะ” “เอ่อ คุณเพ็ญ เอ่อ เหงื่อแยะนะครับ” “ค่ะ บางทีรำคาญเลยแหละ” เธอรับคำก่อนที่จะก้มลงมองตัวเอง “ว้าย ตายแล้ว” สองแขนหุบเข้ากอดหน้าอก หน้าแดงเงยหน้าขึ้นมองศรัณย์ที่นั่งหน้าแดงไม่แพ้กัน วันเพ็ญลุกพรวดขึ้นด้วยความอาย แต่เมื่อสองมือสองแขนยังกอดตัวกลัวเต้าโผล่ให้ศรัณย์เห็นนั่น มันก็ไม่มีอะไรจะ ช่วยในการทรงตัว ร่างอวบ ๆ ที่ลุกขึ้นจึงเสียหลักหัวทิ่มไปข้างหน้าพุ่งเข้าใส่ศรัณย์ที่ไม่ทันตั้งตัว หน้าผากกลม ๆ กระแทกเข้าครึ่งปากครึ่งจมูกศรัณย์จนล้มหงายผึ่งไปด้วยกัน ร่างศรัณย์หงายหลังลงไปพร้อมกับร่างอวบอัดที่โถม ทับด้วยความสิ้นหวังที่จะยั้งตัว วันเพ็ญยกสองแขนขึ้นกุมหน้าปากด้วยความเจ็บปวดที่ซ้ำเข้ามาทั้ง ๆ ที่เธอยัง ระบมอยู่จากเหตุการณ์เมื่อคืน ศรัณย์ตวัดแขนโอบรัดร่างนั้นไว้ด้วยสัญชาติญาณทั้ง ๆ ที่ตนเองทั้งเจ็บทั้งมึน ปานโดนกระแทกด้วยหมัดลุ่น ๆ วันเพ็ญหน้าเบ้หลับตาปี๋ด้วยความเจ็บ พอ ๆ กับที่ศรัณย์เองก็หลับตาลิ้มรสเฝื่อน ฝาดของเลือดตนเอง สองหนุ่มสาวลืมตาขึ้นเจอสายตาของอีกฝ่ายอยู่ห่างแค่คืบ “อุ๊ย ปากแตกเลยค่ะ” “มะ ไม่เป็นไรครับ เจ็บไหมครับ” ศรัณย์ตะกุกตะกักเมื่อรู้สึกถึงเต้าอวบที่ทาบอยู่บนอกและร่างเต่งตึงที่ทับอยู่ เต็มตัวทำเอาเอ็นเนื้อของเขาแข็งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว วันเพ็ญเองด้วยความตกใจที่เห็นเลือดไหลออกจากปากชายหนุ่มก็ไม่ทันจะเอะใจ ละมือจากหน้าผากลงไปเช็ด เบา ๆ ดวงตาใสแป๋วจับอยู่ที่ปาก ลมหายใจหอมกรุ่นของเธอเป่าเข้าหน้าศรัณย์ “เจ็บเหมือนกัน คุณล่ะคะ อ่า..” ใบหน้าหญิงสาวแดงซ่านเมื่อรู้สึกได้ว่า อกอวบบดเบียดอยู่กับอกกว้าง ตัวของเธอ ทาบทับอยู่บนตัวเขาเต็มที่ อ้อมแขนแข็งแกร่งโอบรัดตัวเธอไว้อย่างมั่นคง และ เบื้องล่างนั้นเนินเนื้อสาวแน่นหนั่น ทาบทับของที่แข็งเป็นลำขึ้นมาจากส่วนล่างของศรัณย์ “อุ๊บ..” เสียงอุทานขาดหายเมื่อศรัณย์โอบรัดเธอแล้วใบหน้าของเขาก็ยื่นขึ้นมา ปากชนปาก แล้วเธอก็หน้ามืด อ่อนแรงวาบไปทั้งตัว ปากเขาที่ยกยื่นขึ้นแนบเบา ๆ ก็กลายเป็นประทับจูบ แขนแข้งแรงกอดรัดเธอแน่นเข้า ยามนี้ ต่อให้เขาไม่กอดเธอก็หมดแรงที่จะดิ้นรน มือที่พยายามยกยันตัวออกห่างหมดแรง กะปลกกะเปลี้ย ความรู้สึก วาบหวิวดื่มด่ำอย่างไม่เคยพบแล่นพล่านไปทั่วร่าง เธอบอกตัวเองให้ดิ้นรนให้หลุดออกจากอ้อมกอดนั้นแต่แขนเธอ กลับยกขึ้นโอบกอดเขา “ช่างน่าชังแขนตัวเองนัก อ้าว ทำไมฉันถึงจูบตอบเขาด้วย โอย จูบกันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันช่างวาบหวิวซาบซ่าน จน.. จน.. หมดแรงจะต่อต้าน อูย เขาทำอะไรนะ อุ๊ย สอดลิ้นเข้ามา โอ๊ย นี่ฉันโดนไฟช๊อตเหรอเนี่ย ตายแล้ว เขาพลิกตัวแล้ว โหยย กอดเขาทำไมมันอบอุ่นจังหนอ อูย จูบกันทำไมมันทำให้ฉันหมดแรงขนาดนี้ มือเขาร้อน จังนะ โอย ฉันฉันบอกไม่ถูกแล้ว อยากให้เขาออกไป หรืออยากให้เขาจูบอยู่อย่างนี้กันแน่หนอ ว้าย มือ มือ....” อุ้งมือแข็งแรงสอดผ่านชายเสื้อขึ้นไปไล้ข้างเต้าแล้วสอดขึ้นกดอุ้งมือลงกับยอดถัน วันเพ็ญถอนหายใจขลุกขลักอยู่ กับปากของศรัณย์ที่ละเลียดชิมความหวานจากริมฝีปากอิ่ม แผ่นหลังราบเรียบหยัดยกสลับยุบหลบอุ้งมือหยาบที่ กดคลึงไปทั่วเต้าสาวของเธอ ลมหายใจหอมกรุ่นเป่ากระชากออกจากจมูกวันเพ็ญเฮือก ๆ ริมฝีปากศรัณย์ผละออก จากปากเธอแล้วไต่ลงไปที่แก้มนวลก่อนจะลดลงไปฝังลงกับลำคอขาวผ่อง ร่างอวบกระตุกเฮือกเมื่อชายหนุ่มจูบ ลงกับสันคอ “โอยยยย” เสียงวันเพ็ญแหบโหยเมื่อศรัณย์ประทับปากลงกับลำคอ ความอุ่นซ่านทำให้เธอต้องขยับตัวไปมา เหมือนดังจะอำนวยความสะดวกที่เขาค่อย ๆ ดันชายเสื้อยืดชุ่มเหงื่อนั้นสูงขึ้น สูงขึ้น จนเต้าอวบผ่องนวลพ้น ออกจากชายเสื้อ “ว้าย ตายแล้ว ตายแน่แล้ว ยายวันเพ็ญเอ๊ย เขาจูบหน้าอกแล้ว ว้าย ๆ ๆ อูย ทำไมเขาช่างทำได้ขนาดนี้นะ ทำไมมันถึงช่างเร้าอารมณ์ฉันได้ขนาดนี้นะ อู๊ยยยยย เขาทำอะไรกับหัวนมฉันเนี่ย มันถึงได้ซ่านไปถึงปลายเท้า ปานนั้น.. อืมม ทั้งซ้ายทั้งขวาแล้ว โฮยยย มันร้อน มันคัน มันผ่าว ๆ ไปทั่วทั้งตัวเลย นี่เขาจะพาฉันไปถึงไหนกันหนอ” ศรัณย์เคล้าหน้าเกลือเต้าอวบจนดิ้นไปมา ปากอ้างับดูดเม้มจะงอยถันจนลุกชันชี้ตั้งขึ้นรับปลายลิ้นที่ตวัดพลิ้ว อกอวบยกขึ้นพร้อมกับเรียวแขนโอบประคองศีรษะชายหนุ่มที่คลุกเคล้าอยู่กับหน้าอก มือข้างหนึ่งของศรัณย์เลื่อน มาป้วนเปี้ยนอยู่กับกระดุมกางเกงตัวหนานั่น แล้วสาบกางเกงก็เปิดออกตามกระดุมที่ถูกปลดออกจากรังดุม ทีละเม็ด ริมฝีปากจูบตอดระเรื่อยลงไต่เต้าอวบจนทั่วเต้าเต่ง แล้วพรมจูบละเรื่อยลงมานาวแนวกลางหน้า ท้องแบนราบพร้อมกับที่มือของเขาขยับดันกางเกงตัวใหญ่ค่อย ๆ หลุดลงไปตามสะโพกผายที่ขยับไปมา ไม่กี่อึดใจ เอวกางเกงตัวหลวมของเขาที่วันเพ็ญนุ่งอยู่นั้นก็พับม้วนลงไปอยู่ที่โคนขา เปิดทางให้สายตาของชายหนุ่มจับจ้อง ลงที่เนินเนื้อเกลี้ยงเนื้อนูนตั้งโหนกยกตัวขึ้นนั้นปราศจากเส้นขน เกลี้ยงเกลาผุดผ่องยั่วยวนใจ กลีบแคมเนื้อ ขาวนวลประกบปิดกันแนบสนิทเป็นเส้นลงมุดหายลงไปเบื้องล่าง ตรงร่องเนื้อนั้นวาววับด้วยหยาดน้ำใสปริ่มอาบ ไปทั้งร่อง “ตายแล้ว ยายเพ็ญ เขาถอดกางเกงเราไปแล้ว อี๋ย เห็นหมดเลยแล้วซี จะทำยังไงดีล่ะ ขนาดยายนุชยังบอกว่า ของเรามันแปลกที่ไม่มีขนเลย แล้วเขาจะว่าอย่างไรนี่ เมื่อคืนไอ้พวกนั้นที่เห็นนั่นมันก็ตายหมดแล้ว คราวนี้ เขามาเห็นแล้วมันจะเป็นอย่างไรเล่ายายเพ็ญเอ๋ย อูย ลมอะไรอุ่น ๆ มารดตรงนั้นะ อุ่นเลย ว๊าย หน้าเขา..” “ว๊าย..” วันเพ็ญอุทานเมื่อปากของชายหนุ่มประกบลงกับยอดกลีบที่รอยเนื้อมาประกบกันนั่น เอวกระตุกเมื่อ รู้สึกถึงปากชายหนุ่ม ยิ่งกระตุกจนสั่นเมื่อเขาจูบเม้ม แล้วก็สะท้านไหวยามที่เขาแทรกเรียวลิ้นลงมากลางกลีบ “โฮยยยย” เสียงอุทานปนออกมากับลมที่พ่นออกมาจากปากอิ่ม เมื่อปลายลิ้นศรัณย์สอดผ่านเข้าไปกระทบ โขดเนื้อปากถ้ำ เสียวซ่านวาบขึ้นไปทั้งตัว ยิ่งเมื่อปลายลิ้นตวัดโลมโขดเนื้อชิ้นนั้นด้วยแล้ว สะโพกวันเพ็ญก็ยกขึ้น ลอยคว้างปลายลิ้นตวัดน้ำฉ่ำเกลี่ยไล้ไปทั่ว ปากที่พ่นลมกลับหุบเม้ม ฟันขาว ๆ กัดขบจนแน่น สองมือขยุ้มลง ตรงหน้าขาที่เสียวซ่านเพียงเพื่อจะตะปบขยุ้มลงกับศีรษะของศรัณย์แล้วขยับยึกยัก จะกดลงก็สุดเสียว จะดึงออก ก็สุดกำลังจะทำได้ “โอย โอย ยายเพ็ญ ยายเพ็ญ เอ๋ย ทำไมมือเรามันถึงคอยจะกดหัวเขาให้แนบตรงนั้นเสียจริง ดึงออกซิเจ้ามือ ของชั้น ฮือ มันช่าง เสียว ช่างดี อะไร อย่าง นี้ นะ มิน่า ยายนุชถึงชอบ เอ๊ะ นี่เราจะเป็นอย่างยายนุชอีกคนหรือ แต่ก็ นะ ดีจังนะ อูย ตายแล้ว ไม่ไหวแล้วนะ” “อูยย.. ตายแล้ว ไม่ไหวแล้วค่ะ โฮยยย” สะโพกกลมกลึงยกยันเร่า ๆ เข้าหาปากและลิ้นของศรัณย์ เสียงร้อง ขาดหายลงไปในลำคอ ร่างอวบอัดเกร็งหยัดจนแอ่นโค้ง ปลายลิ้นของศรัณย์สัมผัสอาการกระตุกขมิบของมัน ยามที่กวาดหยาดน้ำหวานปนคาวนั้นเข้าปาก กลีบแคมนั้นยกย้ายส่ายไหวเหมือนจะหลบ เหมือนจะยั่วให้ศรัณย์ ไล่ลิ้นตามติดตวัดโลมเลียก่อนที่จะประกบปากลงกับช่องถ้ำเนื้อฉ่ำแล้วแทรกปลายลิ้นแหย่ผ่านปากถ้ำเข้าไป “อ๊ายยย๊ายยซซซซซ” ร่างอวบนั่นเกร็งขึ้นจนสะท้าน สองมือขยุ้มหัวเขากดขยี้ลงกับกลีบแคมพลางสะโพกงามส่าย บดคลึงมันกับปากของเขา ศรัณย์เกร็งลิ้นฉกวาบ ๆ ร่างงามก็สั่นกระตุกยวบ ๆ ยามที่ปลายลิ้นเขาฉกผ่านปากถ้ำ “ฮืออออยยยยย” วันเพ็ญครางแอ่นกระตุก แล้วหมดแรงปล่อยร่างอวบลงนอนกับพื้นห้อง หายใจหอบจนตัวโยน เต้าอวบกระเพื่อมยวบ ๆ สองแขนปลดปล่อยศีรษะของศรัณย์แล้วตกลงแผ่กางออกอย่างหมดแรง “โอย เหนื่อยจัง เมื่อกี้เราเป็นอะไรนะ เหมือนตกจากหน้าผามางั้น ทั้งหวิว ทั้งเสียว หมดแรงแล้วเรา นะเพ็ญเอ๋ย เรี่ยวแรงมันไปไหนหมดนะ อืมม ทำไมอึดอัดนะ หรือว่าโดนผีอำอย่างที่เขาพูดกัน อืมม อุ่นดีจังนะ ผีอำเนี่ย..” วันเพ็ญปรือตาโรยแรงขึ้นพบกับสายตาคมของศรัณย์ที่จ้องเข้ามา ร่างแข็งแรงนั่นทาบทับลงมาเต็มตัวเรือนร่างอัน แข็งแรงแผ่ความอบอุ่นซ่านผ่านผิวกายของเธอ ใบหน้าของเขาก้มลงประทับจูบ เธอจูบตอบเขาด้วยใจรัญจวน แขนผ่องเรียวยกสอดลอดใต้แขนทั้งคู่นั่นขึ้นไปวางบนหลังของเขา ใจสะท้านวาบเมื่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง อย่างหนึ่งที่ประทับลงตรงความสาว “โอย ยายเพ็ญ แย่แน่แล้ว เขาทำแล้ว เขารุกล้ำเข้ามาแล้วนั่น ช่างอึดอัดเสียจริงหนอ โอ้ โอย เจ็บนะ เจ็บแปลบ ตรงนั้นนะ อูย ให้เขาหยุดดีไหมนะ เขารุกล้ำเข้ามาใหญ่แล้ว โอย ตาย ๆ ไหนยายนุชบอกว่ามีความสุขแล้วนี่ทำไม มันถึงเจ็บเล่านี่ ...” ร่างนวลอวบนั่นเกร็งตัวแข็งยามที่แก่นกายของศรัณย์เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ แก่นเนื้อแข็งปักหัวลงเปิดปากถ้ำ ให้เผยอกว้างออกทีละน้อยปล่อยให้มันมุดผ่านเข้าไปทีละนิด ศรัณย์จูบแก้มนวลอย่างแผ่วเบา สายตาจับจ้อง ใบหน้าสวยกลมคมขำที่เหยเกส่ายไปมาด้วยความรู้สึกของเจ้าของ ปากจิ้มลิ้มนั้นเดี๋ยวก็เม้ม เดี๋ยวก็เป่าลม เดี๋ยวก็กัดฟัน มือนุ่มที่วางอยู่บนหลังนั้นก็กด บีบ ขยุ้ม จิกหลังเขาสลับไปมา ศรัณย์สอดมือเข้าทาบเต้าอวบนุ่ม คลึงฝ่ามือหยาบลงกับพวงเนื้อนวลยามที่เขาขยับดันแก่นกายรุกคืบเดินหน้า “โอ๊ย เจ็บนะนี่ เจ็บจัง ใครมาฉีกตัวฉันหรือ โอ๊ย...” ใบหน้าวันเพ็ญแหงนเชิดกัดฟันกรอด นิ้วมือขยุ้มหลังศรัณย์จิกกำ สองขาถ่างออกจนสุดที่ ร่างอวบเกร็งแน่น โพรงเนื้อบีบรัดแก่นกายของศรัณย์เป็นจังหวะ ชายหนุ่มจูบคลอเคลียแก้ม คาง ลำคอผ่อง ก่อนจะไต่ขึ้นไปจูบ หน้าผาก ลิ้มรสเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมาพราว แล้วค่อย ๆ วางริมฝีปากลงบนเปลือกตาที่ปิดแน่น รอจนร่าง ขาวผ่องนั่นหยุดสั่นและคลายอาการเกร็งจึงขยับเขยื้อน “อึ..ๆ ๆ ” เสียงสั้น ๆ ดังอยู่ในลำคอเมื่อแก่นกายเขาขยับเดินหน้าเบา ๆ ลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ปากจิ้มลิ้มห่อเป่าลม ปะทะใบหน้าเขาเป็นจังหวะ แก่นกายเขาค่อย ๆ คืบเข้าไปในร่างนวลนั้นทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่ง “โอย.. เจ็บ แน่นจัง อืมม มันเข้ามาแล้ว เขาเข้ามาในตัวเราแล้ว อูย ไอ้เจ้าน้องน้อยนี่ก็เต้นอยู่ได้ ไม่เห็นแก่หน้า แม่เลยอูย มันบอกไม่ถูกเลยนะ เต็มจัง ตัวเขานี่อุ่นดีจังน่ากอดนาน ๆ ดูซิของเขามันเต้นตุบ ๆ ด้วย อา.. แปลกพิลึก..” ดวงตาคู่งามปรือลืมขึ้นพบกับสายตาของศรัณย์ที่จ้องจับอยู่ เขาจูบอีกครั้ง “อูย เขาถอยไปแล้ว อืม เสียวจัง ว้าย เข้ามาอีกแล้ว อืมม คันยิบ ๆ ตรงนั้นจังเลย อูย เขาส่ายด้วย มันคว้านเราจน โหยยย เสียวไปทั้งตัว อุ๊ย เสียวจัง ของเขามันทำได้ขนาดนี้เลยรึนี่ อืมม ช่างเสียวไปจนสุดใจเสียจริง โอย มันอะไร กันนี่ถึงได้เสียวซ่านเสียเหลือเกิน มันถอยออกไปอีกแล้ว ช้า ๆ โหยยย จะลากไปถึงไหนกัน อื๊มมมม เข้ามาอีกแล้ว ทรมานจังเลย เสียวจัง อูย อูย อูย” แก่นกายศรัณย์เริ่มขยับตัวเข้าออกโพรงเนื้อคับแน่นของวันเพ็ญ ยามถอยมันก็ครูดดึงกลีบแคมชิ้นเล็กแบะตาม ออกมาพร้อมด้วยหยาดน้ำใสลื่นที่เกาะแก่นเนื้อชโลมมันจนลื่น ยามเข้ามันก็กดกลีบย่นยู่มุดตามลำเอ็นขรุขระไป ช้า ๆ ท่อนเอ็นแข็งแกร่งเริ่มจับจังหวะมุดเข้าจนสุดกั่นแล้วส่ายควงจนปลายของมันควานก้นถ้ำเนื้อ สะโพกนวล ของวันเพ็ญเริ่มขยับไหวส่ายยกตอบโต้ศรัณย์อย่างช้า ๆ เมื่อความเจ็บคลายหายไป เปิดทางให้ความสุขหฤหรรษ์ เริ่มแผ่ซ่าน ศรัณย์กอดร่างอวบนั้นอย่างทะนุถนอมย่างดันเอวกระเด้าเชื่องช้าดื่มด่ำกับความรู้สึกยามที่ท่อนเนื้อ ขยับเขยื้อนเคลื่อนเข้าออก แขนเรียวงามนั้นกอดรัดเขา ดวงตาคู่งามปรือจ้องตอบฉ่ำเยิ้มไปด้วยอารมณ์สุข สะโพกกลมยกยันอย่างเข้าจังหวะเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ความเสียวพุ่งพล่านไปทั้งร่างเมื่อโพรงเนื้อของวันเพ็ญ บีบรัดท่อนเอ็นอยู่หมุบหมับ จังหวะเคลื่อนกายจึงเริ่มเร่งเร้ากระชั้นถี่ขึ้นและเพิ่มแรงดันท่อนเอ็นมุดเข้าไปจน แนบสนิท สองหนุ่มสาวควานหาปากซึ่งกันและกันแล้วประกบแนบแน่น เสียงคราง เสียงสูดปากจึงลดลงเหลือ อยู่เพียงในลำคอ ไม่ถึงอึดใจร่างทั้งสองก็เหมือนกับศัตรูคู่อาฆาตที่เผ่นโผนโจนทะยานเข้าห้ำหั่นกันดังจะให้ สิ้นชีพไปเสียฝ่ายหนึ่ง ร่างแข็งแรงบดขยี้แก่นเนื้อเข้าใส่ร่างอวบนวลหนักแน่นจนร่างนั้นสะเทือนไหว แต่ร่างนั้น ก็ขยับตัวเข้าปะทะอย่างไม่ยอมแพ้แก่กัน จนหน้าเนินของทั้งสองประกบประทับเข้าแนบแน่น เสียงเนื้อต่อเนื้อ ดังขึ้นจนระงมยามที่ศรัณย์เร่งเร้าจังหวะโหม ปากถ้ำนวลฉ่ำแฉะไปด้วยน้ำใสที่รินหลั่งออกมาชโลมไม่ขาดสาย “โอย โอย ฉันคุมตัวไม่อยู่แล้ว มันช่างมีความสุขมากมายนัก โหยยย เขาช่างแข็งแรงเสียจริง ยามที่รุกเข้ามานั้น ช่างหนักแน่นจนสาแก่ใจ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเช่นนั้นได้หนอ โอย มันเสียวจนหมดไปทั้งตัวแล้ว โหยยย ทำไมมัน ถึงรู้สึกเหมือนใครมาดึงฉันลอยละลิ่วเช่นนี้ ...โอย ว้าย...” “โหอย ว้าย..” ร่างอวบของวันเพ็ญแอ่นหยัดขึ้นจนลอยพ้นพื้นยามที่ความสุขทะยานขึ้นจนเต็มตัว สองแขนกอดรัด ร่างศรัณญ์ดึงเข้าหาตัวแนบแน่น พร้อมกับเรียวขาที่ยกขึ้นเกี่ยวกระหวัดรักท่อนขาเขาไว้ สะโพกกลมยกกระดก เป็นจังหวะกระชั้นถี่ ร่างอวบเกร็งจนเหมือนสั่น ใบหน้าเชิดหงาย กลั้นเสียงกรีดจนเหลือแต่เสียงครางในลำคอผ่อง “อึ๊มมมม กรรร” ศรัณย์ขบกรามจนแน่น เกร็งเอวดันแก่นเนื้อกระทั้นเข้าใส่อีกสองสามครั้งแล้วกดแน่น สองแขน แข็งแรงกอดร่างอวบเข้าแนบตัว เอวกดท่อนเอ็นจมเข้าในร่างอวบจนมิดกั่น หยาดน้ำอุ่นฉีดทะลักออกจากท่อนเนื้อ พุ่งเข้าในร่างอวบจนอุ่นวาบ “อี๊ยยยยย” วันเพ็ญร้องครางอีกครั้ง ร่างามเกร็งกระตุกยามที่น้ำรักอุ่นร้อนฉีดพุ่งเข้ามาเป็นสาย ๆ เติมเต็มโพรงถ้ำ ของเธอจนล้นทะลัก สองมือเกร็งจิกหลังศรัณย์แน่นด้วยความเสียวสุดชีวิตสาว ทั้งสองคนไม่รับรู้ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร เพียงแต่ดื่มด่ำกับความรักที่ป้อนและรับแก่กันนั่นจนร่างทั้งสองฟุบลง หอบหายใจตัวโยนทั้งคู่ หยาดน้ำรักขาวข้นไหลเยิ้มออกมาจากโพรงเนื้อแทรกออกมาตามขอบที่แก่นเนื้อจมเข้าไป เยิ้มย้อยลงสู่พื้น หนุ่มสาวตะกองกอดร่างอันอบอุ่นของกันและกัน ริมฝีปากแตะกันเบา ๆ สองสายตาที่จับจ้องกัน เปี่ยมด้วยความรักความซาบซึ้ง ตี๊ดดดด ตี๊ดดดดด เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำเอาสองคนสะดุ้งเฮือก ศรัณย์หันมองหาที่มาของเสียงพอเจอเข้าก็เสือกตัวไปหยิบกางเกง ที่กองอยู่ข้าง ๆ มาล้วงเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ออกมาจากกระเป๋าอย่างร้อนรน วันเพ็ญสะดุ้งเฮือก ๆ เพราะ หนุ่มศรัณย์เล่นขยับตัวไปมาทั้ง ๆ ที่ยังสอดแก่นเนื้อคาไว้ในร่างเธอ ยามที่เขาขยับตัวนั่น มันทำเอาเจ้าท่อนเอ็น ที่ฝังคาอยู่นั้นตื่นตัวขึ้นมาจนเต็มร่องรูเนื้อโยนีเธอขึ้นมาอีก วันเพ็ญต้องยกมือขึ้นรัดร่างศรัณย์ไว้ด้วยความเสียว คิ้วเรียวขมวด ปากห่อกลั้นใจค่อย ๆ ปล่อยลมเบา ๆ ด้วยกลัวเสียงจะดังเข้าไปในโทรศัพท์ที่ศรัณย์กดปุ่มรับสาย แล้วกดเปิดลำโพง “เฮ้ย รัณย์ เป็นไงกันบ้าง พี่อยู่ที่ตลาดแล้ว เอาอะไรไหม” เสียงชาติชายปนด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ “เอ่อ สบายดีครับพี่ เอ่อ” ศรัณย์หยุดไปนิดหนึ่ง “พี่ซื้อของกินเข้ามาเลยเถอะพี่ จะได้ไม่ต้องมานั่งทำ” “เออ ก็ว่างั้นแหละ นี่น้องก้อยกำลังซื้ออยู่แล้ว เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว อย่างอื่นเอาไหม” “ไม่มีอะไรแล้วครับ” ศรัณย์ตอบก้มลงสานสายตาที่เบิ่งกว้างของวันเพ็ญที่นอนอยู่ในอ้อมกอด “งั้นเดี๋ยวเจอกัน อ้อ คุณเพ็ญเป็นไงบ้าง” วันเพ็ญยกมือขึ้นปิดปากนัยน์ตาเต้นริก ๆ โพรงเนื้อขมิบวาบ ๆ ด้วย ความตื่นเต้น จ้องตาศรัณย์นิ่ง “เอ่อ อ่า อยู่ในห้องน้ำครับพี่ ก็ เอ่อ ไม่เป็นไรนี่ครับ” ศรัณย์ตะกุกตะกัก หน้าแดงจนวันเพ็ญยิ้มอยู่ในที “โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน” เสียงโทรศัพท์ขาดหายไป ศรัณย์ก้มลงมองวันเพ็ญที่ต่างเบิกตาด้วยความตกใจ “กำลังมากันแล้ว” “ก็ลุกซีคะ ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวสองคนก็มาหรอก” “จริงของคุณเพ็ญ” ศรัณย์ขยับตัวถอนแก่นกายออกช้า ๆ “อูยยยยย” วันเพ็ญนิ่วหน้าเมื่อท่อนเอ็นแข็งเลื่อนถอยหัวถอกระโพรงเนื้อไปจนหลุดออกไปข้างนอก ความรู้สึก ของเธอยามนี้มันเหมือนว่าง ๆ โล่ง ๆ พิกล ศรัณย์ก้มลงมองท่อนเนื้อตัวเองแล้วหยุดตะลึง นอกจากครบเมือกใส คราบน้ำรักขุ่นขาวที่เกาะรอบเอ็นแท่งอวบ นั่นแล้ว ยังปนด้วยคราบสีแดงอยู่เกือบทั่วลำเอ็น ศรัณย์เงยหน้าขึ้นมองวันเพ็ญที่ยกมือปิดปากสบตาเขา “คุณเพ็ญ” คำถามหายไปในลำคอเมื่อเธอพยักหน้าช้า ๆ มือกดพื้นดันร่างขึ้นยกแขนอีกข้างเหนี่ยวคอศรัณย์ “คุณเป็นคนแรกค่ะ” วันเพ็ญบอกเบา ๆ “ไปเถอะเร็ว ๆ เดี๋ยวสองคนนั่นมากันพอดี” สองคนกระวีกระวาดลุกขึ้น ศรัณย์คว้าเสื้อผ้าเผ่นโผนลงไปข้างล่าง ขณะที่วันเพ็ญก็คว้าเสื้อผ้าที่ศรัณย์กองไว้ วิ่งโหย่ง ๆ ไปเข้าห้องน้ำเช่นกัน ดังนั้น ยามที่ชาติชายกับปานเรขาเดินเข้ามาในตัวบ้านจึงเห็นศรัณย์กับวันเพ็ญนั่งจ้องโทรทัศน์กันสองคน แก้มของ ทั้งคู่แดงเรื่อ ๆ ชาติชายขมวดคิ้วอย่างผิดสังเกต แต่ก็นึกไม่ออก เดินเลยไปห้องเตรียมอาหาร ศรัณย์กับวันเพ็ญ หันไปสบตากันยิ้มให้กันอย่างอ่อนระโหย

ไม่มีความคิดเห็น: