ขายของ

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

With No Remorse Chapter 8

With No Remorse Chapter 8 ร่างชายสามคนที่แบกของก้าวเดินอ้าว ๆ มาตามราวป่า ใบหน้าทั้งสามเหลียวมองไปรอบด้านขณะที่มือกระชับอาวุธสงคราม ในมืออย่างระวังระไว นอกจากเสียงรองเท้าผ้าใบที่เหยียบย่ำเศษใบไม่กิ่งไม่กรอบแกรบแล้ว ทั้งสามไม่ได้ส่งเสียงอะไร กันอีก คงสืบเท้าย่างเดินไปอย่างเป็นจังหวะ แดดยามสายสาดลอดกิ่งไม้ลงมาเป็นหย่อม ๆ ขณะที่บรรดาแมลงพากัน เงียบลงเมื่อทั้งสามคนเข้ามาใกล้แล้วค่อย ๆ เปล่งเสียงขึ้นเมื่อฝีเท้าทั้งสามคู่ผ่านพ้นไป ชายสามคนเดินดุ่ม ๆ ไปตาม ทางเดินดินที่ทอดตัวไปในป่า สองข้างทางคงเป็นละเมาะป่าสูงต่ำที่บางคราวก็บดบังสายตาทั้งจากที่เขาเดินอยู่แหละสายตา ที่มองจากด้านอื่น ในจังหวะที่ทั้งสามคนเดินออกไปยังหย่อมป่าโล่งแห่งหนึ่งนั้น “หยุด นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ วางอาวุธ” เสียงตะโกนจากราวป่าด้านหนึ่งทำเอาทั้งสามชะงักเท้าพุ่งตัวลงกับพื้นพร้อมกับ งัดปากกระบอกอาวุธร้ายลั่นไปสาดไปในทิศทางของเสียงสั่ง ป่าที่เงียบสงบพลันแตกอึงด้วยเสียงแผดของอาวุธปืนและเสียงร้องสั่งกัน ด้านหนึ่งที่เป็นที่มาของเสียงตะโกนนั้น เสียงปืน แผดเป็นจังหวะ ๆ สลับกับเสียงร้องสั่งการ ชายสามคนนั้นตะเกียกตะกายเข้าหาที่กำบังข้างเคียงพลางสาดกระสุนเข้า ใส่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่ยั้งมือ เมื่อกระสุนหมดซองมันก็ล้วงซองกระสุนเต็มปรี่อันใหม่เสียบเข้าไปแล้วลั่นไกส่งกระสุน ทรงอานุภาพเข้าใส่เจ้าหน้าที่ต่อ เสียงปืนแผดก้องป่าปะปนไปกับเสียงที่หัวกระสุนแหวกอากาศ เสียงกิ่งไม้ที่โดนกระสุน จนหักขาด อาณาบริเวณโดยรอบบัดนี้นอกจากสับสนไปด้วยเสียงต่าง ๆ กลุ่มควันจากปากกระบอกเริ่มลอยขึ้นเป็นสีเทา จาง ๆ เศษดินที่หัวกระสุนพุ่งเข้ากระทบขุดมันฟุ้งกระจายขึ้นมาเป็นละอองแดง เศษใบไม้และกิ่งไม้ที่โดนคมกระสุน ปลิวว่อน “หมู่สอง ยิงกดไว้” เสียงนายร้อยตำรวจเอกหนุ่มร่างสันทัดร้องสั่งลูกน้องที่นอนอยู่ทางขวาของตน “เล็งดี ๆ” ตำรวจอีกสามคนที่นอนเรียงอยู่ประทับอาวุธเล็งยิงไปยังตำบลที่ชายทั้งสามคนหมอบและสาดกระสุนตอบโต้มา ไม่ขาดสาย นายตำรวจคว้าชุดปากพูดหูฟังของวิทยุสื่อสารมีแนบหู “พี่ใหญ่ ๆ จาก สิงห์น้อย มีปะทะ เดี๋ยวนี้” วิทยุส่งเสียงแกรกกรากชั่วขณะ “สิงห์น้อย จากพี่ใหญ่ ทราบ กำลังไป 15 นาที” เสียงที่ดังตอบออกมาทำให้ผู้กองหนุ่มคลายกังวลเมื่อรู้ว่า ชุดปฏิบัติการพิเศษของกองทัพบกที่นัดแนะกันไว้กำลังบ่ายหน้าเข้าสมทบเป็นกำลังหนุนให้ฝ่ายตน “สิงห์น้อยทราบ” นายร้อยหนุ่มวางชุดปากพูดหูฟังลง ผงกหัวขึ้นมองไปรอบ ๆ พลันศีรษะก็สะบัดวูบเมื่อคมกระสุนปาด ผ่านขมับด้านหนึ่งถากจนหนังเปิดออก เลือดสาดกระเซ็น ร่างสันทัดล้มโครมลงไปด้านข้างแน่นิ่ง นายดาบตำรวจ ที่หมอบอยู่เคียงข้างหันมามองด้วยความตกใจที่เห็นหัวหน้าชุดล้มลง แต่ก็ต้องรีบพลิกตัวเมื่อมีเสียงปืนแผดสนั่น ออกจากราวป่าด้านซ้ายมือ ในสายตามองเห็นเพื่อนตำรวจคนหนึ่งที่นอนประทับปืนไปทางชายสามคนนั้นโดนคมกระสุน เข้าเต็มสีข้างจนร่างนั้นสะดุ้งฟุบลงกับพื้น “เฮ้ย ระวังซ้าย กระจายกำลังรับซ้าย ไอ้น้อย ซ้าย ๆ” ตำรวจนายนั้นร้องตะโกนบอกเพื่อนที่หมอบอยู่ทางซ้าย ตำรวจ สองสามนายที่อยู่บริเวณนั้นพลิกตัวหันกลับไปยิงตอบโต้ บัดนั้นตำรวจทั้งกลุ่มกลับกลายเป็นโดนกระหนาบด้วยทรชน สองกลุ่มที่สาดกระสุนเข้าใส่ไม่ยั้งมือ ในสายตาของนายดาบเห็นตำรวจอีกนายหนึ่งโดนกระสุนสงครามเข้าเต็มหน้า หัวกระสุนฉีกแก้มตำรวจผู้นั้นออกจากกันราวกับเศษเนื้อ เขาตะปบชุดปากพูดหูฟังขึ้นมาอย่างเร่งร้อน “พี่ใหญ่ สิงห์น้อยโดนล้อม หมวดโดนยิง คาดว่าตายสอง บาดเจ็บสอง” สายตาของตำรวจที่คร่ำงานกวาดไปรอบ ๆ พลางกรอกเสียงลงในวิทยุ ดวงตาแดงก่ำเมื่อเห็นเพื่อนตำรวจอีกคนหนึ่งโดนกระสุนเข้าเต็มไหล่ “ทราบ ยันไว้ก่อน ไปเดี๋ยวนี้” พลวิทยุกรอกเสียงเก็บชุดปากพูดหูฟังเกี่ยวเข้ากับช่องเสียบที่สายรัดทึบบนไหล่กระชับปืน ในมือพร้อมกับเสียงสั่งที่ดังก้อง “สิงห์น้อยโดนรุม ไป วิ่ง” สิ้นเสียงสั่งของนายร้อยเอกแห่งกองทัพบก บรรดาทหารสิบกว่าคนที่นั่งชันเข่ารอฟังคำสั่งต่าง ลุกขึ้นอย่างไม่ต้องรอให้สั่งซ้ำสอง ยามที่เพื่อนักรบประสบภัยทหารไทยไม่เคยหวั่น ทั้งสิบกว่าคนออกวิ่งตะบึงไปยัง ทิศทางแห่งเสียงปืนที่ดังระงม กระจายแยกกันออกเป็นกลุ่มย่อยอย่างเป็นระบบด้วยการฝึกร่วมกันมาอย่างที่ว่า มองตา ก็รู้ใจ สายตาแข็งกร้าวเพ่งมองเขม็ง สองมือกระชับอาวุธเอ็มสี่ที่มีต้นแบบจากปืนเอ็มสิบหกแต่กะทัดรัดกว่ามาก สองเท้า ห้อตะบึงก้าวข้ามโขดดินพุ่มไม้ ส่ายตัวและศีรษะหลบบรรดากิ่งไม้ที่ยื่นย้อยขวางทาง ส่วนหัวใจนั้นร้อนรุ่มไปด้วย ความห่วงใยเพื่อนร่วมชาติที่พลาดท่าไปตกอยู่ในวงล้อมของขบวนการค้ายาเสพติด บัดนี้การเคลื่อนตัวของชุดรบพิเศษ ไม่ใช่การเข้าไปสนับสนุนเหล่าตำรวจแต่เป็นการเร่งเข้าไปแก้ไขสถานการณ์อันคับขันอย่างยิ่งของเหล่า ตำรวจตะเวนชายแดนหน่วยนั้น นักรบทั้งหลายห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็วดุจม้าศึกที่กระโจนทะยานผ่านราวป่าเข้าสู่สมรภูมิ ด้วยความฮึกเหิม ผ่านสุมทุมไม้พุ่มแล้วพุ่มเล่าพร้อมกับเสียงการต่อสู้ที่ขยับเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ เบื้องหน้าราวป่าโปร่ง ปรากฏขึ้นจนสว่าง ร้อยเอกหนุ่มทบทวนความที่นัดแนะกับนายตำรวจและประมาณตำแหน่งต่าง ๆ ตามเสียงปืนที่ได้ยิน แล้วใช้มือข้างหนึ่งชี้บอกสัญญาณ “ทางซ้าย ลุย เอามัน” ร้อยเอกหนุ่มกระโจนออกจากราวป่าปานเสือร้ายที่พุ่งออกจากที่ซ่อนพร้อมกับลูกน้องคู่ใจที่ ห้อตะบึงออกมาติด ๆ อาวุธในมือประทับเล็งในทิศทางที่ประมาณไว้ ตรงหน้าเป็นกลุ่มคนหลากชุดที่กำลังกลุ้มรุมสาดยิง ใส่กลุ่มตำรวจในชุดสนามสีเขียวที่หมอบอยู่อีกด้านหนึ่ง มือก็เหนี่ยวไกปืนส่งกระสุนออกไปหนึ่งคู่ส่งตัวเจ้าวายร้ายนั้น หมุนออกจากโคนไม้ที่ใช้เป็นที่กำบังล้มหายไปจากสายตา และแล้วอาวุธในมือกลุ่มนักรบพิเศษก็เริ่มปลดปล่อย กระสุนพิฆาตระงมป่า บรรดาวายร้ายผงะด้วยความตื่นตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกนักรบโจนใส่ด้วยความห้าวหาญพร้อมกับเสียงกู่ตะโกนก้องป่าข่มมัน จนขวัญหนี สามสี่คนในกลุ่มของมันที่กำลังล้อมยิงตำรวจอย่างเมามันกระเด็นกระดอนไปด้วยปืนในมือของนักรบสิบกว่าคน ที่พุ่งผ่านราวป่าออกมาดังพญาคชสารพร้อมกับเสียงที่แผดออกจากปาก ขบวนการขนยาเสพติดแตกกระจายไม่เป็นส่ำ หน้าตาตื่นหันหลังจะวิ่งหนีแต่โดนกระสุนปืนจากนักรบหมวกแดงกระทบเข้าเต็มจนเซถลาวิญญาณหลุดลอยเป็นผีเฝ้าป่า นักรบจากหน่วยรบพิเศษผู้ฝึกปรือมาอย่างช่ำชองพุ่งเข้าสู่กลางสมรภูมิเลือดสาดกระสุนออกไปอย่างชำนาญพร้อมกับ เคลื่อนกายไปบนพื้นกระจายกันออกไปเป็นหน้ากระดาน จังหวะวิ่งเปลี่ยนเป็นเดินก้าว ปืนเอ็มสี่ประทับเล็งอย่างมั่นคง พลางปล่อยกระสุนสาดใส่ทรชนกลุ่มที่เข้ารุมยิงตำรวจอยู่ นายร้อยเอกประทับปืนกระชับไหล่เล็งเดนคนที่กำลังเล็งปืนใส่ลูกน้องคนหนึ่งแล้วลั่นไกติด ๆ กัน มันโดนกระสุนเข้าไป ทั้งสองนัด นัดแรกพุ่งเข้าเจาะกลางหน้าอกเต็มเปาทะลุออกไปด้านหลังจนเลือดสาดพุ่ง ส่วนนัดที่สองพุ่งเข้าซอกคอเฉือน เนื้อคอจนหวิดขาด เลือดพุ่งกระฉุดออกมาจากปากแผลราวน้ำพุ นายร้อยเอกหนุ่มเคลื่อนกายอย่างฉับไว สองตากวาด จับความเคลื่อนไหวแล้วส่ายตัวหันปืนสาดกระสุนเข้าใส่หลังวายร้ายคนสุดท้ายที่พุ่งเข้าป่ารำไร มันโดนกระสุนเต็มหลัง พุ่งหัวคะมำเข้าไปปะทะกับต้นไม่เบื้องหน้าดังสั่นแล้วรูดลงกองคาอยู่ที่โคนไม้นั้น เหล่าร้ายแตกหนีกระเจิดกระเจิงโดย มีเหล่านักรบพิเศษไล่ติดตามไป นักรบสองคนที่พุ่งออกจากราวป่าลั่นกระสุนใส่กลุ่มทรชนแล้วเบนไปทางขวา มุ่งเข้าสู่ตำแหน่งที่ชายสามคนแรกหมอบซุ่ม ยิงใส่ แต่ทั้งสองคนประทับปืนลั่นไกใส่มันเป็นจังหวะพร้อมกับเคลื่อนตัวเข้าไปเรื่อย ๆ เหล่าตำรวจที่หมอบซุ่มอยู่นั้นก็ ต่างตกตะลึงในความห้าวหาญของนักรบทั้งกลุ่มที่เข้ามาช่วยเหลือ นักรบเหล่านั้นยิงพลางเคลื่อนตัวเข้าหาบรรดา วายร้ายอย่างมั่นคงดุจดั่งขุนเขาที่เสียดยอดขึ้นสู่ฟ้า ใบหน้าของนักรบเหล่านั้นนิ่งแทบจะสนิทไร้แววตื่นกลัวทั้ง ๆ ที่ วายร้ายสาดกระสุนปลิวว่อน ปืนในมือประทับมั่นแล้วลั่นไกเป็นชุด ๆ ไม่ถึงอึดใจต่อมาวายร้ายสามคนก็โดนหัวกระสุน เข้าไปจนแน่นิ่ง บัดนั้นทั้งป่าพลันเงียบสงบนิ่งงันดั่งฟ้าหลังพายุร้ายที่ถาโถมเข้ากระหน่ำด้วยแรงลมอันคุ้มคลั่งแล้วผ่าน เลยไปปล่อยให้พื้นดินดารดาษไปด้วยซากปรักหักพัก เพียงแต่ในโถงป่าแห่งนี้กลับเกลื่อนไปด้วยศพซากของเหล่าทรชน “เคลียร์พื้นที่ ตรวจคนเจ็บ” นายร้อยเอกร้องสั่งขณะที่ประทับปืนเล็งไปที่ร่างวายร้ายคนหนึ่งที่กองอยู่ถัดไป นักรบพิเศษ สามคนเคลื่อนออกไปนั่งคู้เข้าตามขอบแนวป่าเป็นสามเส้า สายตาจับจ้องเข้าไปในราวป่าที่เหล่าร้ายหนีลับตาไป ส่วน ที่เหลือจับเป็นคู่เคลื่อนกายเข้าตรวจร่างเหล่าร้ายที่โดนกระสุนโดยคนหนึ่งเข้าไปยืนทางหัวประทับอาวุธเล็งใส่ร่างที่ นอนกองอยู่ อีกคนเข้าหาทางด้านข้างปากกระบอกปืนนั้นก็ประทับเล็งพร้อมกับใช้เท้ายันเข้าที่ลำตัวหนัก ๆ เมื่อเห็นว่า วายร้ายนั้นหมดลมหายใจแล้วจึงเคลื่อนกายเข้าไปยังคนถัดไป นักรบสองคนปรับสายสะพายปืน ปลดเป้สนาม ขนาดกะทัดรัดออกมาวาง เหวี่ยงปืนขึ้นสะพายแล่ง คว้าเป้เดินเข้าไปยังกลุ่มตำรวจที่บาดเจ็บ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตะเวนชายแดนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ลุกขึ้น ส่วนหนึ่งเข้าตรวจเหล่าร้ายที่โดนปืน อีกส่วนเข้าตรวจดูเพื่อนตำรวจที่บาดเจ็บ “ผู้กองครับ” นักรบชุดดำคนหนึ่งทรุดตัวลงข้างนายร้อยตำรวจเอกผู้โดนกระสุนจากวายร้าย ยกมือข้างหนึ่งขึ้นชูสูงพร้อมกับ ร้องเรียกโดยไม่หันไปมอง อีกมือหนึ่งสาละวนเปิดเป้สนามล้วงเอากระเป๋าเครื่องมือปฐมพยาบาลออกมาวาง นายร้อยเอก แห่งหน่วยสงครามพิเศษก้าวเดินเข้าหา “เป็นไง นน” เสียงร้องถามก่อนตัวจะไปถึง เมื่อทอดสายตาไปที่นายตำรวจจึงเห็นว่าขมับซ้ายของนายตำรวจหนุ่มเป็น แผลฉกรรจ์ กระสุนถากเอาหนังเปิดออกจนเห็นกะโหลกขาวอยู่ท่ามกลางกองเลือด “หนักครับ ขอแอร์ อีแว็ค เถอะครับ” นักรบที่เข้าดูอาการดึงห่อผ้าก๊อซออกมาฉีกดึงม้วนผ้าออกมาวางโปะลงบนปากแผล แล้วดึงอีกห่อหนึ่งมาฉีกออก ดึงผ้าแบบสองชายออกมาโปะทับลงไปแล้วดึงชายผ้าพันรอบศีรษะนายตำรวจ “โย่ง” นายร้อยเอกหันไปเรียกพลวิทยุที่นั่งชันเข่าอยู่ตรงกลางที่โล่ง พลวิทยุเมื่อได้ยินเสียงเรียกก็ปลดชุดปากพูดหูฟัง ออกจากไหล่แล้ววิ่งเหยาะ ๆ เข้าหาส่งหูฟังให้นายร้อยเอก แล้วหันตัวออกไปด้านนอกมองกวาดไปอย่างระวังระไว “สีหราช จาก เสือดำ... สีหราช จากเสือดำ เปลี่ยน” “จากสีหราช ว่ามา เปลี่ยน” “เสือดำสมทบกับชุด ต.ช.ด.เรียบร้อย ตชด.ถูกกระหนาบ ตายสาม เจ็บสอง หัวหน้าสาหัส ขอแอร์ อีแว็ค เดี๋ยวนี้ เสือดำ เรียบร้อย บาดเจ็บเล็กน้อยหนึ่ง เปลี่ยน” “จากสีหราช ทราบ คอย” เสียงปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ “แอร์ อีแว็คใน สาม สิบ ห้า นาที พื้นที่ เดลต้า เปลี่ยน” “เสือดำทราบ ยี่สิบห้านาที พื้นที่เดลต้า เลิก” นายร้อยเอกส่งชุดปากพูดคืนให้พนักงานวิทยุ แล้วร้องสั่ง “เตรียมเคลื่อนย้าย คนเจ็บ แอร์ อีแว็ค พื้นที่เดลต้า ชุดหนึ่งเคลียร์พื้นที่ ไปได้” สิ้นเสียงสั่ง นักรบสองคนก็ปลีกตัวเดินก้าวยาว ๆ ออกไปจากบริเวณ อีกสองคนดึงมีดเดินป่าเล่มเขื่องออกจากซองที่รัด ติดสายรัดทึบที่หน้าอกมุ่งเข้าตัดต้นไม้ขนาดข้อมือออกมาคนละท่อน ริดกิ่งแล้วตัดออกเป็นท่อนยาว ๆ อีกสองคนขยับตัว เข้ามาที่บริเวณที่นายร้อยเอกนั้นยืนอยู่ วางอาวุธลงพิงขาปลดเป้หลังเปิดออกล้วงเอาผ้ากันฝีสีเขียวผืนหนาออกมา ทาบชายด้านที่มีหมุดแป๊กเข้าหากันแล้วกดมันติดกันเป็นผืนเดียว พอคนที่ตัดไม้ยกไม้มาถึงก็เอาชายผ้าพันเข้ากับกิ่งอึดใจ เดียวก็กลายเป็นเปลหาม เชือกอีกสองเส้นผูกปลายสองข้างให้กลายเป็นสายแบก ปลายที่เหลือพันเข้ากับผ้าที่ม้วน หุ้มปลายไม้ไว้อย่างชำนาญ จากนั้นก็ช่วยกันยกร่างนายร้อยตำรวจเอกใส่เปลสนาม แล้วยกขึ้นแบกพาเดินออกไป มีตำรวจที่ไม่ได้รับบาดเจ็บตามคุ้มกัน ส่วนที่เหลือช่วยกันพาผู้บาดเจ็บคนอื่นตามออกไปโอย่างรวดเร็ว คงทิ้งให้นักรบ พิเศษอีกสามคนจัดการลากศพขบวนการขนยาเสพติดและอาวุธที่หล่นเกลื่อนกลาดมากองรวมกันไว้ แล้วทั้งสามก็ ถอยหายเข้าไปในราวป่า เสียงใบพัดของเครื่องเบลล์ดังมาแต่ไกล เหล่านักรบและตำรวจชะเง้อมอง จวบจนเห็นตัวเครื่องบินปีกหมุนยกตัวขึ้น พ้นยอดไม้บ่ายหน้ามาทางที่โล่งตรงหน้า หนึ่งในนักรบพิเศษก็ปราดออกไปดึงสลักระเบิดควันในมือทอยไปข้างหน้า แค่ อึดใจควันสีเหลืองก็พุ่งขึ้นจากพื้นลอยไปตามลม เครื่องบินทั้งสองพอเห็นควันก็หันตรงมาหย่อนตัวลงพื้นเคียงกัน ประตูทั้งสองข้างเปิดกว้าง เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องโดดลงมาพร้อมกับปืนในมือหันตัวมองไปทางทิศตรงข้าม กับกลุ่มควัน เหล่านักรบ และตำรวจตระเวนชายแดนช่วยกันหาบหามเปลและช่วยพยุงคนเจ็บทั้งหมดฝ่ากระแสลมจากใบพัดตรงเข้าไปที่เครื่อง ช่วยกันยกเปลขึ้นวางจัดให้มั่นคง ส่งคนเจ็บและอาวุธของผู้บาดเจ็บขึ้นเครื่อง อีกลำหนึ่งนั้นพวกเขาก็ช่วยกันหามร่าง ไร้ลมหายใจของตำรวจที่พลีชีวิตเพื่อปกป้องปวงประชาขึ้นวางเรียงกัน พอเสร็จเรียบร้อยนักรบคนหนึ่งก็ตบบ่าเจ้าหน้าที่ ประจำเครื่องที่พอรู้สึกสัมผัสที่บ่าก็ ลุกขึ้นโดดขึ้นเครื่องขณะที่กลุ่มคนเบื้องล่างล่าถอยออกให้พ้นรัศมีใบพัด นายร้อยเอก นักรบพิเศษยกนิ้วหัวแม่มือให้นักบินผู้ที่ยกมือขึ้นทำความเคารพแล้วปรับความเร็วใบพัดและยกเครื่องขึ้นขณะที่เหล่านักรบ และตำรวจตระเวนชายแดนด้านล่างเฝ้ามองเครื่องบินปีกหมุนทั้งสองเครื่องที่ยกตัวลอยขึ้นสู่อากาศจนสูงพ้นยอดไม้แล้ว หมุนตัวเลี้ยวตามกันบินหายไปจากสายตา “พี่ดาบ เอาไงต่อครับ” นายร้อยเอกหนุ่มหันไปถามดาบตำรวจผู้ซึ่งบัดนี้ขึ้นมาเป็นผู้นำหน่วยแทน “เดี๋ยวผมพาน้อง ๆ กลับไปเฝ้าที่เกิดเหตุก่อนครับ รอหน่วยเสริม คงประมาณสักชั่วโมงครึ่งครับ” นายดาบตอบสายตามอง นายร้อยเอกหนุ่มด้วยความนับถือและยำเกรง นายทหารและนายตำรวจน้อยคนนักที่จะเอ่ยขานเรียกเขาว่าพี่ คนแรกที่ นายดาบตำรวจผู้มากด้วยวัยพบพานก็คือผู้บังคับกองร้อยตนเองที่กำลังเร่งรุดไปสู่มือแพทย์ ยามนั้นนายดาบตำรวจจึง ระลึกถึงภาระของตนที่ต้องรับช่วงต่อไป “งั้นเดี๋ยวกลับไปด้วยกัน ผมจะอยู่คุ้มกันพวกพี่ดาบให้เอง พอพวกพี่มากันแล้วผมขอแยกทีหลังนะครับ” นายร้อยเอกบอก เสียงเรียบ ๆ “เดี๋ยวกลับไปที่หมายก่อน ถึงแล้ววางกำลังคุ้มกัน เผื่อมันย้อนกลับมา” สิ้นคำนักรบพิเศษที่เหลือก็กระจายกัน ออกเดินมุ่งไปสู่ที่หมายตามที่สั่ง ส่วนนายร้อยเอกนั้นออกเดินเคียงไปกับนายดาบตำรวจ “พี่ดาบ เรื่องมันเป็นไงถึงโดนมันกระหนาบเอา” นายร้อยเอกหันไปถามนายดาบผู้ที่ถึงจะด้อยยศ แต่ประสบการณ์ใน การปฏิบัติงานนั้นบอกออกมาทางใบหน้ากร้านไปด้วยริ้วรอย นายดาบตำรวจบอกเล่าเหตุการณ์ให้นายทหารหนุ่มฟังไป พลางระหว่างที่ออกเดินเคียงกันไป “พี่ว่า ข่าวรั่วไหมครับ ดูเหมือนมันรู้ว่าจะโดนซุ่มจับ” “เป็นได้ครับผู้กอง นี่ดีว่าผู้กองผมคุยกับผู้กองไว้แล้ว ไม่งั้นพวกผมคงกลายเป็นผีกันหมดแล้ว” “คราวนี้มันคร่อมช่วงเวลาด้วยนะพี่” “ใช่ครับ เตรียมตัวกันแทบไม่ทัน แต่เวลาที่ได้มานี่ก็แม่นนะครับ” “ครับ มันแม่น และมันเหมือนเซ็ตมาเลยนะครับ แล้วถ้ามันจะรีบส่งของอย่างที่สายว่า มันน่าจะใช้ทางใต้มากกว่า ใกล้กว่ากันเยอะ” “จริงครับ ผู้กองผมแกก็พูดเรื่องนี้เหมือนกันครับ กำชับพวกเราหลายครั้ง ไม่นึกว่าแกจะโดนเสียเอง” “พวกมันก็น่าจะรีบนะพี่ เที่ยวก่อนที่เราเก็บมานั่นก็หลายอยู่ มันต้องขนมาแน่นอน แต่ไม่ใช่ทางนี้” นายร้อยเอกพูด ออกมาอย่างตรึกตรอง “ผมว่ามันคงระแคะระคายกันบ้างแล้ว ไม่ใช่แค่ระวังตัวหรอกครับ ลงยังงี้แล้ว” “เป็นได้ครับพี่ คราวนี้คงต้องเหนื่อยกันอีกเยอะ” “สงสารแต่ผู้กองวิวัฒน์นั่นแหละครับ” นายดาบหมายถึงร้อยตำรวจเอกหัวหน้าชุดของตนเอง “กำลังจะแต่งงานอยู่ เดือนหน้านี่แล้ว” “คงไม่เป็นไรมากหรอกพี่” สองคนหันไปมองหน้ากัน สายตาทั้งสองคู่บ่งบอกความในใจที่ไม่ได้เอ่ยออกมา เจ้าก้องนอนหงายแผ่อยู่บนเตียงใหญ่ภายในห้องนอนเย็นฉ่ำ มันเพิ่งจะกลับมาจากไปช่วยมือขวาของพ่อมันคุมขบวนขน ยาเสพติดในตอนเช้านี้เอง มันเองพอออกจากป่ามาถึงเมืองก็แล่นกลับบ้านมานอนแช่น้ำร้อน ๆ ทั้งฟอกสบู่ทั้งสระผม หลายครั้งจนรู้สึกว่าหมดคราบไคล เสร็จก็มานอนครึ้มอกครึ้มใจพลางกำควยกระถอกเล่น นึกถึงการที่ไปอยู่ในป่าเสีย ร่วมสองอาทิตย์ ต้องไปอยู่กินอย่างลำบากอย่างที่คนอย่างมันไม่เคยพบทำเอามันทั้งเบื่อทั้งเคืองพ่อตนเองที่ให้มันไป ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วตัวมันเองที่อยากไปเสียเอง ถึงมันจะไม่ได้เป็นคนสั่งการอะไรด้วยเจ้าชัยมือขวาตัวเอ้ของพ่อมันเป็นคน จัดการเสียหมด แต่มันเองก็ยังอิ่มเอมใจว่าตัวเองกำลังจะยกระดับจากลูกเสี่ยดาด ๆ มาช่วยงานค้ายาของพ่อมัน แต่ อีกอย่างหนึ่งที่มันยังครึ้มอกครึ้มใจก็คือระหว่างทางนั้นมันเย็ดเอาสองสาวที่เจ้าชัยไปหิ้วมาจากก๊วนเด็กติดยาเมื่อก่อน ออกเดินทางไปหลายที ทั้งคนที่เย็ดในคืนที่หิ้วตัวมาและคืนต่อ ๆ มาตลอดการเดินทางขนยา เด็กสาวสองคนนั่นเนื้อแน่น ด้วยวัยอ่อนเสียแต่คอยจะคร่ำครวญไม่หยุด พอมันเบื่อคนแรกก็เอาตัวอีกคนมาเย็ดเสียทั้งคืนจนวันรุ่งขึ้นแทบจะตาม ขบวนขนยาไม่ไหว ผิดกับพวกเจ้าชัยและลูกน้องเจ้าชัยที่ไม่รู้ไปเอากำลังมาจากไหน เสียดายแต่สองสาวน้อยเหยื่อ กามโฉดนั่น เพราะเช้ามืดวันที่จวนจะถึงที่หมายสุดท้ายอยู่รอมร่อชั่วเดินครึ่งวัน พวกมันเองเผลอหลับกันหมด พอรู้สึกตัว ขึ้นมาสองสาวน้อยก็หายไปแล้ว “ไอ้พวกส้นตีน หลับกันหมด ตื่น ๆ” เสียงไอ้ชัยตะโกนลั่น ๆ ปลุกให้มันลืมตาขึ้นมองเห็นเจ้าชัยเดินงุ่นง่านเตะลูกน้องที่ นอนหลับอยู่ไม่ยั้งตีนจนพวกมันสะดุ้งตื่นกันขึ้นมา “ไอ้เหี้ยเอ๊ย แม่งเดี๋ยวกูเป่ากบาลแม่งทุกตัว” เดนคนทั้งห้าลุกขึ้นยืนหน้าเหรอหรา ไอ้ชัยคว้าคอลูกน้องคนหนึ่งเหวี่ยงจนมันเซล้มกลิ้งหลุน ๆ ชักปืนพกออกมาเล็งจ้อง ไปที่ไอ้หมอนั่นนอนตัวสั่นจ้องปากกระบอกปืนกลวง ๆ ด้วยสายตาเบิกกว้าง “อีสองตัวนั่นมันหายไปแล้ว พวกมึง เดี๋ยวมันหนีออกไปได้ก็ได้ชิบหายกันหมด ไอ้สัตว์เอ๊ย” “พี่ชัย มันยังเมายาอยู่ เมื่อคืนผมยังฉีดให้มันคนละเข็มเลยพี่” คนหนึ่งตอบ “แล้วไง ยังเซ่อกันอยู่อีก ไปจิกหัวมันมาให้ได้ กูจะรอตรงนี้ ถ้าไม่ได้ตัวมันทั้งคู่ กูยิงพวกมึงทิ้งแน่” ไอ้เดนนรกทั้งห้า ต่างคว้าปืนเผ่นแนบหายกันไปในราวป่า “อะไรน่ะ ชัย” เจ้าก้องลุกขึ้นเดินมาถาม “ก็ไอ้พวกนี้ซีครับ หลับกันหมดปล่อยอีสองตัวนั่นหนีไปจนได้ ย้ำแล้วย้ำอีกแล้วนะครับคุณก้อง” “ตายห่า แล้วทำไงล่ะชัย” “มันหนีไปไม่ไกลหรอกครับ ทั้งเมายา ทั้งไม่รู้ทาง เดี๋ยวไอ้พวกนั้นก็จิกกลับมาเอง คุณก้องพักก่อนเถอะครับ กว่าจะได้ตัว คงอีกพักใหญ่ แล้วเมื่อคืนคุณก้องก็ล่อมันเรียงตัวซะด้วย” “ได้เลย ก็ดีเหมือนกันชัย” เจ้าก้องกลับไปนอนบนผ้าใบที่เจ้าชัยสั่งให้ลูกน้องมาปูไว้ให้ผล็อยหลับไป จนร้อนแดดก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของสองสาวที่โดนไอ้นรกทั้งห้าตัวฉุดลากเข้ามายังบริเวณที่มันพักอยู่ สองสาวท่าทางอ่อนเปลี้ย นัยน์ตาแดงก่ำด้วยฤทธิ์ผงขาวที่ไอ้พวกนี้จับฉีดให้แทบทุกวัน ร่างเด็กสาวสองคนมอมแมม ผมกระเซิงผิดกับเมื่อวันที่ไอ้ชัยไปหลอกมาอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งโดนไอ้นรกตัวใหญ่จับยกตัวขึ้นแล้วสะบัดมือเข้าเต็มหน้า จนเธอหน้าหงายล้มลงทั้งยืน ส่วนเด็กสาวอีกคนโดนไอ้คนที่ลากมาถีบส่งจนถลามาล้มกลิ้งอยู่แทบเท้าไอ้ชัยที่นั่งอยู่ บนขอนไม้ “หนีเรอะอีดอก” ไอ้ชัยแสยะปาก แกว่งปืนพกออโตเมติกสิบเอ็ดมิลลิเมตรในมือ “พี่จ๋า ปล่อยหนูเถอะจ๊ะ หนูอยากกลับบ้าน” สองคนพูดระล่ำระลักนั่งพับเพียบลงกับพื้นยกมือไหว้ปะหลก ๆ น้ำตา ไหลพรากลงอาบแก้มทั้งความกลัว “อยากกลับบ้าน” ไอ้ชัยขึ้นเสียงสูง “มึงจะได้เอาตำรวจมาจับกูน่ะซี” “ไม่หรอกพี่ หนูไม่บอกตำรวจหรอก จริง ๆ นะพี่ ให้ตายซิ หนูกลัว” สาวร่างอวบรีบพูดปากสั่น “ปัง..” “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด” ไอ้ชัยยกปืนขึ้นจ่อหน้าสาวน้อยแล้วลั่นไกด้วยใบหน้าเรียบเฉย พร้อมกับเสียงกรีดสะท้านของเพื่อนอีกคนที่มองเห็น เหตุการณ์คาตาที่เบิกกว้างอย่างตกใจสุดชีวิต กระสุนขนาดสิบเอ็ดมิลลิเมตรพุ่งเข้าเต็มใบหน้าจนยุบเข้าไปข้างใน เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นออกจากบาดแผลแล้วสาดขึ้นไปในอากาศเมื่อใบหน้าที่เละด้วยฤทธิ์กระสุนสะบัดหงาย มือที่ พนมอยู่กลางอกตวัดแผ่กางพร้อมกับร่างท่อนบนที่นั่งอยู่หงายผลึ่งเอนพับไปด้านหลัง ร่างเด็กสาวที่วิญญาณหลุดลอยไป ตั้งแต่ลูกปืนเจาะใบหน้านั้นสั่นระริกอยู่ครู่หนึ่งจึงหยุดสงบนิ่ง เสียงสาวน้อยอีกคนยังกรีดร้องจนทรชนหนึ่งในหน้าเดินเข้ามา สะบัดมือตบจนเธอฟุบลง มันจิกผมยกหัวเธอขึ้นจนตาเหลือก น้ำตาใส ๆ ไหลพราก ๆ “หยุดร้องได้แล้วมึง อีดอกนี่” มันสำรากใส่ ไอ้ชัยลุกขึ้นยืนสืบเท้าเข้ามาหา เธอมองมันตาเหลือกมือสั่นปากสั่น “พี่จ๋า” เด็กสาวเค้นเสียงสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว “อย่าทำหนูเลยนะคะ จะให้หนูทำอะไรก็ได้ หนูกราบล่ะพี่” เด็กสาว ก้มลงกราบกับพื้นดินตรงปลายเท้าเจ้าชัยที่เดินมาหยุดห่างหัวของเด็ดสาวแค่สองคืบ “ปัง..” กระสุนปืนพุ่งออกจากปากกระบอกเข้าเจาะท้ายทอยเด็กสาวทะลุลงไปฝังอยู่ในพื้นดิน ดันหัวเด็ดสาวทับลงไปกับมือที่ พนมกราบ เลือดสด ๆ กระจายออกจากปากแผลที่ท้ายทอยและด้านที่ซบอยู่กับพื้นดิน ไอ้ก้องยืนมองตะลึงตัวชา มันรู้สึกว่ามือเท้ามันเย็นเฉียบเหมือนไปแช่ในถังน้ำแข็ง ภายในช่องท้องมันมวนปั่นป่วนจน คลื่นไส้ ท้องน้อยก็ปวดเสียเหมือนอั้นเยี่ยว ภาพหัวเด็กสาวทั้งสองคนที่โดนลูกปืนกระแทกจนเหวอะหวะทำเอาท้องไส้ มันปั่นป่วนไปหมด นี่ถ้ามันกินข้าวไปแล้วมันคงต้องอาเจียนมาจนหมดท้อง แต่ถึงขนาดนี้มันก็ต้องหันกลับไปที่ราวป่า ขย้อนเอาน้ำเหนียว ๆ ออกมาจนเหงื่อโซม มือที่ตบหลังมันเบา ๆ กระตุ้นให้มันหันไปเห็นเจ้าชัยจอมโฉดที่มายืนอยู่ด้านหลัง “ชัยฆ่าเด็กสองคนนั่นทำไม” เสียงถามสั่นและแหบพร่าจนมันเองยังประหลาดใจ “ปล่อยไปไม่ได้หรอกครับ มันคาบไปบอกตำรวจแน่นอน” เจ้าชัยตอบเรียบ ๆ “แต่ว่า...” “คุณก้องคงไม่อยากเข้าคุกกระมังครับ” ไอ้ชัยพูดจนเจ้าก้องอึ้ง “อีกอย่าง เด็กอย่างนี้มีอีกเยอะครับ เอายาไปล่อสัก สองเม็ดก็เหมือนหมาอยากกินกระดูกตามมาให้เชือดทุกรายแหละครับ จะได้เอาของใหม่เรื่อย ๆ ไงครับ” เจ้าก้องพยักหน้าทั้ง ๆ ที่ยังใจสั่นเข่าอ่อน ก๊อก ๆ ๆ เจ้าก้องลุกขึ้นเอาผ้าเช็ดตัวพันเอวลวก ๆ รวบไว้ในมือแล้วเดินไปเปิดประตูห้อง เบื้องหน้าประตูนั้นมารดามันยืนยิ้มอยู่ สาวใหญ่สวมชุดอยู่กับบ้านลายดอกสีสันฉูดฉาดตัวหลวมยาวกรอมเท้า “กลับมาแล้วเหรอตาก้อง ไปไหนมาหลายวัน” สาวใหญ่เดินเข้ามาในห้องลูกชายแล้วหันกลับไปปิดประตูกดล็อก “ไปต่างจังหวัดครับ ทำงานให้เตี่ยน่ะม้า เหนื่อยจังเลย” เจ้าก้องเดินไปนอนแผ่ที่เตียง “แหม ถึงว่าไปเสียหลายวันเลย ม้าคิดถึงจะแย่” สาวใหญ่เดินไปนั่งลงข้างตัวลูกชาย “เหรอครับม้า ก้องก็คิดถึงม้านะครับ” เจ้าก้องยกมืออวบ ๆ ของแม่ขึ้นหอม “ม้าก็พอดูออกนะ” เจ้าหล่อนดึงมือไปวางลงกลางลำตัวของเจ้าก้องที่ผ้าขนหนูโดนท่อนควยของมันดันขึ้นจนโป่ง หล่อน จับชายผ้าแง้มออกเจ้าท่อนควยอวบยาวก็เด้งผึงออกมาตั้งตระหง่าน “แล้วม้าคิดถึงก้องแค่ไหนครับม้า” เจ้าก้องพูดพลางหันตัวพลิกตะแคง เอื้อมมือไปดึงชายผ้าของมารดาถลกขึ้น ล้วงมือ เข้าไปสัมผัสโคกเนื้ออวบอูม มันเอานิ้วกรีดลงไปตรงรอยประกบสัมผัสหยาดเมือกลื่นที่ไหลออกมาฉ่ำกลีบ มันพูดต่อ กลั้วเสียงหัวเราะ “โห ม้าคิดถึงก้องเต็มไปหมดเลย” “ไม่ต้องมาพูดแล้วตาก้อง มาให้ม้าแก้คิดถึงเสียดี ๆ” สาวใหญ่พูดแล้วก้มลงอ้าปากอมท่อนควยของลูกชาย “งั้นเดี๋ยวม้าหายแล้ว ก้องแก้คิดถึงม้าบ้างละกัน” เจ้าก้องพูดกลั๊วหัวเราะ

ไม่มีความคิดเห็น: