ขายของ

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

ศึกสองนางพญา ตอนที่ 20 เผชิญนักพรตหื่นกาม

 
 
แนเสี่ยวเชี่ยนและเฟยจินเอ๋อแยกย้ายประคองเจาเหยินกงจู้ เด็กหญิงซุกซนเป่าเอ๋อคอยคุ้มครองเตลิดสู่ทุ่งรกร้าง จากนั้นก็หยุดพัก หยิบเสื้อคลุมยาวของเหวียนยั่วเฟยจากห่อผ้าแบ่งให้พวกกงจู้ทั้งสามสวมปิดร่างที่เปล่าเปลือย
พลันได้ยินเสียงฝีเท้าไล่หลัง ทั้งหมดพอเหลียวหน้าไป เห็นเหวียนยั่วเฟยถือพัดจีบ วิ่งปราดมาสมทบ
เป่าเอ๋อร้องเรียก “นายน้อย” ผละจากกงจู้ทั้งสามวิ่งถึงข้างกายเหวียนยั่วเฟย ขณะนั้นเสียงผีเท้าดังขึ้นอีก ที่แท้เป็นแม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจือกับศิษย์ชงยี้ตามมาสมทบ
เฟยจินเอ๋อลอบมองใบหน้าของชงยี้ พวงแก้มเป็นสีแดงซ่าน รู้สึกบุรุษผู้นี้ช่างงามสง่าต่างจากบุรุษอื่น วงหน้าของชงยี้ถึงกับสวยหวานจนคล้ายสตรี อายุก็ราวจะอ่อนเยาว์กว่าตัวเองถึงสองสามปี หัวใจต้องเต้นระทึกอย่างไม่ทราบสาเหตุ ชงยี้เห็นนางมองมาก็มองตอบพร้อมกับส่งยิ้มอันชวนลุ่มหลงให้ เฟยจินเอ๋อถึงกับหลบตาด้วยความอาย
ยามนั้นแนเสี่ยวเชี่ยนพลันประสานมือกล่าวว่า
ขอบคุณท่านทั้งสี่ที่ช่วยเหลือ มิทราบพวกท่านมีนามใด”
ชงยี้ประสานมือคารวะตอบ
ข้าพเจ้าคือเอี้ยชง ส่วนอาจารย์ของข้าพเจ้าคือ แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อ”
ทั้งหมดอุทานดังอา แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อมีชื่อเสียงลือลั่นอยู่ในยุทธจักร พลังฝีมือสูงล้ำจนไม่อาจคำนวณ ดูจากรูปโฉมที่งามสะคราญกลับมีอายุไม่มากอย่างที่คิด ทุกคนรีบคารวะ จากนั้นเหวียนยั่วเฟยก็แนะนำตัวเอง
ข้าพเจ้าคือเหวียนยั่วเฟย ส่วนเด็กซุกซนนี้คือเป่าเอ๋อ”
ที่แท้คือกระบี่ดอกท้อ เราขอแนะนำต่อพวกท่าน ท่านนี้คือองค์หญิงเจาเหยิน ส่วนข้าพเจ้าคือแนเสี่ยวเชียน น้องผู้นั้นคือเฟยจินเอ๋อ”
เจาเหยินกงจู้ยกมือปลดแพรคลุมหน้าลงมา วงหน้าอันงามพิลาศล้ำ จึงปรากฏแก่สายตาของทั้งหมดชัดเจน
เหวียนยั่วเฟยกับเอี้ยชงล้วนประสานมือคารวะ
น้อมพบองค์หญิงเจาเหยิน” หยุดเล็กน้อยจึงถามว่า “ผู้ที่พวกท่านคิดลอบสังหารนั้นเป็นใคร”
แนเสี่ยวเชี่ยนกล่าวว่า
เป็นเฉาฮั่วฉุน”
เหวียนยั่วเฟยตาสาดประกายวูบ กล่าวว่า
น่าเสียดายนัก ข้าพเจ้าหากทราบแต่แรกว่าเป็นมัน จะไม่ปล่อยปละละเว้นมันแล้ว”
เอ่ยถึงตอนนี้ กวาดมองเจาเหยินกงจู้แวบหนึ่ง ส่วนเอี้ยชงนั้นไม่เอ่ยปากอะไรเอาแต่จ้องหน้าแดงซ่านของเฟยจินเอ๋อ ซึ่งปกติเฟยจินเอ๋อจะเป็นคนช่างพูด แต่ยามนี้เอาแต่เงียบปล่อยให้แนเสี่ยวเชี่ยนเอ่ยปากแต่เพียงผู้เดียว แม่ชีเทพยดาเช็งเซียนจื้อสังเกตุเห็นท่าทีของทั้งคู่ ต้องขมวดคิ้วส่ายหน้าช้าๆแล้วกล่าวว่า
องค์หญิงพวกเรา มีเรื่องต้องกระทำ ขออำลา”
เจาเหยินกงจู้เอ่ยคำ “เชิญ” เหวียนยั่วเฟยก็ประสานมือต่อเจาเหยินกงจู้เพื่ออำลาด้วย
องค์หญิงเชิญ”
เจาเหยินกงจู้ก้มศีรษะเล็กน้อย ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันจากไป
เจาเหยินกงจู้ใช้สายตาส่งเหวียนยั่วเฟยจนลับตา ไม่ทราบเพราะเหตุใด จิตใจบังเกิดความอ้างว้างเลื่อนลอยชนิดหนึ่ง

............................................................. .
ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับของฟ้า เช็งเซียนจื้อกับเอี้ยชงสองอาจารย์กับศิษย์จูงม้าเดินไปตามท้องถนน
ทั้งสอง หนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มอายุเยาว์หน้างดงามหวานราวกับสตรี ท่าทีสำรวมเรียบร้อยดุจดั่งบัณฑิตคงแก่เรียน หนึ่งสวมชุดจีวรสีขาวนวล เค้าหน้าหมดจดงามสะคราญปานหยาดฟ้า ทุกส่วนสัดของรูปกายบ่งบอกความนุ่มนวลปราณีแต่เปี่ยมราศีสูงสง่า บุคลิกสูงล้ำราวกับนางเซียนน่าเลื่อมใส ทั้งสองเดินทางเข้ามาในเมือง ทำให้ผู้ที่สัญจรต่างหยุดเท้าเหลียวหน้ามาจ้องมองด้วยสายตาอันชื่นชมใคร่คบหา
มาถึงโรงเตี๊ยม ทั้งสองตกลงใจเข้ามาอาบน้ำชำระกายในห้องเสียก่อน ดังนั้น มอบม้าให้แก่ผู้รับใช้ที่มาต้อนรับ แล้วเดินเข้าประตูโรงเตี๊ยม ห้องพักของทั้งคู่อยู่ติดกัน เมื่อจัดเก็บสัมภาระและอาบน้ำอุ่นเสร็จแล้วก็ลงมารับประทานอาหารที่เหลาชั้นล่าง เซี่ยวยี่(ผู้รับใช้)เห็นบุรุษหนุ่มสวมเสื้อผ้าราคาแพง และแม่ชีหน้าตาเปี่ยมราศีผิดแปลกไปจากนักสู้ผู้ห้าวหาญ จึงลนลานต้อนรับเชิญไปนั่งในส่วนที่จัดเป็นที่นั่งชั้นพิเศษ
ขณะนั้นที่เหลาสุรา มีผู้คนนั่งสนทนาจนเซ็งแซ่ต่างเงียบงันทันที เงียบงันจนไม่มีสุ้มเสียงสำเนียงใด คล้ายดั่งจับตามองดูผู้มาใหม่ เอี้ยชงเชิญอาจารย์ไปนั่งที่โต๊ะริมระเบียง แล้วจึงสั่งอาหารเจกับเซี่ยวยี่ ยามนั้นคนทั้งปวงในเหลาจึงได้ยกถ้วยสุราดื่มกินกันเป็นโกลาหลอีกครั้ง
เมื่อเซี่ยวยี่เดินออกไป เอี้ยชงจึงลอบสังเกตบรรดาผู้ที่นั่งตามโต๊ะต่างๆ สายตาไปสะดุดอยู่ที่โต๊ะด้านหลังไม่ห่างกันนัก มีนักพรตสองคนที่มีอายุสูงวัยกว่าสี่สิบปี นักพรตคนแรกผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก หน้าเสี้ยมคางหลิมตาลุกโพลง คนที่สองคิ้วหนาตากลมจมูกแบนใหญ่ ปากกว้าง มีหนวดกระจุกน้อยปกคลุม ใบหน้าเหี้ยมโหดอำมหิต บอกลักษณะชั่วร้ายเลวทรามอย่างเห็นได้ชัด ต้องขมวดคิ้วด้วยความชิงชังรังเกียจ
ยามนั้น เช็งเซียนจื้อกล่าวว่า
ชงยี้ เมื่อกลางวันอาจารย์เห็นเจ้าเอาแต่จ้องมองแม่นางเฟยจินเอ๋อ เจ้าใช่สนใจนางหรือไม่”
เอี้ยชงได้ยินอาจารย์ถามตรงๆก็หน้าแดงฉาน ลนลานตอบว่า
อาจารย์ ศิษย์..เปล่า”
เช็งเซียนจื้อเห็นท่าทีของเอี้ยชง ก็กล่าวเสียงเครียดว่า
เอี้ยชง พวกเรามีภารกิจสำคัญต้องทำ หากเจ้าเริ่มต้นก็ลุ่มหลงในสตรี จะเป็นอุปสรรคต่องานของเรา”
เอี้ยชงก้มหน้ากล่าว
อาจารย์ ชงยี้ทราบแล้ว ชงยี้จะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังเป็นอันขาด”
เช็งเซียนจื้อค่อยมีสีหน้านุ่มนวลปราณี กล่าวว่า
เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว เจ้ายังมีอายุน้อย ยังจะได้พบปะกับโกวเนี้ยรูปงามอีกมาก เมื่อเสร็จเรื่องอาจารย์จะไม่บังคับเข้มงวดกับเจ้าอีก”
เอี้ยชงรับคำ ยามนั้นผู้รับใช้ก็เอาอาหารเจมาส่ง ทั้งสองต่างค่อยๆกินกันอย่างเงียบๆ ขณะกำลังรับประทานอาหารนักพรตผอมซูบหน้าตาอัปลักษณ์ก็เดินเข้ามาหา พร้อมกับกล่าวเสียงแหบห้าว
แม่นางน้อยท่านนี้สวยงามนัก ไฉนไปบวชเป็นชีเสียเล่า”
เอี้ยชงได้ยินมันกล่าวแฝงความหมายลวนลามก็บันดาลโทสะ ขณะจะอาละวาด เช็งเซียนจื้อพลันส่ายหน้ายับยั้งไว้ แล้วกล่าวกับนักพรตเสียงนุ่มนวลว่า
ท่านเป็นนักบวช มากล่าววาจาเช่นนี้ มิกลัวจะเป็นราคีเสื่อมความเคารพของคนทั่วไปดอกหรือ”
นักพรตผอมซูบยิ้มอย่างโฉดชั่วลามก กล่าวต่ออย่างคึกคะนองว่า
เรามีปากอันไม่สะอาด ฟันที่ไม่บริสุทธิ์ แม่ชีน้อยมีหน้าตางามสะคราญทำให้เราสองเท้าอ่อนระทวยมิอาจจะเดินเหินได้ แม่ชีนางงาม ให้เราร่วมโต๊ะกับท่านดีหรือไม่”
เช็งเซียนจื้อขมวดคิ้ว นางมีอายุไม่น้อยแล้ว แต่เนื่องจากมีลมปราณบริสุทธิ์สูงล้ำ ทำให้ใบหน้าคงสภาพเนียนเต่งตึงผ่องใสคล้ายดรุณีวัยยี่สิบเศษ ซ้ำยังแฝงราศีสูงส่ง นักพรตทุศีลเห็นผิวเนื้อที่ขาวเนียนละเอียดประดุจหยกขาว แก้มเป็นสีแดง ระเรื่อ ครั้นกวาดตามองต่ำลงไปก็เห็นลำคอที่ขาวสะอาด ทรวงอกที่อวบอูม ถึงกับลุ่มหลงในความงาม กล่าวเสียงหื่นว่า
แม่ชีนางงามออกบวชตั้งแต่อายุน้อย ช่างน่าเสียดายนัก มิสู้สึกออกมาแต่งงานกับเราเถอะ”
เอี้ยชงมาตรแม้นพยายามข่มกลั้นใจให้เยือกเย็น แต่เมื่อได้ยินวาจาหยาบช้าลามกก็ต้องขุ่นเคืองจนสั่นระริกหน้าตาเขียวคล้ำ จนใจที่อาจารย์ห้ามไม่สามารถอาละวาดออกมาได้
ยามนั้นเช็งเซียนจื้อร้อง อมิตพุทธ แล้วกล่าวว่า
เต้าเฮียพร่ำกล่าวเหลวไหลเช่นนี้ ระวังจะต้องได้รับโทษทัณฑ์จากฟ้าดิน ถูกอัปเปหิเข้าสู่ขุมนรก ขอเชิญท่านกลับไปที่โต๊ะของท่านเถิด”
นักพรตผอมซูบหัวร่อฮาฮากล่าวว่า
แม่ชีน้อยจะให้เต้าเอี้ยลงนรก แต่เต้าเอี้ยจะพาแม่ชีน้อยขึ้นสวรรค์ต่างหาก ฮาฮา ผิวของแมชีน้อยขาวละลานตา ให้เต้าเอี้ยทดลองดูว่าเนื้อนุ่มเพียงใด”
พูดจบก็ยื่นมือเข้าหา เช็งเซียนจื้อขมวดคิ้ว ยื่นสองนิ้วเข้าใส่ นักพรตผอมซูบพลันเบี่ยงมือเข้าหาทรวงอกอันอวบอูมอย่างหยาบช้า เอี้ยชงตวาดด้วยโทสะขณะจะสอดมือเข้าขัดขวาง มิคาดสองนิ้วของเช็งเซียนจื้อพลันพลิกแตะที่ข้อมือแห้งเล็กของนักพรตโฉด ได้ยินเสียงดังกร๊อบ พร้อมกับเสียงร้องโอดโอยโหยหวน

โอ๊ยยยยย นังชีโสโครก เจ้า...”
นักพรตจมูกแบนใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างหลัง ได้ยินเสียงนักพรตผอมซูบร้องเสียงดัง ก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะเดินเข้ามา
ซือตี๋(ศิษย์น้อง) เกิดอะไรขึ้น”
นักพรตผอมซูบข่มความเจ็บปวด ชี้ไปที่เช็งเซียนจื้อแล้วกล่าวว่า
ซือเฮีย(ศิษย์พี่) นังชีโสโครกนี่หักข้อมือเรา”
นักพรตจมูกแบนรู้สึกเดือดดาลและตกใจ นักพรตผอมซูบมีพลังฝีมือแตกต่างจากตนไม่มาก คาดไม่ถึงว่าจะถูกแม่ชีน้อยรูปงามหักข้อมืออย่างง่ายดาย ขณะจะอาละวาดพลันเห็นแส้ปัดของเช็งเซียนจื้อวางอยู่บนโต๊ะก็หน้าถอดสี น้อมตัวคารวะเช็งเซียนจื้อแล้วกล่าวว่า
ขออภัยไต้ซือ ซือตี๋เราไม่รู้ความกล่าววาจาผิดพลาด ขออำลา”
นักพรตผอมซูบร่ำร้องว่า
ซือเฮีย”
นักพรตจมูกแบนส่ายหน้าไม่ให้พูด แล้วรีบดึงแขนนักพรตผอมซูบเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป
เอี้ยชงเดือดดาลจนตัวสั่นระริก
อาจารย์ นักพรตทุศิลเช่นนี้ ทำไมไม่ฆ่ามันทิ้ง”
เช็งเซียนจื้อร้องสรรเสริญพุทธคุณแล้วกล่าวว่า
บาปกรรม บาปกรรม ชงยี้ไฉนจึงกล่าววาจาดุร้ายถึงเพียงนี้”
มันกล่าววาจาลามกลวนลามอาจารย์ แม้นไม่ฆ่าทิ้ง อย่างน้อยก็สมควรตัดมือมันเป็นการสั่งสอน ไม่ไห้ไปเกาะแกะลวนลามสตรีอื่นอีก”
เช็งเซียนจื้อส่ายหน้ากล่าวว่า
เพียงกล่าววาจาผิดหูก็ถูกฆ่าถูกตัดมือ หากเป็นเช่นนี้ชงยี้เจ้าไยมิใช่ต้องเข่นฆ่าจนเลือดนองแผ่นดินหรือ”
เอี้ยชงมีสีหน้าไม่ยินยอม เช็งเซียนจื้อกล่าวต่อว่า
ชงยี้ เราหักข้อมือมันก็ถือเป็นการให้บทเรียนแล้ว เจ้ามีอารมณ์ร้องแรง หากไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ฆ่าฟันคนอย่างง่ายดาย ก็จะสร้างบาปกรรมไม่รู้จักจบสิ้น ต่อไปอย่าได้คิดอย่างนี้อีก”
ศิษย์ทราบแล้ว อาจารย์”
เช็งเซียนจื้อเห็นเอี้ยชงรับคำ แต่ท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ก็ถอนใจ ทั้งสองกินอาหารกันอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เรียกผู้รับใช้มาเก็บเงิน แล้วพากันขึ้นห้องพัก

ไม่มีความคิดเห็น: