ขายของ
วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554
With No Remorse Chapter 5
With No Remorse
Chapter 5
“ระยะ” เสียงนั้นดังขึ้นเพียงแค่ลอดไรฟัน พอได้ยินกันแค่สองคนที่นอนคว่ำเคียงกัน ชาติชายนอนประทับปืน เอ็ชเค 417 ที่ประกอบกล้องเล็ง ขาทรายชนิดสองขา และปลอกลดเสียงท่อนยาว ศรัณย์แนบตาเข้ากลับกล้องส่องวัดระยะ
“สามร้อย” ศรัณย์บอกเสียงไม่ดังไปกว่ากัน
“ผลุ” เสียงกระสุนที่แล่นผ่านลำกล้องดังแผ่ว ๆ แล้วดังขึ้นอีกเป็นระยะอีกสี่ครั้ง
“ผล”
“ศูนย์ จุด ห้า เอ็ม โอ เอ” ศรัณย์พูดเบา ๆ หมายถึงกระสุนทั้งห้านัดนั้นเกาะกันอยู่เป็นกลุ่มกระจายอยู่ในรัศมีสองนิ้ว จากจุดดำของเป้าที่ตั้งอยู่ห่างไปสามร้อยหลา
“ดูหน่อย” ชาติชายวางปืนลงแล้วรับกล้องจากศรัณย์ขึ้นมาส่องดู “น่าจะเป็นจุดหก หรือจุดแปดนะ”
“ใกล้เคียงครับ ลองอีกชุดไหมพี่”
“ดี ไปซ้าย” ชาติชายส่งกล้องคืนแล้วดึงปืนขึ้นมาจัดเข้าที่แล้วประทับเล็งนิ่ง อึดใจถัดมากระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร ก็แล่นผ่านลำกล้องขนาด 16 นิ้ว ออกไปอีกห้านัด
“ลดลงครับ ศูนย์ จุด ห้า เอ็ม โอ เอ” ศรัณย์บอกเบา ๆ “มือไม่ตกนะพี่”
“ขอบใจรัน ตานาย” ชาติชายบอกแล้วสองหนุ่มก็สลับที่กัน ครึ่งชั่วโมงถัดมาสองหนุ่มก็เก็บปืนใส่ซองผ้าใบลายพรางและปลอกกระสุนที่ กระเด็นออกไปด้านข้างมารวมกัน ครู่ถัดมาสองคนก็หอบของเดินออกจากสนามยิงปืนไป ทิ้งให้ทหารประทวนอีกสองนายเดินไปเก็บเป้า
“โห เว้ย แม่นฉิบ มึงดูซิ” คนหนึ่งหันไปพูดกับเพื่อนพลางชี้ไปที่เป้าที่กลุ่มกระสุนเจาะรูเป็นกระจุก
“เออว่ะ ปืนเชี้ยอะไรวะ กูไม่เคยเห็น สวยฉิบหาย เงียบด้วย นั่งอยู่แค่ไม่ถึงร้อย ไม่ได้ยินเลย” นายสิบทั้งสองคนปลดเป้าเก็บซ้อนกันไว้แล้วเดินไปเก็บแผ่นถัดไป
“มึงว่าพวกไหนวะ เห็นว่าผู้การการุณย์เอามาทำงานใช่ป่าว”
“สงสัยพวกหมวกแดงว่ะ” คนพูดหมายถึงทหารกองพลรบพิเศษแห่งศูนย์สงครามพิเศษ
“ไม่รู้ซิ แต่กูว่าไม่ใช่ว่ะ ชุดพรางมันไม่ใช่เหมือนของเรา” คนพูดหอบม้วนเป้าเดินไปยังเป้าถัดไป
“เออจริงของมึง แต่ว่านิสัยดีนะ หอบของมาฝากทุกวัน”
“ไอ้เชี้ยเอ๊ย เห็นแก่กินนะมึง เก็บ ๆ เข้า เดี๋ยวจะได้กลับ” สองคนช่วยกันเก็บจนเสร็จเรียบร้อยแล้วหอบของเดินออกไป
ลูกชายคนเดียวของเสี่ยเล้งเดินอาด ๆ เข้ามาในสำนักงานแวะแทะโลมเลขาคู่ขาของเตี่ยอย่างไม่เกรงอกเกรงใจสายตาใคร ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ
“เตี่ยมีอะไรกับผมเหรอ” สายตาที่กวาดไปทั่วห้องบอกเขาว่าเสี่ยใหญ่อยู่กับเจ้าชัยมือขวาเพียงสองคน
“อย่างที่ตกลงแหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้แกไปกับชัย ไปดูของกลับมาให้เรียบร้อย มีอะไรถามชัยมัน”
“โห เตี่ย อะไรมันจะรีบขนาดนั้น” เจ้าก้องนั่งลงเอนพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่หน้าโต๊ะทำงานของพ่อ “แล้วทำไมต้องให้นายชัยไปด้วย ผมคนเดียวก็ได้” สายตากวาดไปที่มือขวาของบิดาที่ยืนทำหน้านิ่ง ๆ อยู่เยื้องไปเบื้องหลัง
“แกมันยังไม่เคย ไปกับชัยก่อน เที่ยวหลังค่อยไปคนเดียว เตี่ยก็ไม่อยากให้เจ้าชัยมันไป แต่คนที่ไปคุมมันต้องให้ไว้ใจได้” เสี่ยเล้งมองลูกชายที่นั่งเบะปาก “หรือแกจะดูคุมงานส่งของในเมืองนี่”
“ได้เลยเตี่ย แค่ส่งของเก็บเงิน” เสี่ยใหญ่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
“งั้นก็ได้ ลองดูก่อน คืนนี้ไปดูที่กับชัยมันแล้วกัน แล้วพรุ่งนี้ชัยออกไปดูขนของเข้ามาแล้วกัน” เสี่ยใหญ่ตัดสินใจพลางหันไปบอกลูกน้องคู่ใจที่พยักหน้ารับเงียบ ๆ อย่างนอบน้อม
สี่ทุ่ม ในตรอกเล็ก ๆ ข้างโรงแรมดังกลางเมือง เจ้าก้องกับไอ้ชัยนั่งอยู่ในรถเก๋งญี่ปุ่นรออยู่ในมุมมืดของตรอกแห่งนั้น ไอ้ชัยมือขวาเสี่ยใหญ่นั่งนิ่งแต่สายตาเหลือบมองรอบข้างอย่างระวังระไวตรง ข้ามกับเจ้าก้องที่นั่งหันซ้ายหันขวาอย่างหงุดหงิด
“เมื่อไหร่จะมาวะ จะได้ไปต่อเสียที่ แล้วรถนี่ก็แคบชิบ นั่งไม่สบายเลย ชัยไม่หารถดี ๆ หน่อย ขอเตี่ยให้เอามั๊ย”
“ใจเย็น ๆ ครับคุณก้อง เดี๋ยวก็มา แล้วรถคันนี้ก็ดีแล้วครับ มาจอดซุ่มอย่างนี้ไม่มีใครสงสัย แล้วก็กลืนไปกับรถทั่วไปด้วย ขืนเอารถคุณก้องมาจะเป็นเป้าสายตานะครับ” เจ้าชัยบอกเรียบ ๆ มองกระจกหลังเมื่อมีแสงไฟหน้ารถสาดเข้ามา มันจับตาที่รถคันนั้นจนมันผ่านเลยไป “รถจะมาทำงานมันต้องแบบนี้แหละครับ”
“แล้วมีอะไรมันจะวิ่งไหวเร้อ ชัย รถญี่ปุ่นเนี่ย”
“คุณก้องอย่าดูแต่ข้างนอกครับ” ไอ้ชัยบอกเบา ๆ “คันนี้ผมใส่เครื่องสองพันสอง ติดเทอร์โบต่างหาก โมไว้เพียบครับ รับรอง ฟัดเบ๊นซ์สบาย ๆ ครับ ผมมีอีกคันแบบนี้เลย เอาไปสอยเด็กสก๊อยมาเยอะแล้ว”
“เหรอ แหมแล้วไม่บอก ว่าง ๆ พาผมไปมั่งซิ”
“เดี๋ยวไปกันเลยครับ” เจ้าชัยจับตามองไฟรถคันที่แล่นสวนมา พอมันเข้าใกล้ก็ชะลอลงเหมือนจะเข้าเทียบ เจ้าชัยขยับยกปืนในมือขึ้นวางบนตัก “ระวังนะครับ ถ้าเป็นตำรวจก็ยิงแม่งเลย”
เจ้าก้องถึงกับมือที่กำปืนพกออโตเมติกอยู่ชื้น ๆ เย็น ๆ ขึ้นมาทันที เท้าคีบเอากระเป๋าเป้ใบเขื่องไว้แน่น เจ้ารถคันนั้นทั้งเป็นสีดำและติดฟีล์มดำมืดแล่นเข้ามาจอดเทียบข้าง กระจกด้านคนขับลดลง เจ้าชัยก็ลดกระจกตาม ในรถคันนั้นมีคนนั่งอยู่ภายในสองสามคน เจ้าก้องเห็นแต่หน้าอ้วนอูมของคนขับยามที่โผล่ออกมาพูดกับเจ้าชัยเบา ๆ แล้วมันก็ยื่นห่อของส่งให้เจ้าชัยที่รับมาแกะห่อแง้มดูก่อนหันมาบอกให้เจ้า ก้องหยิบเป้ส่งให้ ครู่ถัดมารถสองคันก็ออกตัวแยกกันไปคนละทางแล้วหายไปในความมืด
“แค่นี้เหรอชัย” เจ้าก้องถามขึ้นมาในความเงียบ
“ก็ครับ แค่นี้แหละ”
“แน่ใจเหรอว่าเงินครบ”
“ถ้าไม่ครบมันก็ต้องตามเชือดกันครับ” เจ้าชัยตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ “เดี๋ยวผมพาไปสอยเด็กดีกว่านะครับ หรือว่าคุณก้องอยากลองอย่างอื่น”
“อย่างไหนล่ะชัย”
“ได้ทุกอย่างครับ เสียเงิน เสียแรง หรือเอาแบบฟรี ๆ”
“ยังไงชัย ไอ้ที่ว่าน่ะ ไม่เข้าใจ”
“เสียเงินก็อีตัวไงครับ ซื้อเอา เสียแรงก็ไปแข่งกะไอ้พวกเด็กแว้นนั่นแล้วสอยเด็กมัน ถ้าจะเอาแบบฟรี ๆ ก็อุ้มครับ เจอเหมาะ ๆ ก็อุ้มไปเลย”
“น่าสนใจนะชัย” เจ้าก้องนั่งยิ้มกริ่ม “ยังงี้ชั้นว่า พรุ่งนี้ชั้นน่าจะไปกับชัยด้วยดีกว่า” เจ้าก้องบอกด้วยเสียงครุ่นคิด
“ครับคุณก้อง เสี่ยท่านคงไม่ว่าหรอกครับ เดี๋ยวเรื่องส่งของให้ลูกน้องผมทำได้ครับ”
“ชัยไปกี่วันล่ะเนี่ย”
“กว่าจะกลับก็คงสักอาทิตย์หนึ่งแหละครับ”
“เบื่อตายโหง ไปอยู่ในป่าตั้งอาทิตย์” เจ้าก้องเอนพิงเก้าอี้เบะปาก
“งั้นก็ คุณก้องเอาความสุขไปด้วยซีครับ จะได้ไม่เบื่อ” เจ้าชัยตอบปนยิ้มเจ้าเล่ห์
“ยังไงหือชัย” เจ้าก้องกลับกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็สอยเด็กเข้าสักคนแล้วหิ้วไปด้วยเป็นของเล่นของคุณก้องไงครับ” เจ้าชัยหัวเราะเบา ๆ
“น่าสนนะชัย เอ จะไปพรุ่งนี้แล้วจะหาได้เหรอ”
“สบายครับ เอาง่าย ๆ เดี๋ยวก็เวียนไปแถว ๆ พวกติดยาก็ได้ครับ เอายาไปล่อสักสองสามเม็ดก็เสร็จ”
“เอาเลยชัย งั้นไปเลย คืนนี้ลองงานแล้วเอาตัวไว้ก่อน ฮ่า ฮ่า”
“เอายาให้กินเม็ดเดียวก็ไปไหนไม่รอดแล้วครับ” เจ้าชัยว่าแล้วเลี้ยวรถไปทางจุดหมายที่อยู่ในหัว ครึ่งชั่วโมงถัดมาในรถก็มีเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเพิ่มมาอีกสองคน ทั้งสองคนท่าทางอายุอานามไม่เกินสิบแปดแต่งตัวด้วยเสื้อสายเดี่ยวตัวคับติ้ว อวดโนมเนื้อที่ล้อนออกมาเป็นลูก ๆ เบื้องล่างเป็นกางเกงขาสั้นกุดอวดเรียวขาขาวผ่อง เป้ากางเกงรัดขึ้นมาจนเห็นเป็นก้อนสามเหลี่ยมนูน
“พี่ ๆ อย่าลืมสัญญานะคะ” หนึ่งนางฉอเลาะทวงสัญญา
“อ๋อแน่นอน” เจ้าชัยพูดพลางหันไปมองเจ้าก้องที่นั่งเบี่ยงตัวหันไปมองสองสาว มันสอดมือลงไปที่ช่องเก็บของด้านข้างค้นอะไรครูหนึ่งแล้วหยิบกระดาษห่อเล็ก ๆ ขึ้นมาส่งข้ามไหล่ไปให้สองสาวที่รับไปแกะดู ข้างในเป็นเม็ดยาสีชมพูขนาดประมาณวิตามินซี บนเม็ดยาปั๊มตัวอักษรภาษาอังกฤษไว้สองตัว สองสาวยกเม็ดยาขึ้นส่องกับแสงไฟ
“โห พี่ให้หนูหมดเหรอ” หนึ่งสาวเทยาสิบกว่าเม็ดออกจากห่อกระดาษมาอยู่ในกำมือ “ตั้งสิบเม็ดแน่ะ”
“ใช่ซิ แต่หนูต้องไปอยู่กับพี่สองคนทั้งคืนนะ” เจ้าชัยพูดข้ามไหล่ไป
“ได้เลยพี่ หนูจะร่อนให้พี่ลืมไม่ลงไปเลย จริงป่ะต่าย” หนึ่งสาวหันไปพูดกับเพื่อนที่โน้มตัวมาดูเม็ดยา
“ใช่จ๊ะ อยากให้หนูดูดด้วยมั๊ยล่ะ” สาวน้อยถามอย่างไม่กระดากปาก
“อืมม เดี๋ยวค่อยว่ากันนะ ให้ถึงที่ก่อน” เจ้าชัยบอกเรียบ ๆ พลางบังคับรถเลี้ยวไปตามซอกซอยของเมืองเชียงใหม่ก่อนจะเลี้ยวอีกครั้ง รถเก๋งคันนั้นก็มั่งออกนอกเมืองหายลับไป
ชาติชายกดปุ่มเปิดมือถือแล้วกดปุ่มโทรด่วน หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบเข้าที่แล้วนั่งเช็ดทำความสะอาดส่วนประกอบของอาวุธคู่ ใจอันเป็นสิ่งที่เขาทำอยู่เป็นประจำทั้งก่อนและหลังใช้งาน
“สวัสดีครับแม่ แม่สบายดีหรือเปล่าครับ”
“สบายดีจ๊ะ ชายล่ะลูก”
“ก็เมื่อสามสี่วันก่อนไม่สบายนิดหน่อยครับ ตอนนี้หายแล้ว” ชาติชายคุยเรื่อย ๆ ขณะที่มือก็เช็ดชิ้นส่วนต่าง ๆ อย่างประนีต
“นี่แม่มาทำบุญกับงานเลี้ยงรุ่นพ่อเราที่เชียงใหม่” ชาติชายหูผึ่ง
“เหรอครับ สนุกมั๊ยครับแม่”
“ก็สนุก” ชาติชายเริ่มขมวดคิ้ว เขาอยู่กับแม่มานานจนจับได้ว่าในน้ำเสียงนั้นมีบางเรื่องซ่อนเร้นอยู่ “แม่เจอคุณการุณย์ เพื่อนพ่อชายด้วย”
“เหรอครับ คุณอาสบายดีหรือเปล่าครับแม่” ชาติชายทำเป็นไม่รู้เรื่องทั้ง ๆ ที่สัญชาตญาณบอกว่าใกล้จะถึงเรื่องที่เขารู้สึกว่ามันซ่อนเร้นอยู่แล้ว
“คุณการุณย์บอกว่า เขาเอาชายมาทำงานด้วยนี่ ชายจะถามแม่ทำไม” ชาติชายเป่าปากเบา ๆ พยายามไม่ให้เสียงลมลอดเข้าไปในหูฟัง “แม่รู้ด้วยว่าที่เราว่าไม่สบายนิดหน่อยนั่นน่ะ เป็นมาลาเรีย ใจคอจะไม่บอกแม่เลยรึ”
“ก็ชายหายแล้วครับแม่ บอกแม่แล้วแม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้นี่ครับ”
“แม่ก็เป็นแม่ จะรู้หรือไม่รู้ แม่ก็ห่วงชายเท่าเดิม หรือจะมากกว่าเดิมด้วย ถ้าแม่รู้ว่าชายปิดแม่”
“ชายก็แค่ไม่อยากให้แม่กังวลนี่ครับ แม่ก็รู้ว่าชายทำงาน”
“สรุปว่าผู้ชายในชีวิตแม่นี่ ปล่อยให้แม่ต้องนั่งหวั่นใจไปตลอดชีวิตด้วยหรือ” เสียงเริ่มจะสั่นเครือ “ไม่ว่าใคร ทุกคนเลย”
“แม่ครับ พ่อเสียในหน้าที่นะครับ แม่ก็บอกชายว่าแม่ภูมิใจมันมากกว่าความเสียใจไงครับ”
“ใช่ แล้วอีกกี่คนกี่ครั้งล่ะลูกที่แม่ต้องนั่งทุกข์ใจอยู่อย่างนี้” ชาติชายเริ่มสังเกตน้ำเสียงและคำพูดของมารดา “ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตแม่จะต้องอยู่กับความเสี่ยงหมดเลยหรือ ไม่ว่าพ่อชาย ตัวชาย หรือ...”
“ใครเหรอครับแม่” ชาติชายถามเมื่อเสียงแม่ขาดหายไป หัวเริ่มทบทวนเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาและบทสนทนาที่เพิ่งเริ่มจนถึงขณะนั้นว่ามีรายละเอียดอะไรที่เขา ละเลยไปบ้าง
“ไม่... ไม่มีใครหรอก” เสียงแม่ขาดเป็นห้วง ๆ ทันใดนั้นสิ่งหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาแล้วแม่เริ่มกลับเข้าไปร่วมงานต่าง ๆ ของรุ่นพ่อเขามากขึ้น ถึงจะไม่ทุกครั้ง แต่ก็มากขึ้นโดยคนที่เข้ามาชักชวนก็คือพันเอกการุณย์ บ้านเขาก็มีเพื่อนของบิดาผู้นี้ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงแรก ๆ ก็จะมีภรรยาผู้อ่อนหวานมาด้วย แต่หลังจากที่ภรรยาจากไป เขาก็ยังแวะเวียนมาเป็นประจำ ภารกิจของเขาครั้งนี้แม้นว่าผู้บังคับบัญชาจะเป็นคนที่ส่งรายชื่อมาและการ ทดสอบการใช้อาวุธเขาจะเป็นผู้ที่ยิงอยู่ในกลุ่มแม่นยำที่สุดก็จริง แต่ก็เป็นพันเอกการุณย์ที่คัดเลือกคนด้วยตนเอง
“อาการุณย์หรือครับแม่”
“อะไรนะ”
“แม่ชอบอาการุณย์เหรอครับ” ชาติชายถามแล้วรอฟังคำตอบ หัวใจเขาเต้นด้วยความตื่นเต้น
“แม่ไม่ได้ตั้งใจนะชาย” เสียงแม่ถึงจะเบา ๆ แต่มันก็ดังจนชัดเจนอยู่ในโสตประสาท “แม่เสียใจ”
“แม่ครับ แม่ไม่ต้องเสียใจหรอกครับ อาการุณย์ดีออกจะตายแล้วก็สนิทกับบ้านเราอยู่แล้วนี่ครับ แม่จะคิดอะไรมาก”
“แต่ว่า...” เสียงจากอีกทางหนึ่งฟังเหมือนเสียงสะอื้น “เขาเอาลูกแม่มาเสี่ยงตายนี่นะ แม่จะรักเขาได้ยังไง”
ชาติชายถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แม่ครับ แม่ฟังชายนะครับแม่ ชายรักแม่นะครับ ชายก็รักพ่อด้วย แต่ถึงวันนี้ ชายกับแม่มีมีอะไรที่ค้างคาใจกันอยู่นะครับ แม่เลี้ยงชายมาอย่างดีเยี่ยมเลยจนชายโตมาจนถึงวันนี้ ชายภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อแม่มาเสมอ” ชาติชายหยุดกลืนน้ำลายขณะที่แม่เขาเงียบไป “ชายออกมาทำงานมันก็เสี่ยงเป็นของธรรมดาของงานน่ะแม่ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ชายเลือกเป็นเลือกทำด้วย ชายว่ามันถึงเวลาที่แม่ควรจะได้รับสิ่งที่ดีงามเข้ามาในชีวิตแม่บ้างแล้ว ครับ ชายเป็นลูกแม่และชายก็จะเป็นลูกแม่ไปเสมอ ถ้าแม่อยากมีใครมาเติมส่วนที่ขาดหายไป ชายยินดีที่แม่จะได้มีความสุข และโดยเฉพาะถ้าคนที่จะมาช่วยให้แม่มีความสุขเป็นอาการุณย์ ชายก็ดีใจกับทั้งแม่และอาการุณย์ด้วยใจจริงนะครับแม่ ... แม่ฟังชายอยู่หรือเปล่าครับ”
“ฟังจ๊ะ” เสียงอีกข้างหนึ่งเจือสะอื้น
“แม่ร้องไห้เหรอครับ แม่อย่าขี้แยซีครับ และชายแนะแม่อย่างหนึ่ง อย่าปล่อยให้อาการุณย์หลุดมือไปนะครับ” ชาติชายย้ำเตือนด้วยสำเนียงจริงใจ “ถ้าจะมีใครมาอยู่ข้าง ๆ แม่ ชายจะยินดีที่สุดถ้าเป็นอาการุณย์”
“จ๊ะ ขอบใจนะลูก แต่คุณการุณย์เขาไปแล้วล่ะ”
“เหรอครับ เขามาส่งแม่แล้วก็กลับไปเหรอครับ”
“เขามาส่งแม่ แล้วก็คุยกัน พอเขาเล่าเรื่องชายแม่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาคง นึกว่าแม่โกรธ เลย กลับไปแล้ว”
“โธ่แม่ครับ ชายโตแล้วนะแม่ ไม่ต้องให้แม่ไปรับส่งหน้าโรงเรียนแล้วนะครับ” เสียงมารดาเริ่มสดใสและหัวเราะไปกับคำพูดที่เขาใช้เสมอ ๆ ตั้งแต่เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร นั่นก็ตั้งแต่ที่แม่หยุดไปรับส่งเขาที่โรงเรียน “แม่โทรไปเคลียร์เลยนะครับแม่ โทรไปเดี๋ยวนี้เลยนะครับ นะครับ”
“แล้วแม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” เสียงตอบมาแล้วหยุด “แล้วแม่ก็ไม่มีเบอร์คุณการุณย์ด้วย”
“อ้าว แม่ไม่ได้เม็มไว้เหรอครับแม่”
“แม่จดไว้ที่บ้าน”
“ไม่เป็นไรครับ วันหลังก็ได้ครับ งั้นแม่ทำใจให้สบาย ๆ ดีกว่านะครับ ไม่ต้องห่วงชายหรอกครับ ชายอยากให้แม่คิดถึงตัวเองให้มากขึ้น นะครับแม่”
“แต่ว่าชายลูก...”
“ไม่มีแต่ครับ แม่เคยบอกชายว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ชายจะบอกแม่บ้างว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับ ตกลงนะแม่ครับ”
“จ๊ะ ได้จ๊ะ”
ชาติชายกดตัดการติดต่อ เขานั่งนึกถึงแม่ตนเองและพันเอกการุณย์แล้วก็ยิ้ม แล้วกดหมายเลขถัดไป
เสียงเคาะประตูดังขึ้นถี่ ๆ กานดาที่กำลังนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหัวค่ำและบทสนทนาระหว่าง เธอกับลูกชายคนเดียวสะดุ้งด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีคนมาเคาะประตูยามดึก คิ้วเรียวขมวดด้วยความสนเท่ห์แล้วเดินไปส่องช่องตาแมวที่ประตู คนที่เห็นผ่านช่องตาแมวนั้นทำให้เธอหัวใจระทึกขึ้นพลันและร้อนผ่าวไปทั้งใบ หน้า ชายผู้นั้นเคาะประตูอีกครั้งแล้วยืนรออยู่อย่างกระวนกระวาย กานดาละสายตาออกจากช่องตาแมวก้มหน้าเม้มปากครุ่นคิด เสียงเคาะประตูรัว ๆ อีกครั้งทำให้เธอเอื้อมมือไปเปิดมันกว้างออก พันเอกการุณย์ยืนอยุ่หน้าประตูสีหน้าปนแววห่วงใยและกังวล
“คุณกานดาเป็นอะไรหรือครับ” น้ำเสียงที่กระทบโสตนั้นเจือปนด้วยความห่วงใยอย่างชัดแจ้ง
“ไม่เป็นอะไรนี่คะ ดิฉันสบายดี เข้ามาก่อนซีคะ” กานดาถอยให้เขาก้าวเข้าห้อง
“ก็ชาติชายโทรบอกให้ผมมาดูคุณกานดา เขาบอกว่า....” การุณย์สบตาคู่งามเริ่มปะติดปะต่อเรื่องเข้าด้วยกัน “ด่วนมาก..”
“ลูกชายดิฉัน โทรไปบอกอย่างนั้นหรือคะ” เธอเองก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าที่การุณย์มาเคาะประตูยามนี้เป็นฝีมือของลูกชายนั่นเอง
“ครับ บอกว่าด่วนมาก แม่ไม่สบาย ผมยังเห็นคุณกานดา... นี่คุยกันแล้วเหรอครับ” การุณย์เริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
“ค่ะ คุยกันไปเมื่อสักพักนี่เอง” เธอบอกแล้วก้มหน้าลง ใจพลันหายวาบตกใจที่ตนเองหลงลืมว่าขณะที่เดินไปดูนั้นเธอเพียงสวมชุดนอนบาง เบาที่ถึงแม้จะมีซับในแต่มันก็ไม่ได้ช่วยปิดบังทรวดทรงของร่างกายมากนัก ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อนึกว่าการุณย์ได้เห็นอะไรไปบ้าง เธอยกแขนขึ้นกอดอกหน้าแดงซ่าน ฝ่ายการุณย์เองเมื่อมองตามอากัปกิริยาของเธอก็พลันใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นเฉก เช่นกัน
“เอ่อ..ขออภัยนะครับ” การุณย์หันไปดันบานประตูให้ปิดไม่ให้คนที่อาจผ่านไปมามองเข้ามาเห็นด้านใน “ชาติชายโทรมาแล้วหรือครับ เอ ไม่เห็นเขาบอกผมเลย จริงซี ถ้ามันไม่โทรมาแล้วจะบอกได้ไงว่าคุณกานดาไม่สบาย ไอ้ผมก็มัวแต่ห่วง ไม่ทันจะคิด”
“เหรอคะ” เธอยิ้มพราย
“แล้วนายชาติชายว่าอะไรบ้างครับ” การุณย์เอ่ยถาม
“แน้ เรื่องของแม่ลูกค่ะ” เธอยังยิ้ม แต่การุณย์หน้าแดงขึ้นมาอีก
“โอ๊ะ จริงซีครับ ขออภัยครับ ผมแค่..”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เขาก็แค่บอกว่า ยินดีกับดิฉัน” กานดาเบี่ยงตัวเพราะนึกขึ้นได้อีกว่านอกจากท่อนบนแล้ว ไอ้ชุดนอนที่เธอสวมอยู่มันก็คงปิดอะไรเบื้องล่างได้ไม่กี่มากน้อย
“อ้อ..ครับ” การุณย์งุนงง “อะไรหรือครับ งง”
กานดาไม่ตอบแต่เดินไปหยิบโทรศัพท์ของตนมากดปุ่มแล้วส่งให้การุณย์ที่รับมาแนบหูอย่างงุนงง
“โหล แม่เหรอครับ อาการุณย์มาหรือยังครับแม่” การุณย์จำเสียงได้ทันที และแล้วก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง
“มาแล้ว อากำลังพูด” การุณย์พูดเสียงเรียบ ๆ
“เฮ้ย คุณอา สวัสดีครับ เอ่อ คุณอามาอยู่กับแม่ได้ไง” ปลายสายมั่วส่ง ทำไก๋พยายามเอาตัวรอดไปน้ำขุ่น ๆ
“ก็แกโทรบอกให้อามา ไม่ใช่รึ” การุณย์ฉวยโอกาสที่ชาติชายอึ้งเงียบไปชั่วขณะ ลดเครื่องโทรศัพท์ลงมาจากหู กดปุ่มลำโพงบนเครื่องอย่างรวดเร็วแล้ววางมันลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา
“อ้าว จริงซีครับ เอ่อ แม่เป็นไงบ้างครับอา”
“ไม่ต้องมาไก๋ วางแผนเรอะ นี่จะให้อาเสียผู้ใหญ่เรอะ”
“เปล่านี่ครับ เห็นแค่ผู้ใหญ่สองคนยักท่า เชิงเยอะกันเหลือเกิน” เสียงชาติชายแจ่มใส “เลยสงเคราะห์เสียหน่อย”
“ชะ ไอ้นี่ เห็นว่ามันเป็นเรื่องสนุกรึไง”
“เปล่าครับ แต่อาครับ ผมดู ๆ แล้ว ทั้งอาทั้งแม่ก็ใจตรงกันอยู่แล้ว ผมไม่เห็นจะเสียหายอะไร ทั้งอาทั้งแม่ก็จะได้มีเพื่อน ไม่ต้องเหงา แล้วก็ดูแลกันได้ หรือว่าอาไม่ได้ชอบแม่” สิ้นเสียงนั้น สองคนเงยหน้าขึ้นมาสบตากันพอดี ถึงกับหน้าแดงกันทั้งคู่
“ไอ้นี่ ยอกย้อนตั้งแต่เด็กยันโตเลย”
“ถ้างั้น จะมาวางฟอร์มกันทำไมครับ อาบอกรักแม่ไปเลย จะได้รู้แล้วรู้รอดกันไปเสียที ผมลุ้นมาสองสามปีแล้ว”
“ตาชาย” เสียงกานดาดังขึ้น แต่มันเจือแววตกใจระคนขบขันคำของลูกชายเสียมากกว่าจะโกรธเคือง ถึงกระนั้นแก้มผุดผ่องก็แดงซ่านขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง “เหลือเกินนะเรา”
“อ้าว แม่” ชาติชายร้องลั่น “เปิดลำโพงเลยเหรอครับเนี่ย”
“เออซีวะ” การุณย์พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม มองกานดาที่ยกมือปิดปากหน้าแดง “มันจะได้รู้พร้อมกันไปเลย”
“โห งั้น แม่ครับ อาครับ ผมขออวยพรในชีวิตคู่ของแม่กับอานะครับ จะจัดงานแต่งก็รอให้ผมเสร็จงานก่อนนะครับ สวัสดีครับ บ๊าย บาย” พูดจบชาติชายก็กดตัดสัญญาณ การุณย์กดปุ่มโทรซ้ำเลขหมายเดิม ปรากฏว่าชาติชายปิดเครื่องไปแล้ว
“เอาไงคะเนี่ย” กานดาถาม
“เอาไว้พรุ่งนี้ครับ เช้า ๆ ผมจะไปเฉ่งเจ้าหลานตัวดีเสียหน่อย แล้วสาย ๆ ผมจะมารับคุณกานดาไปไหว้พระ คืนนี้นอนหลับฝันดีนะครับ” การุณย์พูดด้วยสีหน้าเบิกบาน “ผมขอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะกลายเป็นคนฉวยโอกาส” การุณย์ลุกขึ้นยืนหน้าตาแจ่มใส
“ขอบคุณค่ะ” กานดาลุกตามเดินเข้ามาหอมแก้มสาก ๆ แล้วสวมกอดการุณย์ การุณย์กระชับกอดเบา ๆ แล้วเดินไปที่ประตูห้อง “คุณการุณย์คะ ถ้าดิฉันจะขอให้คุณอยู่ต่อ”
“ผมยินดีอย่างยิ่งครับ แต่หวังว่าคุณกานดาจะไม่ขออย่างนั้น” การุณย์หันมาประจันหน้ากานดา “ผมรอวันนี้มาสามปีกว่าแล้ว อย่างที่เจ้าชายว่า ผมก็ควรจะรอได้อีกสักหน่อย เพื่อให้คุณกานดาแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ค่ะ ขอบคุณ งั้นขั้นแรก เลิกเรียกดิฉันเต็ม ๆ เรียกดา ก็พอนะคะ” กานดาบอกเมื่อร่างสูงนั้นเปิดประตูออกไปยืนข้างนอก
“ทันทีที่คุณกานดาเลิกเรียกตัวเองว่าดิฉัน แล้วเรียกผมแบบที่บรรพตเรียกครับ” การุณย์พูดยิ้ม ๆ
“จะให้ดาเรียกคุณว่า ไอ้ต้น เหรอคะ แบบที่คุณบรรพตเรียก ไม่ไหวกระมังคะ” นัยน์ตาคู่งามไหวแววระยิบ
“สุดแต่คุณดาจะเรียกครับผม” การุณย์ทำท่าก้มศีรษะล้อเลียน “ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ คุณต้น” กานดายืนยิ้มขณะที่การุณย์ดึงประตูปิดจนสนิทเสียงดาลประตูลั่นกริ๊ก การุณย์ยืนยิ้มอยู่คนเดียวอีกอึดใจหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ส่วนกานดาเองพอสิ้นเสียงดาลประตูก็หันหลังพิงบานประตูยกมือขึ้นทาบอกสัมผัส หัวใจตนเองที่เต้นโครมครามดังสาวน้อยเริ่มมีความรักแล้วหมุนตัวมองลอดช่องตา แมวไปที่การุณย์ที่ยืนยิ้มข้างนอกจนเขาเดินหายไปจากช่องมอง เธอจึงกลับตัวเดินกลับไปที่เตียงนอน ดับไปจนเหลือเพียงแสงสลัวแล้วซุกตัวเข้าในผ้าห่ม หลับตาลงด้วยความอิ่มเอมเปรมใจ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น