เหล่าองครักษ์เสื้อแดงรับคำดังกระหึ่ม จัดรูปขบวนอย่างรวดเร็ว ขบวนแรกถือดาบวาววับ แถวที่สองถือทวนพู่แดง แต่ละแถวประกอบด้วยหัวหน้าองครักษ์ผู้หนึ่ง และองครักษ์ชุดแดงอีกหลายคน
เสียงตวาดดังสับสน ขบวนดาบแถวแรกดาหน้าเข้าหาเจาเหยินกงจู้ทั้งสาม ตวัดดาบฟาดฟันใส่
เจาเหยินกงจู้สะบัดกระบี่คู่มือ นำนางกำนัลคู่ใจทั้งสองรับมือศัตรู ขณะจะเร่งมือฆ่าฟัน พลันได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะลมเร่งร้อน ขบวนทวนกระโดดลอยตัวเข้ามาแทนที่ กวัดแกว่งทวนยาวจู่โจมใส่พวกนาง
ขบวนดาบชุดแรกพากันถอนกำลังไป ปล่อยให้ขบวนทวนรุกไล่เจาเหยินกงจู้ทั้งสามแทน
ที่แท้พวกมันใช้กลยุทธผลัดเปลี่ยนกันกลุ้มรุมหวังให้กงจู้ทั้งสามสิ้นเรี่ยวแรงไปเอง ยังโชคดีที่นางกำนัลทั้งสองเนื้อตัวเปล่าเปลือยโลดแล่นอยู่ในวงทหาร ยามเคลื่อนย้ายปทุมถันไหวกระเพื่อม ช่วงขาที่เรียวงาม ตลอดจนโคกสวาทที่เต็มไปด้วยขนหมอยสีดำที่หว่างขาทำให้บรรดาเหล่าทหารเสียสมาธิไม่สามารถเผด็จศึกได้โดยเร็ว แถมยังถูกพวกนางสังหารเหล่าองครักษ์ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
หัวหน้าองครักษ์ใหญ่บรรดาโทสะ ตวาดว่า
“นางโสโครกทั้งสาม เอาเปรียบแก้ผ้าต่อสู้ทำให้บิดาเสียสมาธิ พวกเราถอดเสื้อผ้าออกสู้กับนางโสโครกเถิด”
เสียงรับคำดังกระหึ่ม บรรดาทหารที่รายล้อมพากันเปลื้องเสื้อผ้าออก แล้วผลัดเปลี่ยนกันจู่โจม ทหารชุดแรกก็ถอนตัวออกมาเปลื้องเสื้อผ้าจนเปล่าเปลือยล่อนจ้อนเช่นกัน
นับเป็นการต่อสู้ที่พิสดารที่สุดเท่าที่เคยมีมาในยุทธจักร! เหล่ากงจู้ทั้งสามเปลื้องผ้าต่อสู้จำเดิมก็อับอายอยู่แล้ว ครั้นเห็นทหารพวกนี้เปลื้องผ้าอย่างน่าไม่อาย ลำทวนที่หว่างขาของพวกมันยามเคลื่อนไหวก็กวัดแกว่งโทงเทงไปมา ของบางคนตั้งลำใหญ่ราวกระบอกไม้ไผ่ก็กระอักกระอ่วน จะหลบสายตาก็ไม่กล้า เพราะอาวุธของพวกมันฟาดฟันเข้ามาตลอดเวลา สถานการณ์กลับแปรเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม เพลงกระบี่ของสองนางกำนัลเริ่มสะเปะสะปะ ส่อแววพ่ายแพ้ให้เห็น หัวหน้าองครักษ์ผู้หนึ่งหัวเราะชอบใจ
“นังโสโครก หากไม่วางกระบี่ ร่างยั่วยวนกวนสวาทของพวกเจ้าทั้งสามคงต้องถูกบิดาฟันเป็นหมื่นๆชิ้นแล้ว” มันพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างหยาบช้าลามก
“เพ้ย! เจ้าชาติสุนัข หากสังหารเจ้าไม่ได้เราไม่ขอเป็นคน” แนเสี่ยวเชี่ยนตวาดอย่างโกรธจัดโถมเข้าหา กองทวนพลันขยับสอดเข้าแทนที่ทำให้นางไม่สามารถรุกคืบหน้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว
ภายใต้กลยุทธผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจู่โจมเช่นนี้ เห็นแน่ชัดว่าเจาเหยินกงจู้ทั้งสามต้องถูกคุกคามจนเหน็ดเหนื่อยสิ้นเรี่ยวแรงเพลี่ยงพล้ำตกเป็นเชลยแน่แล้ว
ในเสียงปะทะอาวุธเร่งร้อน พลันบังเกิดเสียงชายเสื้อปะทะลมดังขึ้นเหนือศีรษะ คนชุดดำผู้หนึ่งกถือดาบแวววับ กระโดดลงจากยอดไม่ข้างเคียง ทิ้งตัวลงที่ด้านหลังเหล่าองครักษ์ จากนั้นกระโดดลอยตัวอีกครา
หัวหน้าองครักษ์ผู้หนึ่งฟาดฟันดาบเข้าสกัด คนผู้นั้นพลันหยั่งเท้าแตะคันทวนด้ามหนึ่ง พลิกตัวตีลังกาหลบหลีกจากคมดาบ ร่างลอยลิ่วพลิ้วขึ้นบนฟ้าดุจปุยนุ่น พอดีทิ้งตัวลงที่เบื้องหน้าเจาเหยินกงจู้ นับเป็นสุดยอดวิชาตัวเบาที่สวยงามน่าดูอย่างยิ่ง
คนพอยืนหยัดจึงเห็นเป็นบุรษหนุ่มหน้าตมคมสัน คิ้วเรียวยาว ประกายตาเจิดจ้าบ่งบอกถึงวิทยายุทธที่สูงล้ำ
พลันได้ยินเสียงสดใสดังขึ้นว่า
“ชงยี้ ช่วยเหลือพวกนางออกมา”
คนทั้งหมดหันไปทางต้นเสียง เห็นเป็นแม่ชีสวมชุดขาวถือแส้ปัด ใบหน้างดงาม บุคลิกสูงล้ำจนสุดพรรณนา ก็ตกตะลึงหยุดมืออย่างลืมตัว
บุรุษชุดดำได้ยินก็รับคำ ตวาดใส่บรรดาทหารเปลือย
“ได้ยินหรือไม่ หลีกทางให้เราจะได้ไม่ต้องฆ่าฟันให้เป็นบาปกรรมต่อกัน”
องครักษ์ตวาดด้วยโทสะพาขบวนดาบฟาดฟันใส่ บุรุษชุดดำที่ถูกเรียกว่าชงยี้ร่ายรำดาบเข้าปะทะ เห็นประกายทวนแปลบปลาบ ชงยี้ตวัดดาบต้านปะทะคมทวน หมุนคว้างเข้าประชิดใกล้ พลิกตัวข้ามกลางหลังองครักษ์ชุดแดงผู้นั้นไป ปาดดาบวูบก็เชือดคอหอยองครักษ์ชุดแดงนั้นขาดสะบั้น
เจาเหยินกงจู้เห็นเหล่าทหารแตกฮือ ก็ลอยตัวคุมกระบี่เข้าหาเฉาฮั่วฉุนอีกครา
นางตั้งใจว่าต้องปลิดชีวิตขันทีโฉดผู้นี้กับมือให้จงได้
แม่ชีบุคลิกสูงล้ำผู้นั้นพลันตวาดว่า
“แม่นางน้อย ทำไม่ได้!”
ทว่ากระบี่เหินหาวของกงจู้พุ่งวาบดุจดาวตก แทงใส่ทรวงอกเฉาฮั่วฉุนอย่างแม่นยำ
มิคาดกระบี่นี้คล้ายแทงใส่ศิลาแลงอันแข็งแกร่ง เจาเหยินกงจู้กลับไม่อาจทิ่มแทงทำร้ายเฉาฮั่วฉุนได้!
เฉาฮั่วฉุนเกร็งกำลังภายในอึดหนึ่ง ตวัดสองมือวูบเจาเหยินกงจู้ก็ถูกกระแทกปลิวลิ่วไปดุจว่าวขาดป่าน จากนั้นเฉาฮั่วฉุนก็โถมทะยานตามหวังฟาดนางให้ตายในฝ่ามือเดียว พลันแม่ชีบุคลิกล้ำก็กระโดดเข้าขวาง ร่างอ้อนแอ้นพลิ้วเข้าใส่อย่างรวดเร็ว แส้สะบัดฟาดเข้าใส่ใบหน้าอ้วนฉุ เฉาฮั่วฉุนตวาดเสียงดังสะบัดฝ่ามือเข้าใส่ เสียงระเบิดดังกึกก้อง ร่างอ้วนฉุของเฉาฮั่วฉุนถูกฟาดลอยกลับอย่างรวดเร็ว ส่วนร่างอ้อนแอ้นของแม่ชีบุคลิกล้ำก็ลอยขึ้นไปบนต้นไม้ เท้าน้อยๆของนางเหยียบบนกิ่งไม้เล็กๆดีดตัวพุ่งกลับเข้าหาเฉาฮั่วฉุนอีกครั้งด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าเดิม
ฝ่ายเจาเหยินกงจู้ที่ปลิวลิ่ว เห็นแน่ชัดว่าต้องร่วงฟาดกับพื้นบาดเจ็บสาหัส พลันปรากฏเงาสีขาวสายหนึ่งสาดพุ่งจากด้านข้าง ยื่นมือขวาปราดออก ก็ประคองร่างอ้อนแอ้นของเจาเหยินกงจู้ไว้ ก่อนที่นางจะตกถึงพื้น
เจาเหยินกงจู้ระงับขวัญอันแตกตื่น พอเงยหน้าขึ้นก็ประสานสบกับสายตาที่เจิดจ้าดุจสายฟ้า และรอยยิ้มที่เฉื่อยชาไม่อนาทร
ผู้ที่ประคองนาง กลับเป็นบุรุษหนุ่มชุดขาวร่างสูงโปร่ง มือขวาถือพัดจีบผู้หนึ่ง
ผู้มาคือกระบี่ดอกท้อเหวียนยั่วเฟยเอง!เจาเหยินกงจู้อดหวั่นไหวใจมิได้ พลันรู้สึกปวดแปลบที่ทรวงอกฝีเท้าซวนเซคราหนึ่ง
ที่แท้นางแม้ไม่ได้ร่วงฟาดบาดเจ็บบอบช้ำ แนเสี่ยวเชี่ยนที่ด้านข้างรีบถลันเข้ามาประคองนางไว้
บุรุษชุดดำชงยี้พลันย่อตัวลงวูบ ฟาดฟันดาบปลิดชีวิตองครักษ์ชุดแดงสองคน ร้องบอกต่อเฟยจินเอ๋อว่า
“พวกท่านรีบหนี”
ในเสียงร้อง กระโดดโลดแล่นเข้าหาเฉาฮั่วฉุนโหมฟาดฟันใส่สองดาบซ้อนๆ เฉาฮั่วฉุนชักเท้าหลบเลี่ยง ร่างอ้วนฉุพลันลอยขึ้นดุจเมฆดำหย่อมหนึ่ง ม้วนตัวตีลังกากลางอากาศเปลี่ยนเป็นศีรษะอยู่ล่างเท้าอยู่บน กดประทับสองมือลง พลังฝ่ามือกระแทกเข้าใส่ชงยี้อย่างรุนแรง
พลันได้ยินเสียงแส้ปัดดังซู่ซ่า แม่ชีบุคลิกสูงล้ำพลันสอดมือเข้ามา พลังแส้ปัดกระแทกพลังฝ่ามือของเฉาฮั่วฉุนเบนใส่บรรดาองครักษ์เปลือย ได้ยินเสียงร้องโอดโอย องครักษ์สองคนถูกพลังฝ่ามือกระแทกใส่อวัยวะภายในแหลกลาญนอนจมกองเลือดบนพี้น
เฉาฮั่วฉุนคำรามด้วยความโกรธ เหวียนยั่วเฟยตวัดมือวูบ ใช้พัดจีบกระแทบองครักษ์เปลือยผู้หนึ่งเซถอยไป คลี่พัดกวาดตามติดทำร้ายอีกผู้หนึ่ง ปากกล่าวว่า
“เป่าเอ๋อ นำพวกนางล่าถอยไป”
เป๋าเอ๋อรับคำ ร่วมกับเฟยจินเอ๋อฟาดฟันกระบี่ขับไล่องครักษ์ชุดแดงโดยมีแนเสี่ยวเชียนคุ้มครองเจาเหยินกงจู้ถอยตามไป
เหวียนยั่วเฟยคลี่พัดจีบออก ทำหน้าที่รั้งท้ายองครักษ์เปลือยจำนวนหนึ่งยังตามมา เหวียนยั่วเฟยพลันหุบพัดลงตวัดมือวูบ ใช้ก้านพัดกระแทกใส่องครักษ์ที่ทำหน้าที่ปลิวกระเด็น ยื่นมือซ้ายชิงทวนพู่แดงจากอีกฝ่ายมาถือไว้ กวาดทวนคราหนึ่งก็กระแทกองครักษ์ชุดแดงอีกผู้หนึ่งผงะหงายไป
ฝ่ามือนี้ทั้งเฉียบขาดฉับพลัน ทั้งรวบรัดชัดเจน องครักษ์ชุดแดงที่ด้านหลังอดชะงักงันมิได้
แม่ชีบุคลิกสูงล้ำกับศิษย์ชงยี้รุกไล่เฉาฮั่วฉุนจนไม่อาจปลีกตัวออก ครั้นเห็นทั้งหมดล่าถอยโดยปลอดภัย แม่ชีบุคลิกล้ำก็กล่าวว่า
“ชงยี้ ไม่มีเรื่องเราแล้ว ไปเถอะ”
บุรุษชุดดำรับคำดีดตัวหนีไปก่อน เฉาฮั่วฉุนตวาด ขณะจะฟาดฝ่ามือใส่พลันถูกแม่ชีใช้แส้พัวพันไว้ แล้วกล่าวเสียงนุ่มนวล
“ขออภัยท่านผู้นี้ เราเช็งเซียนจื้อขอตัวก่อน”
พูดจบก็ดีดตัวถอยตามบุรุษชุดดำชงยี้ไป ทิ้งให้เฉาฮั่วฉุนกับบริวารยืนตะลึงลานอยู่กับที่
............................................................. .
ภายในวัดอู่เวี้ย
เหล่าหลวงจีนประกอบวัตรเช้าเสร็จสิ้น ภายในโบสถ์พระประธานเพียงหลงเหลือโจวซื่อเสี่ยนอยู่คนเดียว
อาทิตย์ลอยสูงขึ้น เอี๋ยนอู๋ซวงและเฉาฮั่วฉุนยังไม่เดินทางมาถึง
แสดงแน่ชัด ระหว่างทางคงเกิดเหตุเปลี่ยนแปรแล้ว
โจวซื่อเสี่ยนบังเกิดความผิดหวัง กระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง สะบัดหน้าออกจากโบสถ์พระประธาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น