ขายของ

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

With No Remorse Chapter 7

With No Remorse Chapter 7 บริเวณหน้าพระประธานคนไม่แน่นนักด้วยไม่ใช่วันหยุด แต่ความที่เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งจึงยังมีคนพลุกพล่าน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่หมุนเวียนกันเข้ามาตลอดเวลา บ้างก็นั่งไหว้พระประธานที่มีลักษณะเฉพาะศิลป์เชียงแสนอัน งดงาม บ้างก็เพียงเข้ามาชมความงามและบันทึกภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ควันธูปลอยขึ้นเป็นสาย ๆ ในแสงสลัวของอุโบสถ แล้วแผ่กระจายไปในอากาศตามแรงลมข่มแสงไฟฟ้าที่ติดตั้งภายในให้หม่นมัวลง หนุ่มสาวหลายคู่เคียงข้างกันนั่งลงไหว้ พระพุทธสิหิงค์ด้วยสีหน้าอิ่มเอิบแย้มยิ้ม เด็กน้อยที่บ้างนั่งอยู่ข้างผู้ปกครองหรือปู่ย่าตายายเหลียวมองซ้ายขวาด้วย ความตื่นเต้นระคนสนใจ พ่อแม่หลายคนจับจูงบุตรธิดาให้กราบพระอย่างงดงามแล้วพาเดินชมจิตรกรรมอันงดงาม ผู้เฒ่า ผู้แก่พ่ออุ้ยแม่อุ้ยนั่งสวดมนต์อย่างสงบเงียบท่ามกลางเสียงจ๊อกแจ๊กของผู้อื่น ใบหน้าที่เหี่ยวย่นด้วยอายุบ่งบอกถึงชีวิต ที่ผ่านประสบการณ์มายาวนานนั้นอิ่มเอิบอาบด้วยความสุข กานดาไหว้เกาะกุมแขนแข็งแรงที่ยื่นให้จับเป็นหลักประคองยาม ก้าวข้ามธรณีประตูวิหารลายคำออกมาสู่แสงสว่างของดวงอาทิตย์ยามบ่ายที่สาดแสงอ่อน ๆ ส่องทั่วบริเวณ ลานวัดกว้างนั้น มีผู้คนที่เดินไปมาอยู่เกลื่อนกลาด เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูแล้วกานดาก็หาได้ปล่อยแขนแข็งแรงที่ยื่นมาให้ยึดจับนั้นไม่ แต่รวบเข้ากอดไว้ข้างตัวเพื่อจับยึดระหว่างที่ก้าวลงตามขั้นบันไดและใช่ช่วยพยุงตัวยามที่สอดเท้าสวมรองเท้า เธอปล่อย ให้การุณย์สวมรองเท้าตัวเองแล้วจึงฉวยแขนแข็งแรงนั้นมากอดข้างตัวระหว่างที่เดินมุ่งไปที่ลานจอดรถ กลุ่มคนร่วม ๆ ยี่สิบคนเดินพรวด ๆ มาจากวิหารหลวง ชายในชุดซาฟารีสีดำสองคนเดินแหวกฝูงชนล่วงหน้ามาก่อนในมือถือวิทยุสื่อสาร ที่ส่งเสียงแกรกกรากเป็นครั้งคราว ปากก็เอ่ยเสียงบอกให้ประชาชนหลีกทาง กลุ่มที่เดินตามมานั้นเป็นชายในชุดเสื้อนอก เรียบกริบและหญิงวัยไล่เลี่ยกันแต่งตัวเฉิดฉายเดินหน้าเชิดปั้นปึ่ง เด็กสาวอีกคนเดินฉับ ๆ ตามมาติด ๆ เบื้องหลังเป็น ผู้แต่งกายในชุดข้าราชการสีกากีเดินพรวด ๆ เหงื่อไหลโซมหน้า เบื้องหลังเป็นกลุ่มนักข่างที่ห้อยกล้องพะรุงพะรังเดิน แกมวิ่งตามมาติด ๆ กานดาดึงแขนการุณย์เบา ๆ “ใครคะนั่น” การุณย์มองชายในเสื้อนอกที่เดินนำหน้าเขม็ง “ฮึ ผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยกระทรวง... น่ะครับ” กานดาเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรเหรอคะ เสียงคุณต้นไม่ค่อยดี” “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ” การุณย์หันยิ้ม “เชื่อได้เหรอคะ เสียงยังงี้ เอ๊ะ นั่น” กานดาเขม้นมองไปยังด้านประตูวัด การุณย์หันไปมอง “นั่นชายนี่คะ มากับใครน่ะ หน้าตาจิ้มลิ้มเชียว” ชาติชายแต่งตัวลำลองกลมกลืนไปกับฝูงชนด้านข้างนั่นรจนาพยาบาลสาวเดินเคียงมา สองหนุ่มสาวคุยกันกระหนุงกระหนิง หน้าตาแจ่มใส “นั่นยายรจนา ลูกสาวพี่ชายผมเองครับ” การุณย์บอกเรียบ ๆ สืบเท้าตามรจนาไปยังสองหนุ่มสาว “เหรอคะ นี่คุณต้นปล่อยหลานมากับเจ้านี่ไม่กลัวเหรอคะ” กานดาหันไปถามยิ้ม ๆ “ไม่กลัวหรอกครับ ผู้ชายเขามีแม่ดีน่ะครับ” การุณย์ตอบยิ้ม ๆ แล้วสะดุ้งนิด ๆ เมื่อมือที่กอดแขนหยิกหมับเข้าที่สีข้าง ก่อนจะปล่อยออกเมื่อเดินเข้าใกล้สองหนุ่มสาว “ดุเสียด้วยซีครับ” “ชาย มาไหว้พระเหรอลูก” กานดาร้องถามเมื่อเข้าจวนถึงตัว สองหนุ่มสาวหันขวับมามอง “อ้าวแม่ สวัสดีครับ อาการุณย์ด้วย” ชาติชายยกมือไหว้ รจนาเองก็ยกมือไหว้ตามแก้มผ่อง ๆ แดงซ่านดุจเด็กที่โดนจับได้ ว่าหนีเที่ยว “ใครจ๊ะนี่ ไม่เห็นบอกแม่เลย” กานดารับไหว้สองหนุ่มสาวแล้วถามยิ้ม ๆ “คุณรจ นี่แม่ผมครับ” ชาติชายแนะนำตัว รจนายกมือไหว้อีกครั้ง “เอ่อ คุณรจนาเป็นพยาบาลน่ะครับ มาดูแลผมตอนที่ป่วย หลานอาการุณย์ด้วยครับแม่” “จ้า แล้วนี่พาเขาออกมานี่ เขาไม่เสียงานเหรอจ๊ะพ่อยอดชาย” กานดาถามลูกชายทำเอาสองหนุ่มสาวหน้าแดง “เอ่อ ผมขออนุญาตแล้วครับแม่” “ขอใครจ๊ะ ขอพระรูปเหรอ เหมือนตอนที่อยู่โรงเรียนนั่น แม่ก็นึกว่าลาเรียบร้อยจนนายทหารปกครองเขาโทรมาบอก” กานดาพูดยิ้ม ๆ “หนูอย่าเชื่อพ่อนี่มากนักนะ กะล่อนนักเชียวแหละ เห็นอย่างนี้เถอะ” “ค่ะ” รจนาตอบหน้าแดง ขยับตัวเข้าไปยืนตรงหน้ากานดาที่คว้าแขนดึงตัวเข้าไปพิศดูตรง ๆ เธอหันไปมองดูผู้เป็นลุง กับชาติชายที่ขยับไปยืนคุยกันท่าทางเอางานเอาการ “นี่หนูทำงานที่ไหนจ๊ะ” “หนูอยู่โรงพยาบาลในค่ายค่ะคุณ..” “อาเถอะจ๊ะ อายังไม่อยากแก่นัก” หญิงทั้งสองคนยืนคุยกันสักครู่หนึ่ง การุณย์ก็ขยับเข้ามาใกล้ “เราไปหาอะไรกินกันดีกว่าครับ จะเย็นแล้ว เดี๋ยวจะได้พัก วันนี้ผมพาคุณดาตะลอน ๆ มาทั้งวันเลย” การุณย์พูดยิ้ม ๆ “ดีค่ะ พอคุณต้นว่าก็คอแห้งเลย เดี๋ยวไปกัน ตาชาย หนูรจ มาด้วยกันซิ” “เอ่อ คุณรจบอกว่าจะพาผมไปกินน้ำเงี้ยวเจ้าอร่อยน่ะครับแม่” ชาติชายหันมาบอก “ไม่ได้ มากินด้วยกัน แม่กำลังคุยกับหนูรจเขาอยู่ เดี๋ยวจะไปคุยต่อด้วย” กานดายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ลูกชาย “คนนี้น่ารัก ดีนะ แม่ชอบ จะทำอะไรก็เกรงใจคุณต้นเขาด้วย” ชาติชายใจหายวาบหน้าสลดนิดหนึ่ง รู้สึกเหมือนโดนดุกลาย ๆ กานดาเขม้นมองคิ้วขมวด “อะไรครับแม่” ชาติชายถามเมื่อโดนผู้เป็นมารดาจ้องเอาตรง ๆ การุณย์กับรจนาหันมามองสองแม่ลูก กานดาไม่ พูดอะไรต่อ หันไปจูงมือรจนาเดินตรงไปที่รถ การุณย์ทำหน้างง “อะไรวะ ชาย มีอะไรกัน” “เอ้อ.. ไม่มีอะไรครับ อา” ชาติชายตอบแล้วออกเดินตามแม่ตนเองไป “ไปเถอะครับ อา ตามไม่ทันโดนเผาเกรียมแน่” “ร้อนตัวละซี” การุณย์ออกเดินตามชาติชายพลางหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้ามุ่ย ๆ ของชาติชายที่เดินจ้ำพรวด ๆ ไป รถเก๋งคันกะทัดรัดแล่นฝ่าความมืดไปตามทางสายเปลี่ยว แสงไฟฟ้าที่ส่องจากบ้านเรือนข้างทางที่ตั้งอยู่ห่าง ๆ กันนั้น ไม่พอสาดส่องพื้นถนนลาดยางให้เห็นชัดเจน ไฟหน้ารถที่ส่องจนสว่างจ้าจึงเพียงให้กลุ่มชายที่นั่งในรถมองเห็นได้เฉพาะ บริเวณที่แสงไฟสูงของรถสปอร์ทไรเดอร์สาดไปถึง สองข้างทางมองเห็นเป็นเพียงแค่เงาดำของแมกไม้ที่พุ่งผ่านไป ด้านหลัง กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เบียดกันมาในรถนั่งเงียบ ต่างคนต่างจ้องมองความมืดที่ปกคลุมพื้นดิน เสียงงัวเงียที่ดังมาจาก ที่เก็บของด้านหลังทำให้หนึ่งชายในแถวหลังเหลียวกลับไปมองร่างของเด็กสาวสองคนที่นอนอยู่อย่างไม่รู้สึกตัว บัดนี้ ร่างสองสาวสวมเสื้อผ้าไว้แล้วแต่ไม่ใช่เสื้อสมัยนิยมเป็นกางเกงลายพรางทหารกับเสื้อยืดแขนยาว เต้านมภายใต้เสื้อยืด ตัวหลวมโคร่งขยับเขย่าไปตามจังหวะที่ตัวรถสะเทือนไหว มันแสยะปากอย่างหื่นกระหายแล้วเอื้อมมือไปบีบเคล้นเต้า ของสองสาวอยู่พักหนึ่งก่อนจะดึงมือกลับมาวางลงบนเหล็กเย็นเฉียบของอาวุธสังหารที่วางตั้งอยู่กลางท่อนขาของมัน และหันไปมองนอกรถเช่นเดิม ชาติชายจัดการลงกลอนประตูหน้าต่างบ้านหลังย่อมนั้นจนเรียบร้อย แล้วปิดดวงไฟเพดาน แล้วก้าวเดินตรงไปหยุด หน้าประตูห้องพักด้านล่างที่ปิดสนิท ยกมือขึ้นเคาะเบา ๆ “คุณรจครับ” ชาติชายเรียกแล้วเว้นจังหวะ “คุณรจ” “คะ มีอะไรหรือคะ” “เอ่อ คือว่า” ชาติชายอึกอัก หลังจากคืนไฟดับนั่นแล้ว รจนาฉวยโอกาสเข้าห้องปิดประตูเงียบมาโดยตลอด “อะไรคะ” เสียงดังมาจากข้างใน “ผมคิดถึงคุณรจ” “ขอบคุณค่ะ คุณชายควรไปอาบน้ำนอนได้แล้วนะคะ” “นอนไม่หลับ” ชาติชายส่งเสียงอ้อน “ก็นอนนิ่ง ๆ นับเลขไปเดี๋ยวก็หลับค่ะ” “แหม นอนคนเดียวมันเหงานะครับ” “ก็ต้องทนเอานะคะ โตแล้วนะคะ” “ไม่อยากนอนคนเดียวนี่ครับ นอนด้วยคนนะครับ” ตอนนี้อับจนหนทาง “ไม่ได้ค่ะ” เสียงข้างในเฉียบขาด “ทำไมล่ะครับ คืนนั้นยังอยู่ได้จนเช้าเลยนี่ครับ” “คืนนั้นคืนเดียวก็ เกินไปแล้วค่ะ” “แต่ผม เอ่อ” ชาติชายเค้นสมองหาคำพูด “ผมว่าผมรักคุณรจนะครับ” “ขอบคุณค่ะคุณชาย” เสียงข้างในยังคงราบเรียบ “ถ้าจริง รอก่อนนะคะ” “รออะไรล่ะครับ ไม่สงสารผมเหรอครับ” “รอให้ถึงคืนส่งตัวก่อนซีคะ” ชาติชายก้มหน้าเอาหน้าผากกดลงบนบานประตู “โห เมื่อไรล่ะครับนั่นน่ะ” “เมื่อเอย ก็เมื่อนั้นนะคะ คุณชาย” เสียงข้างในหยุดนิดหนึ่ง “แค่นี้รจก็ว่าตัวเองใจง่ายเกินไปแล้วนะคะ” ชาติชายยืนจังงังกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย สองฝั่งประตูเงียบงันกันไปครู่ใหญ่ “งั้น.. ก็... ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ชาติชายหยุด “ทั้งหมดนั่นความผิดผมคนเดียวแหละครับ คุณรจไม่ผิดหรอก” “ผิดก็ผิดกันทั้งคู่ค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณชาย” ชาติชายยืนจ้องประตูบานที่กั้นขวางอยุ่ ไม่ให้เขาได้เห็นภาพร่างบอบบาง ของรจนาที่ยืนหันหลังพิงบานประตูน้ำตาไหลพรากลงอาบแก้ม นายทหารหนุ่มยืนก้มหน้านิ่งจวบจนเสียงมือถือดังขึ้น “ว่าไงศรัณย์” “ผมมาแล้วพี่ พี่ชายเป็นไง เข้าที่ยังครับ” เสียงคู่หูรุ่นน้องดังแจ้ว ๆ “เออว่ะ เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เจาะเลือดอีกครั้ง” ชาติชายเหลือบตาขึ้นมองบานประตูบานนั้น “คงไม่มีอะไร ฟังผลเลือด แล้วจะกลับ นายเรียบร้อยหรือเปล่า” “ได้เลยพี่ งั้นพรุ่งนี้เจอกันครับ” “เออ สวัสดีศรัณย์” ชาติชายเงยหน้าขึ้นมอง ใจนึกอยากจะมองทะลุบานประตูไม้นั้นเข้าไปเพื่อให้เห็นคนที่อยู่ข้างใน เขาจ้องนิ่งอยู่ชั่วอึดใจแล้วจึงหันกลับเดินขึ้นไปยังห้องพัก “คุณต้นเข้ามาก่อน ดามีเรื่องจะคุย” กานดาไม่ยอมให้การุณย์บ่ายเบี่ยงแต่จับข้อมือดึงนายพันเอกเข้าห้องมาด้วย เธอเดิน เอากระเป๋าถือไปวางที่โต๊ะแต่งตัวแล้วยกหูโทรศัพท์สั่งกาแฟ “ดาเข้าห้องน้ำแป๊บนะคะ” “ครับ” การุณย์รับคำแล้วเดินไปนั่งที่ชุดรับแขก ไม่ถึงอึดใจกานดาก็ออกจากห้องน้ำพลางใช้ผ้าขนหนูผืนย่อมเช็ดหยาดน้ำ บนข้างแก้ม “คุณต้นล้างหน้าหน่อยไหมคะ” เธอเลิกคิ้ว “จะได้สดชื่นหน่อย” “ก็ดีครับ” การุณย์เดินเข้าไปล้างหน้า รู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากได้ล้างคราบเหงื่อบนใบหน้าจากที่พากานดาไปไหว้พระ เสียเกือบทั่วเมืองทั้งวัน พอเปิดประตูออกมานั้นกลิ่นกาแฟก็โชยเข้าจมูก บนโต๊ะรับแขกนั้นกานดาจัดการชงกาแฟวางไว้ เรียบร้อย การุณย์จึงเดินไปนั่ง “คุณต้นคะ เด็กสองคนนั่นน่ะ” กานดาเริ่มพูดเมื่อเห็นการุณย์จิบกาแฟไปแล้ว “ทำไมหรือครับ” “ดาว่า ดูท่าทางจะเลยเถิดไปแล้วนะคะ” เธอตอบขมวดคิ้วบาง ๆ “ดาสงสัยว่างั้น ตอบกันอ้อมแอ้ม ไม่เต็มเสียงเลย โดยเฉพาะลูกชายดา” การุณย์นั่งนิ่ง “แล้วคุณดาจะว่าไงครับ” “ถ้าจริงดาต้องขออภัยแทนตาชายด้วยนะคะ” เสียงเธอเจือด้วยความกังวล “อันที่จริง ถ้ายายรจไม่ใช่หลานผม..” “เป็นใครก็ไม่ได้ค่ะ ทำอย่างนี้ไม่ถูกหรอก เดี๋ยวดาต้องดุเสียบ้าง” “คุณดาครับ ฟังผมหน่อย” การุณย์พูดเรียบ ๆ “เด็กสองคนเป็นคนที่อยู่ในความดูแลของเราก็จริงอยู่นะครับ แล้วมิใช่ว่า ผมไม่ห่วงหลาน ยายรจนี่ก็เหมือนลูกสาวผมนั่นแหละ แต่สองคนนั่นโตกันแล้วนะครับ มีงานมีการกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่จะพากันเสียงานเสียการเมื่อไหร่” “แต่ว่า ถ้า หนูรจเกิดท้องขึ้นมาล่ะคะ” “ผมว่า เจ้าชายจะรับผิดชอบแน่นอนครับ” การุณย์พูดหนักแน่น กานดานั่งอึ้งมองหน้าการุณย์ “แต่หนูรจจะเสียชื่อเสียงนะคะ” “ก็มีบ้างครับ” การุณย์เสียงขรึม “แต่ก็ไม่ถึงกับคอขาดบาดตายนี่ครับ ยายรจเองก็ไม่ได้มีแฟนอะไร อันนี้ผมทราบดี เพราะยายรจยังอยู่กับผม เจ้าชายเองก็ไม่ได้มีพันธะอะไร” “แต่ว่า...” “เอางี้ซิครับ ผมถือว่าคุณดาขอจองยายรจไว้ให้เจ้าชาติชายเสียเลยดีไหมครับ” “ตายละ นี่ถ้าสองคนนั่นไม่ได้ชอบพอกัน ดาไม่โดนลูกชายกับหนูรจถอนหงอกเอาเหรอคะ” “งั้น คุณดาก็ใจเย็น ๆ รอดูไปก่อนดีกว่านะครับ ปล่อยให้เวลาทำงานของมันไป” “จะดีหรือคะ” “ดีซีครับ ผมว่าเรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า” การุณย์แย้มมุมปาก “เรื่องอะไรคะ คุณต้น” “เรื่องว่า ผมจะขอคุณดาแต่งงานนี่ ผมจะไปขอใครดีครับ” ขาดคำแก้มผ่อง ๆ ก็แดงซ่านขึ้นระเรื่อ “เอ อันนี้ ดาก็ไม่ทราบค่ะ” กานดาหลบตาคม ๆ คู่นั้น “คุณต้นว่าไงคะ” “อันที่จริง นายชาติชายเขาก็เอ่ยปากยกให้ผมแล้วนะ” “แน้.. ตาชายนั่นเป็นลูกดานะคะ จะมายกแม่ให้คุณได้ยังไง” ดวงตาคู่สวยฉายแววระยับ “งั้น ท่าทางผมคงจะอดแล้วซีครับ เพราะไม่รู้จะไปขอจากใคร” การุณย์ทำเสียงละห้อยหน้าสลดแล้วลุกขึ้นยืน กานดา ลุกขึ้นตามแล้วเดินตามการุณย์ที่ก้าวไปทางประตู “งั้นผมคงต้องลากลับแล้วครับ” “เหรอคะ” เสียงนั้นเจือแววสลดอย่างปิดไม่มิด “จะไม่ลองอีกหน่อยหรือคะ” การุณย์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “คุณต้นจำสมัยที่เรียนมัธยมไม่ได้หรือคะ” เสียงถามออกปนความอาย การุณย์ยังเลิกคิ้วค้าง “อันของสูง แม้นปอง ต้องจิต... ไม่คิด ปีนป่าย จะได้หรือ... ” เธอถามเสียงละห้อย “จำไม่ได้หรือคะ” การุณย์รวบร่างบางดึงเข้าหาตัว โอบกอดร่างนั้นที่โอนอ่อนผ่อนตัวเข้ามาในอ้อมกอด ก้มลงกดจมูกลงกับไรผมบนหน้าผาก นวลพร้อมกับสูดลมเข้าปอด “ผมเกรงแต่ว่า จะเอื้อมไม่ถึง เท่านั้น” การุณย์หอมไรผมนั้นสูดความหอมกรุ่นอีกครั้ง “ก็ลองเอื้อมเข้าซีคะ” เรียวแขนที่กอดเอวเขารัดแน่นเข้าพร้อมกับใบหน้างามแฉล้มเงยขึ้นสบตา แล้วดวงตาคม ๆ นั่น ก็พริ้มหลับลงเมื่อการุณย์ก้มลงประกบริมฝีปากลง กานดาวาบหวามด้วยความรู้สึกเต็มตื้นเมื่อริมฝีปากสัมผัสกันดุจดัง เด็กสาวแรกจุมพิต ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างพร้อมกับที่มือใหญ่แข็งแรงไล้ลูบไปทั่วแผ่นหลัง บัดนี้เธอจึงสำเหนียกว่าเธอโหยหาอ้อมกอดอันอบอุ่นเพียงใด อ้อมกอดนั้นส่งความรู้สึกแข็งแรงและมั่นคงประหนึ่ง หลักศิลาที่ตั้งมั่นให้เธอได้เกี่ยวเกาะด้วยความรู้สึกที่เธอรู้ว่าเธอจะปลอดภัยเสมอ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับวายุอันแปรปรวน หรือคลื่นลมที่ผันแปรซัดโถมเข้าใส่ การุณย์เองนั้นก็พลุ่งพล่านไปด้วยความตื้นตันและตื่นเต้นไม่แพ้กานดา ความรู้สึก ภายในไม่ได้ต่างจากที่ได้ประทับจูบแรกของชีวิต ร่างอ่อนนุ่มอบอุ่นที่อยู่ในอ้อมกอดช่างบอบบางเสียจนเขาแทบไม่กล้า จะกระชับอ้อมกอดด้วยเกรงว่าเธอจะเจ็บ ชีวิตที่อ้างว้างโดดเดี่ยวและโหยหาความอบอุ่นแห่งชีวิตไม่แพ้กานดานั้นเต็มขึ้น พลันด้วยความอบอุ่นของร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอด สองมือละจากกอดขึ้นมาประคองแก้มนวลไว้แล้วจูบประทับนิ่งนาน การุณย์ดึงหน้าออกเล็กน้อยจ้องเข้าไปในดวงตางามที่จ้องกลับ “คุณดา ช่วยมาเป็นกำลังใจให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของผม นะครับ” เสียงทุ้มนั้นนุ่มนวลและแฝงน้ำเสียงวอนขอร้อง อย่างไม่ปิดบัง “แล้วคุณต้น จะเป็นหลักให้ดาพิงได้ไหมคะ” ปากนุ่มแย้มตอบ การุณย์ประทับจูบเบา ๆ “ผมสัญญา...” กานดายิ้มแล้วเขย่งขึ้นจูบการุณย์แทนคำตอบ มือแข็งแรงปลดกระดุมเสื้อแบะออกเผยปทุมถันที่เบียดอัดห่อหุ้มด้วยเสื้อในสีเนื้อ มือนั้นลูบแขนเสื้อรูดออกอย่างแผ่วเบา แล้วดึงมันออกไปวางพาดเก้าอี้ด้านข้าง การุณย์ก้มมองมือเรียวที่ดึงชายเสื้อยืดโปโลของเขาออกแล้วดึงยกมันขึ้น เขา ยกแขนปล่อยให้กานดาดึงมันจนพ้นตัว เธอก้มลงจูบอกแข็งแรงอย่างคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอนั้นเบา ๆ เงยหน้า ขึ้นมองเมื่อการุณย์ก้มลงช้อนร่างขึ้นไปวางลงบนที่นอนอย่างทนุถนอมแล้วเอนร่างลงนอนเคียงก่อนพลิกขึ้นกอดแนบ เนื้อนวลรับความอุ่นจากเรือนร่างแข็งแรงจนซ่านไปทั้งร่าง ริมฝีปากประดับด้วยหนวดสั้น ๆ เกลือกลงมาบนยอดเนินถัน ที่พ้นจากการปกปิดของเสื้อชั้นใน ส่งความรู้สึกทั้งจักจี้ทั้งคันและทั้งวาบหวามแล่นไปทั่วร่างจนเธอยกแขนโอบศีรษะ ที่เกลือกแผ่วเบานั้นไว้ ริมฝีปากที่ประกบจูบเนินถันส่งความซาบซ่านแผ่ลามไปทั่วตัว ชั่วอึดใจกางเกงยีนส์ของเธอก็แบะอ้าและถูกมือนั้นดึงรั้งเธอลืมตาขึ้นมองลงไปในดวงตาของการุณย์พร้อมกับขยับตัว ให้เขาดึงมันพ้นไปจากตัว แล้วเธอก็พริ้มตาลงเมื่อใบหน้านั้นก้มลงสูดกลื่นกายที่หน้าท้องพร้อมกับเจ้าของมือเลื่อนมัน อ้อมมาที่ตะขอเสื้อยกทรงด้านหลัง เสื้อตัวน้อยเลื่อนหลุดไปปลดปล่อยถันงามอ่อนช้อยนุ่มนวลจากการปกปิด เต้าถันคล้อยตัวด้วยอายุที่มากขึ้นแต่ยังคงรูปทรงอวบอิ่มเต็มเต้า อวบอ่อนงอนช้อนปลายจะงอยเชิดชันขึ้นเป็นปุ่มปม ด้วยความรู้สึกและไอเย็นของอากาศที่ผัดลงมาประทบตัว สองมือแข็งแรงกอบมันเข้าประชิดแล้วเรียวปากนั้นก็เกลือก ลงทาบเนื้อเต้านวลจนกานดาต้องสยิวห่อไหล่ และแล้วปลายจะงอยปทุมก็โดนล้อมระกบด้วยความอุ่นนุ่มชุ่มชื้นของ ริมฝีปากและเนื้อนุ่มที่ไล้เลียดุนมันอย่างบรรจง เธออดไม่ได้ที่จะยกแขนขึ้นกอดศีรษะที่ก้มลงมาที่อกตนเองและ ยกอกแอ่นหลังดันปทุมเต้านวลขึ้นรับสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจ การุณย์ก้มลงดุนปลายจะงอยด้วยปลายลิ้นอย่างทนุถนอม ร่างงามที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นดุจดั่งรูปปั้นแก้วบางงาม ที่หาก เขาสัมผัสด้วยแรงก็เกรงว่าจะแตกสลายไปคามือ สัมผัสของนายพันเอกนั้นจึงแผ่วเบาละมุนอย่างบรรจงและทนุถนอม ฝ่ามือที่สัมผัสอาวุธนานามาจนหยาบกร้านนั้นไล้ลูบไปตามผิวผ่องนวล ประกบคลึงปทุมนุ่มมือ ไล้ข้างลำตัวเนียนลูบลงไป ที่เรียวเอวแล้วไปหยุดที่ขอบสะโพกผายทาบลงไปกับเนื้อสะโพกและขอบปราการสุดท้ายของกานดา เขากดมือลง แนบเนื้อแล้วปาดลงให้ของกางเกงตัวน้อยม้วนรูดลงต่ำแล้วเกี่ยวมันด้วยนิ้วมือรั้งดึงมันลงช้า ๆ สะโพกเนียนนั้นก็ขยับย้าย ยกลอยขึ้นให้เจ้ากางเกงตัวน้อยนั้นผ่านพ้นไป การุณย์ขยับตัวขึ้นดึงกางเกงตัวน้อยพ้นปลายเท้าเรียวแล้วหันกลับมา มองร่างงามดังรูปแกะสลักจากหยกขาวที่ทอดนอนอยู่ตรงหน้า ใบหน้ารูปไข่ตัดด้วยไรผมที่หยักลงตรงกลางหน้าผาก ขาวผ่อง แก้มอิ่ม ริมฝีปากนวลชุ่มฉ่ำเผยอจนเห็นไรฟัน คอเรียวลงรับกับลาดไหล่บาง ๆ ลงสูท่อนแขนเรียวแต่แน่นหนั่น ด้วยกล้ามเนื้อ เนินอกเต็มอิ่มรับปทุมถันอวบสองข้างที่ยกปลายเชิดขึ้นประดับด้วยปลายจะงอยสีคล้ำ เนื้อถันอวบส่ง เต้าลอยขึ้นก่อนจะลาดลงสู่หน้าท้องที่ขยับเขยื้อนขึ้นลงช้า ๆ ตามแรงหายใจ ลาดลงไปที่เนินเนื้อนุ่มปกคลุมด้วยไร ขนสลวยแผ่กระจายอย่างเบาบางจนมองทะลุลงไปเห็นกลีบเนื้ออิ่มที่เบียดประกบกัน สะโพกผายนวลเรียวลงกับท่อนขา แข็งแรงนวลผ่องลงไปจนถึงปลายเท้าคู่ที่ขยับไปมา การุณย์ดึงสายตากลับไปที่ดวงตาคู่งามที่จ้องตอบนิ่ง กานดาจับตามองชายกลางคนที่ขยับตัวลุกขึ้นยืนด้านข้างเพื่อจัดการกับตัวเอง เขาปลดกางเกงแล้วดันมันลงไปกองกับพื้น อย่างไม่เร่งร้อน ขยับตัวจนหมันหลุดออกไป ด้านบนหน้าอกแข็งแรงที่เธอเพิ่งจะได้สัมผัสไปนั้นยังมีกล้ามเนื้อขึ้นจนเห็น ได้ฃัดเจน หน้าท้องแบนราบลาดต่ำลงไปจนถึงไรขนที่โผล่พ้นขอบกางเกงในสีดำนั้น เธอจับตามองมือแข้งแรงที่รูดดัน กางเกงในลงแล้วยืดตัวขึ้นยืน องคาพยพแห่งชายผู้นั้นตั้งลำผงาดขึ้นจากพงขนหยาบหนา ลำตัวอวบพาดพันด้วยเส้นเลือด สลับไปมาโป่งขึ้นจนน่าสยดสยอง มันตั้งตรงจากโคนงอนน้อย ๆ ขึ้นไปสู่ส่วนปลายที่เบ่งพองบานออก บัดนี้มันพองตัว เป็นจังหวะจนส่วนปลายเรียบที่โผล่พ้นผิวหนังบาง ๆ ออกมานั้นแดงก่ำด้วยเลือดที่สูบฉีดเข้าไปในลำลึงค์ ร่างแข็งแรงนั้น ทอดตัวลงเคียงเธอจนแนบร่างนวล ความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาพลิกตัวเข้ากอดแนบ เต้าอวบเบียดชิดกับ อกแข็งแรง ท่อนขานั้นก็เกี่ยวก่ายข้ามขานุ่ม ลำเนื้อท่อนนั้นกดสัมผัสกับต้นขาเธอจนรู้สึกถึงอาการพองตัวของมัน เป็นจังหวะ มือแข็งแรงนาบลงกับเนินเนื้อแล้วลูบเน้นลงกับรอยประกบ เธอซ่านขึ้นมาทั้งตัวเมื่อนิ้วเรียวแข็งนั้นเบียดร่อง แบะออกแล้วแทรกเข้ามาสัมผัสเนื้อนุ่ม หน้าเนินร้อนผ่าวเต้นตุบ ๆ ขับหลั่งหยาดน้ำออกมาริน ๆ การุณย์จูบเรียวปากอิ่มนั้น อีกครั้งแล้วจ้องตาคู่งามนั้นขณะที่พลิกตัวขึ้นทาบแทรกลงกับเรียวขาที่เปิดออกรับเข้าอย่างเต็มใจ ดุจดั่งนายช่างใหญ่ที่กำลังประกอบเครื่องยนต์เข้าที่ เขาจับประคองลูกสูบตันไว้ขณะที่ไล้มือลงกับกระบอกสูบไล้น้ำมัน หล่อลื่นไห้ทั่ว ๆ แล้วปาดป้ายมันมาไล้ลูกสูบด้วย การจะสอดลูกสูบเข้าที่นั้น ถึงแม้นายช่างจะมีความชำนาญอยู่แล้ว แต่ ก็ยังต้องทำอย่างระมัดระวัง นายช่างประคองหัวลูกสูบจรดเข้ากับกระบอกสูบแล้วค่อย ๆ ขยับมันซ้ายขวาเล็กน้อย เพื่อ ให้ลูกสูบตัน ๆ นั้นตรงกับกระบอกสูบ แล้วค่อย ๆ ดันลูกสูบเข้าทีละนิด ลูกสูบใหม่กับกระบอกสูบนั้นถึงแม้จะพอดีกันอยู่ แต่ก็ใหม่จนแทบจะคับแน่น นายช่างต้องขยับกระบอกสูบนั้นทั้งซ้ายทั้งขวาทั้งเดินหน้าถอยหลัง ในตอนแรกนั้นมันเหมือน จะใหญ่คับกระบอกสูบจนแทบใสเข้าไม่ได้ แต่แล้วเมื่อขยับมันอีกหน่อยเจ้าลูกสูบนั้นได้รับความลื่นจากน้ำมันเครื่องที่ ไล้อยู่ก็เริ่มเบิกทางเข้าสู่กระบอกสูบได้ทีละน้อย นายช่างใหญ่ค่อย ๆ ขยับมันไปมาอย่างใจเย็นจนลูกสูบนั้นค่อย ๆ เคลื่อนเข้ากระบอกสูบลึกลงไปทีละนิด จวบจนนายช่างใหญ่ดันยอดลูกสูบผลุบเข้าในกระบอกสูบได้ก็หยุดยั้งชั่วขณะ ขยับก้านลูกสูบช้า ๆ ให้ลูกสูบนั้นขยับตัวให้ถนัด จากนั้นนายช่างใหญ่ก็ค่อย ๆ ขยับลูกสูบชักเข้าออกเป็นจังหวะช้า ๆ อย่างนิ่มนวล ค่อย ๆ สอดมันลึกลงไปในกระบอกสูบมากขึ้นจนกระทั้งลูกสูบตัน ๆ นั้นผลุบหายเข้าไปจนเรียบร้อย ยามนี้แก่นเนื้ออวบแล่นเข้ามาจนเต็มแน่นตัวเธอจนเสียวไปทั้งตัว ความอบอุ่นที่ห่างหายไปถาโถมเข้ามาจนเต็มตื้น กานดากอดรัดร่างแข็งแรงในอ้อมกอดด้วยความสุข เมื่อเข้าเริ่มขยับตัวแก่นเนื้อที่เธอครอบครองนั้นก็ขยับเขยื้อน เคลื่อนไหว ช่วงแรกมันก็ขยับไปมาเพียงแช่มช้าส่งความรู้สึกที่มันเองเคลื่อนผ่านไปมาจนซ่านไปทั้งตัว ความสุขเริ่ม แผ่ขยายดุจดอกไม้ที่เบ่งบานในตัวเธอเมื่อจังหวะของเขาเริ่มเร้าเร่งขึ้น สะโพกงามขยับเขยื้อนเคลื่อนรับความสุขนั้น อย่างเต็มใจ เรียวขากระหวัดรัดร่างแข็งแรงนั้นไว้อย่างหวงแหนดุจจะไม่ยอมให้ร่างนั้นผละจากออกไปได้ เธอหายใจ แรงขึ้นด้วยแรงผลักแห่งอารมณ์สมสุขที่หลั่งขึ้นท่วมตัว ยกแขนเรียวขึ้นกอดรักพร้อมกับยื่นหน้าขึ้นประกบจูบกับชาย อันเป็นที่รัก ในขณะที่ร่างกายบอกตนเองว่าความสุขอันท่วมท้นกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยจังหวะอันเร่งเร้า กระชั้นถี่ของร่างแข็งแรงในอ้อมกอด ความรู้สึกยามนี้เหมือนน้ำหนักร่างกายค่อย ๆ กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เนื้อตัวร้อนผ่าวด้วยความเสียวที่รุมเร้าเร่งจนเธอไม่อาจควบคุมร่างให้อยู่ในบังคับ สมองลั่นด้วยแรงซ่านที่ระเบิดออก จากแก่นกลางกายด้วยความร้อนผ่าวที่พุ่งทะยานเข้ามา กลุ่มความร้อนนั้นพุ่งเข้ามาปะทะกับกายเธอแล้วแผ่กระจาย ออกอย่างรวดเร็วจนร่างอวบงามเกร็งสะท้านดั่งโดนกระแสไฟฟ้า สายตาพลันดับมืด ร่างกายสั่นสะท้านเบาหวิว ใจเต้นระรัว แล้วความรู้สึกต่อมาดังร่างเธอระเบิดออกไปในอากาศ ริมฝีปากผ่องร้องครางผสานเสียงทุ้มต่ำของเขา ยามเมื่อสองวิญญาณผสานกันจนเป็นหนึ่งเดียว แสงแดดอ่อนสาดช่องผ่านผ้าม่านหน้าต่างที่ปิดไว้กึ่งหนึ่งนั้นลงมายังสองร่างกอดก่ายกันอยู่แนบสนิท กานดาลืมตาขึ้น อย่างงัวเงียเพื่อพบกับสายตาอีกคู่หนึ่งที่จับจ้องมองเธอ แววตานั้นฉายแววแห่งความสุขสมหวังและความลุ่มหลงอย่างที่ เจ้าตัวไม่คิดจะปกปิด “มองอะไรคะ” เธอเอ่ยถามอย่างเอียงอายเมื่อตระหนักว่าร่างอันเปลือยเปล่าของเธอยังโดนร่างของเขากอดอยู่ “มองของสูงครับ” เขาบอกเบา ๆ แต่หนักแน่น “ของสูงที่ผมเอื้อมมือขึ้นไปถึงได้แล้ว” “ก็เพิ่งจะลองเอื้อมนี่คะ มัวแต่กลัวอยู่นานกระมังคะ” กานดาหอมแก้มสาก ๆ นั้นเบา ๆ แย้มยิ้มอย่างสุขใจ “เพิ่งจะกล้าแหละครับ” เขาตอบแล้วหอมแก้มนวล “แต่จากนี้ ผมจะมีของสูงนี่เป็นขวัญชีวิตของผมตลอดไปแล้วครับ” “ค่ะ” กานดากระชับอ้อมกอดเข้าอีกรับกับสัมผัสของวงแขนที่แข็งแรงนั้นอย่างอิ่มใจ

ไม่มีความคิดเห็น: