ศักดา
ขับรถของตนเองเบี่ยงเข้าถนนสายรองที่แยกออกจากถนนสายหลัก
อันเป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่บ้านของเด็กสาวที่นั่งเคียงข้างเขา
เมื่อรถยุโรปคันหรูนั้นวิ่งเลี้ยวเข้ามาในแนวที่อรอุษาสามารถแลเห็นหลังคา
บ้านของเธอในสายตาแล้ว
ใบหน้าอ่อนหวานนั้นก็ยิ้มพลางชี้มือไป
“พี่ศักเลี้ยวซ้ายที่ซอยข้างหน้า
บ้านของษาอยู่หลังที่สองทางขวามือค่ะ...”
“ครับ..”
ศักดารับคำ
แต่ทันใดนั้นเองแรงกระแทกที่ด้านหลังก็ทำให้รถคันงามนั้นสะเทือนไปทั้งคัน
อรอุษาอุทานออกมาอย่างตระหนกเบาๆ
ขณะที่จิ้งจอกสวาทแทบจะกลืนคำสบถหยาบคายลงคอไม่ทัน...เพราะภาพลักษณ์ที่เขา
กำลังแสดงอยู่...ทำให้ชายหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว
ส่งเสียงห้วนแข็ง
“ขับรถยังไง....”
ชายหนุ่มกดปุ่มสัญญาณไฟกระพริบและขับรถเลี่ยงจอดเข้าข้างทาง
ขณะที่มองไปยังกระจกหลังก็แลเห็นรถตู้สีดำคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอดที่ด้าน
หลัง
อรอุษาที่กำลังชะเง้อมองไปด้านหลังผ่านกระจกข้าง
ก็หันมากล่าวเบาๆ
กับศักดาที่กำลังจะเปิดประตูออกไป
“ใจเย็นๆ
นะคะ...พี่ศัก...ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็เรียกประกันดีกว่า...อย่าทะเลาะกับเขาเลยนะคะ...เอ่อ...แล้วจะให้ษาลงไปด้วยไหมคะ?”
ตอนท้ายเด็กสาวถามพร้อมกับกดปุ่มปลดล๊อกเข็มขัดนิรภัย
แต่ศักดาฝืนยิ้มออกมา
รีบกล่าวว่า
“น้องษาไม่ต้องห่วง...รออยู่ในนี้แหล่ะครับ...พี่รับปากว่าจะไม่ทะเลาะกับเขาแน่นอน”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินออกไปจากรถ
คราวนี้หน้าบึ้งโดยไม่ปิดบัง...
ศักดาเดินไปดูตรงบริเวณท้ายรถที่ยุบเข้าไปพอสมควร
เพราะแรงกระแทกค่อนข้างหนักจากรถที่ตามติดมานั้น
“นี่...คุณขับรถเป็นหรือเปล่า?...ผมเปิดไฟเลี้ยวตั้งนาน...แล้วก็ขับรถช้ามากด้วย...ยังดันขับมาชนท้ายอีก”
จิ้งจอกสวาทกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้งกับชายฉกรรจ์ผอมเกร็งที่เดินออกมาดูหน้า
รถตู้ ขณะที่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรยืนยิ้มอยู่เฉยๆ
จนศักดารู้สึกแปลกๆ
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเคล้าหัวเราะ
“ไง...ไอ้ศักดา...ไม่ได้เจอกันนานนะ”
ศักดาใจหายวาบ
หันไปก็พบเสี่ยคิ้มยืนหัวเราะอยู่
ใบหน้าหล่อเหลาของจิ้งจอกสวาทซีดเผือด
ดวงตาเบิกโพลงอย่างตื่นตะลึง
โพล่งออกมาเสียงดังอย่างตกใจ
“เสี่ย..เสี่ยคิ้ม!!!”
“ใช่...กูเอง...คนที่มึงแอบตีท้ายครัวไงล่ะ...”
เสี่ยคิ้มกระซุ่นเสียงพูด
ศักดาหันซ้ายหันขวาอย่างละล้าละลัง
ขยับเท้าจะหนีกลับขึ้นรถ
ตี๋กับชดก็ปราดเข้ามาขนาบข้าง
ทั้งสองเลิกชายเสื้อแจ๊กเก็ตที่ใส่ให้จิ้งจอกสวาทแลเห็นด้ามปืนที่เหน็บอยู่
ในซองปืนตรงหว่างเอว
ใบหน้าหล่อเหลาของศักดาซีดขาวไร้สีเลือด
ขาแข้งอ่อนขึ้นมาทันทีทันควัน
กล่าวเสียงแหบพร่า
“เสี่ย...เสี่ยต้องการอะไร?”
เสี่ยคิ้มปรายตาไปยังที่นั่งด้านข้างคนขับ
ถึงแม้ฟิลม์หน้าต่างจะมืดจนแลไม่เห็นด้านใน
แต่เสี่ยค้าทองตัณหากลับก็เต็มไปด้วยทะยานอยากอยู่ในใจเพราะรู้ดีว่ามีเด็ก
สาวแสนสวยนั่งอยู่ข้างใน
ความรู้สึกกระหายหื่นพล่านไปทั้งตัว
ขณะที่กล่าวเสียงเคล้าหัวเราะว่า
“เราไปหาที่เงียบๆ
คุยกันหน่อยดีไหม...”
ศักดาหน้าซีดเผือด
สายตายังเหลือบไปยังด้ามปืนในเอวของชายฉกรรจ์สองคนด้านข้างอย่างหวาดหวั่น
ปากคอสั่นพูดเสียงตะกุกตะกักแทบไม่เป็นคำพูด
“เสี่ย...เสี่ยคิ้ม...ผมเสียใจ...ผม..ผมผิดไปแล้ว...เสี่ยต้องการให้ผมชดใช้อะไร...ผมยอมหมด...อย่า...อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ”
เสี่ยคิ้มหัวเราะร่วน
“ไม่ต้องตกใจ...ฉันไม่เอาตัวแกไปฆ่าหมกท้องร่องหรอก...แต่ถ้าแกยังขืนท่ามาก
ไม่ยอมฟังคำของฉัน...มันก็ไม่แน่...เฮ้ยไอ้ชด...มึงประกบไป...”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเตี้ยล่ำผงกศีรษะรับคำ
ก่อนจะใช้ไหล่กระแทกลำตัวของศักดาให้ออกเดิน
พร้อมกับคำรามเสียงแหบห้าว
“อย่าตุกติกนะมึง...ไม่งั้นกูยิงไส้แตก”
ศักดาหน้าซีดขาว
เหงื่อกาฬแตกไหลออกมาจนชุ่มโชกไปทั้งใบหน้าและหลังเสื้อ
ขณะเดินขาสั่นกลับไปเปิดประตูด้านคนขับ
อรอุษามองมาอยู่ก่อนแล้ว
แต่จากที่เธอมองผ่านมาจากกระจกข้างรถ
และภาพที่ค่อนข้างสลัวท่ามกลางแสงไฟจ้าแยงตาจากหน้ารถคันหลังนั้น
ทำให้เด็กสาวไม่อาจจะรับรู้หรือระแคะระคายได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านหลัง
รถ
สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงแต่การที่หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งศักดาก็เดิน
กลับมา โดยมีชายคนหนึ่งเดินตามมาด้วย
พอจิ้งจอกสวาทเปิดประตูแล้วกลับเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย
เด็กสาวก็ถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอย่างไรคะ...ตกลงกันได้ด้วยดีไหมคะ...พี่ศัก”
ศักดาใบหน้าเลิ่กลั่ก
ขณะที่ประตูด้านหลังถูกเปิดออกเสียงดังผลัวะใหญ่
ทำให้ร่างบางของอรอุษาสะดุ้งอย่างตกใจ
และเมื่อเธอหันขวับไป
ก็มองเห็นร่างกำยำของนายชดนั้นพรวดเข้ามานั่งในเบาะยาว
สร้างความหวาดกลัวให้บังเกิดขึ้นแก่เด็กสาวจนใบหน้าซีดขาว
กล่าวโพล่งออกมาเสียงสั่นสะท้าน
“พี่ศัก...พี่ศัก...”
จิ้งจอกสวาทมีใบหน้าหวาดหวั่น
เมื่อพึมพำว่า
“น้องษานั่งเฉยๆ
นะไม่ต้องกลัว...พี่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง...”
ดวงตากลมโตที่ปรายหันไปมองใบหน้าคล้ำเกรียมนั้นแว่บหนึ่งที่จ้องตอบมาอยู่
ก่อนแล้ว ดวงตาที่เหลือกลานราวกับดวงตามุสิก
กวาดเบิ่งมองมายังใบหน้างามนั้นอย่างไม่มีปิดบังแววตาอันชั่วร้ายลามกกระหาย
หื่น...สร้างความรู้สึกหวาดผวาให้เกิดแก่อรอุษาจนต้องรีบเบือนกลับมาทันที
ปากงามของเด็กสาวสั่นระริกเมื่อสอบถาม
เสียงของเธอแหบโหยราวกับจะร้องไห้...
“แล้ว...แล้ว...ทำไม...เขา...เขา...ขึ้นมาในรถคะ...”
ยังไม่ทันที่ศักดาจะตอบคำถาม
นายชดก็ตวาดเสียงดังขึ้นมากลบเสียงของเด็กสาว
“หุบปาก...แล้วขับรถตามไปได้แล้ว...”
เสียงแหบห้าวนั้นเกรียมกระด้าง
ใบหน้าดำคล้ำมันพรวดเข้ามาทางเบาะหน้า
ขู่ขวัญจนร่างบางของอรอุษาสะดุ้ง
ผงะตัวไปชิดขอบประตูอย่างพรั่นพรึง
ในเวลานั้นรถตู้คันที่อยู่ด้านหลังนั้นม้วนรถกลับไปรออยู่แล้ว
ศักดาไม่มีทางเลือกกัดฟันหมุนพวงมาลัยรถหมุนรถกลับตามไป
โดยอรอุษาที่นั่งใบหน้าซีดขาว
กล่าวถามโพล่งออกมาอย่างตระหนกตกใจ
“พี่ศัก...นี่มันอะไรกันคะ....ษากลัว...”
จิ้งจอกสวาทที่ขับรถตามรถตู้ที่วิ่งฉิวนำไปนั้น
หันมากล่าวปลอบ
“ไม่ต้องกลัวนะครับ...พี่จะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับน้องษาแน่นอน...แต่เราจำเป็นต้องทำตามพวกนั้นครับ...”
“ทำ...ทำไมคะ...”
อรอุษากล่าวเสียงเครือ...ขณะที่นายชดที่นั่งอยู่นั้นกระชากปืนออกมาจากซองข้างเอว
ส่งเสียงคำรามดังแหบห้าวราวกับเสียงสัตว์ป่า
“หุบปาก...ขับรถไปเงียบๆ...”
พร้อมๆ
กับคำพูดนั้น
ปากกระบอกปืนดำมะเมื่อมนั้นพรวดเข้ามาจ่อที่ต้นคอของศักดา
อรอุษาที่นั่งอยู่ต้องหวีดร้องออกมาอย่างตระหนกตกใจ
ยกมือขึ้นกุมไปที่ต้นคอตนเอง
ดวงตากลมโตนั้นเบิกผวาจ้องไปยังปลายกระบอกปืนที่ส่ายไปมาระหว่างท้ายทอยของ
ศักดากับตัวของเธอ
ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงทำให้ร่างที่เบียดชิดอยู่กับประตูสั่นสะท้านออกมาราว
กับจับไข้...
ศักดาพยายามกัดฟันระงับความประหวั่นพรั่นพรึง
กล่าวเสียงเครียด
“ไม่ต้องชักปืนมาขู่ก็ได้...ฉันไม่ตุกติกอะไรอยู่แล้ว....น้องษา...นั่งเงียบๆ
นะครับ..”
นายชดแค่นคำรามคำหนึ่ง
สายตาแวววาวนั้นตวัดไปมองใบหน้างามหวานอันเปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
ของเด็กสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าอย่างกระหยิ่ม
ก่อนจะลดปืนกลับไป แล้วว่า
“ดี...นั่งเงียบๆ
ทั้งคู่...อย่าให้กูได้ยินคำพูดอีกแม้แต่คำเดียวนะ...ไม่งั้น...ฮะฮะ...”
ในเวลานั้นรถสองคันวิ่งฝ่าความมืดพากันออกไปตามเส้นทางขามา...
อรอุษาใจหายเมื่อหันมองกลับไปยังบริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านเธอ...หลังคา
ที่มองเห็นได้อยู่...บ้านอันเต็มไปด้วยความรักและอบอุ่นปลอดภัยนั้นกำลังถอย
ห่างไปเรื่อยๆ
ตามระยะทางที่รถวิ่งมุ่งหน้ากลับออกไป....จนลับตา
ดวงตากลมโตของเด็กสาวแสนสวยเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวาดหวั่นพรั่นพรึงจน
น้ำใสๆ
เอ่อขึ้นขังคลอเบ้า...ก่อนที่ประกายงามดั่งเพชรนั้นจะหยดรินออกมาต้องไปยัง
พวงแก้มใส
...คนพวกนี้ต้องการอะไร...
ขณะที่ครุ่นคิดอย่างไม่มีทางเข้าใจ
ร่างบางงามนั้นสั่นสะท้าน...สะอื้นไห้อย่างหวาดกลัวจนจับจิต
.....................
อรนุชไม่รู้ตัวว่าเธอกลิ้งไถลลงมาตามทางลาดชันของไหล่เขานั้นเป็นเวลานาน
เท่าใด
แต่ในการรับรู้ของเด็กสาวช่วงเวลานั้นเนิ่นนานราวกับนิรันดร์จนไร้ที่สิ้น
สุด
แต่ทว่าร่างเล็กบางที่ซุกหายเข้าไปในอ้อมแขนกำยำนั้นกลับไม่ได้รู้สึกหวาด
กลัว หรือวิตกแม้แต่น้อยนิด
ตรงกันข้ามความอบอุ่นที่ถ่ายทอดเข้ามาจากแผงอกที่แข็งแรงนั้นทำให้อรนุช
รู้สึกราวกับว่าตนเองนั้นอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองจากเกราะคุ้มภัยที่
โอบรัดเธออยู่ ไม่มีทางที่ภัยอันตรายต่างๆ
จะแทรกซึมแผ้วพานเข้ามาถึงตัวเธอได้เลย
เด็กสาวซุกหน้าลงไปกับหนั่นเนื้อหน้าอกที่หนาบึกบึนนั้น
สองแขนบอบบางโอบรัดไปที่กลางลำตัวที่แข็งแกร่งสมชายอย่างแนบแน่น....ต่อให้
เธอจะต้องเผชิญกับชะตากรรมใดๆ
ที่น่าหวาดหวั่นรอคอยอยู่ในเบื้องลึกที่ร่างของเธอนั้นกลิ้งดิ่งลงไปราวกับ
ไร้ที่สุด
อรนุชเฝ้าบอกกับตัวเองว่า...เธอพร้อมที่จะรับเอาไว้อย่างไม่กลัวเกรงตราบ
เท่าที่ร่างกำยำที่มอบความอบอุ่นให้กับเธอร่างนี้อยู่เคียงข้างเธอไปตลอด
เส้นทาง...
ร่างสองร่างที่ราวกับแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันนั้นกลิ้งลงมาตามแนวป่าลาด
ใบไม้ที่กองสุมกันอยู่ชั่วนาตาปีนั้นช่วยลดแรงกระแทกที่ทั้งสองต้องเผชิญขณะ
ดิ่งวาบลงมานั้นไปกว่าครึ่งค่อน
แต่กระนั้นคมศรยังรู้สึกร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เพราะตัวเขานั้นตั้งใจจะรับความกดดันเอาไว้ทั้งหมด
จึงพยายามเก็บร่างเล็กบางให้ปลอดภัยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทำให้หลายๆ ครั้งตามศีรษะและหัวไหล่
หรือสองแขนที่รัดอรนุชอยู่นั้นกระแทกเข้าไปกับลำต้นไม้ที่เปลือกแห้งกรัง
หรือแง่งหินที่ตะปุ่มตะป่ำ
จนปวดแสบปวดร้อน เป็นแผลถลอกไปทั้งตัว
ชายหนุ่มต้องขบกรามแนบแน่นเป็นสันนูนเพื่อต่อต้านความเจ็บปวดรวดร้าวนั้น
....อย่างยาวนาน...จนกระทั่งในที่สุดร่างไถลครูดลงไปหยุดนิ่งอยู่ตรงบริเวณ
ที่เป็นลักษณะแอ่งตื้นๆ
มีหมู่ต้นเต็งรังที่ขึ้นหนาแน่น
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักถอนหายใจยาว
แม้ร่างกายจะปวดขัดยอกระบมไปหมด
แต่อย่างน้อยก็เก็บชีวิตของเขากับอรนุชให้มีลมหายใจอยู่ดูโลกใบนี้ต่อไปได้
ในท่าที่กำลังนอนหงายกับพื้นดิน
สายตาของเขามองขึ้นไปบนฟ้าอันมืดมิด...ดวงดาวที่พร่างฟ้า...รู้สึกสวย
งามอย่างบอกไม่ถูก...เป็นผืนฟ้าประดับดาวที่สวยเหลือประมาณทั้งๆ
ที่เป็นผืนฟ้าเดียวกับที่เขาเห็นอยู่แทบทุกเมื่อเชื่อวัน...
ในเวลานั้นอรนุชเองก็รู้สึกไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่ม
แต่นอกเหนือจากความโล่งใจที่เต็มตื้นขึ้นมาท่วมท้นนั้น
ยังแทรกไปด้วยความเป็นห่วงในสภาพร่างกายของอีกฝ่ายที่พลุ่งขึ้นจับใจ
เพราะในเวลานั้นอวัยวะภายในร่างปั่นป่วนดูราวกับว่าจะเคลื่อนย้ายออกไปจาก
ตำแหน่งเดิมของมันไปจนหมด
ขนาดตัวเธอเองยังรู้สึกถึงแรงกระแทกที่ถาโถมเข้ามาขนาดนี้
คนที่โอบอ้อมปกป้องตัวเธออยู่ตลอดเวลาและรับแรงกระแทกตรงๆ
นั้นจะรู้สึกขนาดไหน
“คุณสิงห์...คุณเป็นยังไงบ้างคะ?”
เด็กสาวเขย่าไปที่ลำตัวกำยำอย่างร้อนใจ
แรงเขย่านั้นทำให้คมศรกัดฟัน
เจ็บระบมไปทั้งตัว...ครางอู้
บ่นพึมพำลากเสียงยาว
“เดี๋ยววววว.....เดี๋ยว...หยุดก่อน...ผมไม่เป็นไรหรอก...แต่จะเป็นก็เพราะแรงเขย่าของคุณนั่นแหล่ะ....”
พูดจบก็ต้องขบฟันด้วยความเจ็บ...ขณะที่อรนุชใจหายวาบ
มือเล็กบางที่กำลังเขย่าร่างของคมศรหยุดยั้งไปพลัน
กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ...หวาดวิตกกังวลว่าจะไปทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายบาด
เจ็บ
“ขอ...ขอโทษนะคะ...ฉัน...ฉันลืมตัวไป...มัวแต่เป็นห่วงคุณค่ะ...คุณเจ็บมากไหม...?”
เมื่อรู้สึกว่าตัวเองนั้นคงปลอดภัยจากคนของไอ้อดิศัยอย่างน้อยก็ช่วงเวลา
หนึ่ง ทำให้คมศรเริ่มมีอารมณ์ครึกครื้นขึ้นมา
ดวงตาสีเหล็กนั้นเป็นประกายพราวอย่างรื่นรมย์เมื่อว่า
“อืมม์...ได้ยินอย่างนี้แล้ว...ผมชื่นใจจัง....เกือบหายปวดเป็นปลิดทิ้งเลย....”
อรนุชหน้าแดง
อุทานออกมาเบาๆ ตาเบิกโพลง
ริมฝีปากสั่นระริก...ทั้งโมโห..ทั้งเขินอาย
อีตาบ้า...บ้าจริงๆ...เวลาอย่างนี้ยังมีแก่ใจมาพูดเล่นอีก...
ร่างเล็กบางนั้นดิ้นรนออกมาจากอ้อมแขนกำยำนั้นอย่างขัดใจ
ใบหน้าเง้างอด สะบัดเสียงห้วน
“คนบ้า...เขาอุตส่าห์เป็นห่วง....ยังมาพูดกวนประสาทอีก”
คมศรหัวเราะเสียงดัง
ก่อนจะสูดปากอย่างเจ็บปวด...อูยยยยสส...เพราะแรงหัวเราะทำให้อาการปวดนั้น
ตึ๊บๆ ขึ้นมาอีก
อรนุชใจหายรีบหันหน้ามาละล่ำละลักถาม
“คุณเป็นอะไรมากไหมคะ...โธ่...แล้ว...แล้ว.ฉันจะช่วยคุณยังไงได้บ้างล่ะคะ?”
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักยิ้มเล็กน้อย
กล่าวหน้าตาย
“ข้อเท้าคุณเป็นยังไงบ้างล่ะ...ถ้าค่อยยังชั่วก็ค่อยๆ...ช่วยประคองผมหน่อยก็แล้วกัน
พาผมไปนั่งพิงต้นเต็งใหญ่ต้นนั้นหน่อย”
ชายหนุ่มบุ้ยใบ้บอกไปยังต้นเต็งลำต้นใหญ่ประมาณสามสี่คนโอบที่อยู่ห่างไปประมาณสิบเมตร
อรนุชใช้มือนวดไปที่ข้อเท้าข้างที่ปวดขัดของเธอเบาๆ
และลองขยับดู
พบว่าถ้าไม่ลงส้นเท้าแรงมากก็พอจะเดินได้
ดังนั้นจึงกุลีกุจอเข้ามาพยุงร่างสูงใหญ่ให้ลุกขึ้นยืน
พยายามใช้ลำตัวเล็กบางของเธอหนุนร่างของเขา
ซึ่งคมศรซ่อนยิ้มอยู่ในความมืด...เหมือนกับไม่ตั้งใจ...แต่วงแขนแข็งแรงนั้น
โอบไปที่เอวคอดงามของเด็กสาวเหมือนกับใช้เป็นที่พยุงตัว
ปากก็ทำเป็นครางเบาๆ หงิงๆ
แต่นัยน์ตานั้นพราวไปด้วยความรู้สึกรื่นรมย์
กลิ่นกายที่หอมรวยรินจากเนื้อเนียนนั้นกรุ่นเข้าจมูกตลอดเวลา
ทำให้ริมฝีปากที่ปกคลุมไปด้วยหนวดเคราแย้มยิ้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาด
อรนุชที่มองไม่เห็นหน้าของคนเจ้าเล่ห์นั้น
มีใบหน้าแดงก่ำ กัดฟันแน่น
พยายามไม่ใส่ใจกับความร้อนจี๊ดๆ
ที่ซ่านอยู่ตรงบริเวณช่วงเอวตัวเอง
ซึ่งความรู้สึกที่แผ่ลามออกมาตามปลายนิ้วที่แข็งแรงนั้นกลบความรู้สึกเสียว
แปลบตรงข้อเท้าของเธอไปสนิท
เด็กสาวจ้ำเดินอย่างเร็วๆ
พาร่างสูงใหญ่ไปนั่งพิงต้นไม้แล้วร้องเสียงห้วน
“เอาล่ะถึงแล้ว...คุณปล่อยมือได้จากเอวฉันได้แล้ว”
คมศรหัวเราะหึหึ...ปล่อยมือจากเอวน้อยนั้นอย่างเสียดาย...บ่นพึมพำ
“แหม...ใจร้ายจัง...”
อรนุชครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“หยุดพูดเล่นเถอะค่ะ...ลองสำรวจตัวเองให้ดีว่ามีกระดูกหักหรือเดาะที่ไหนบ้างหรือเปล่า...เราตกกันมาตั้งสูงนะคะ...”
เด็กสาวพูดพลางทำหน้าสยองเมื่อเงยหน้ามองย้อนกลับขึ้นไปด้านบน
ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองไถลลงมาถึงบริเวณนี้ได้จริงๆ
ขณะที่คมศรเองก็ฟังคำของอรนุชลองขยับแข้งขาและหมุนศีรษะหลังไหล่ตัวเอง
และพบว่านอกจากอาการปวดแสบเนื่องจากแผลถลอก
และการปวดระบมตามกล้ามเนื้ออันเกิดจากแรงกระแทกที่ตัวเขาไถลไปชนตามแง่งหิน
หรือต้นไม้แล้ว
ก็ไม่มีอะไรมากจนบาดเจ็บถึงกระดูก
อรนุชทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างๆ
คมศร
ดวงตากลมโตเบิ่งมองมายังชายหนุ่มที่กำลังสำรวจอาการตัวเองอยู่อย่างเป็นห่วง
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์
แกล้งสูดปากอย่างเจ็บปวด
ทำให้ร่างเล็กบางนั้นผวาเข้ามาดูอาการทันทีอย่างร้อนใจ
ก่อนที่วงแขนกำยำนั้นจะตวัดรัดร่างน้อยนั้นเข้ามากอดไว้
ดวงตาสีเหล็กนั้นพร่างพราว...รื่นรมย์นัก...
พอมองเห็นดวงตาคู่นั้นถนัดๆ
แก้มบางใสของอรนุชก็ร้อนวูบ
เด็กสาวทำตาลุกวาว เข่นเขี้ยวกล่าว
“เจ้าเล่ห์นักนะ...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้...”
“ไม่ปล่อย...ตอนนี้ผมหนาวจะตาย...อย่างนี้ค่อยอุ่นหน่อย”
อากาศยามค่ำคืนบริเวณป่าโปร่งหย่อมนั้นเริ่มเยือกเย็นขึ้นดั่งคำของชายหนุ่ม
ว่า
เวลานั้นพ่อเลี้ยงปางห้วยสักก้มหน้าลงไปยิ้มกว้างกับใบหน้าใสที่เงยขึ้นข่ม
ขู่ อรนุชดิ้นรนอย่างโมโหที่เสียรู้
แต่ก็ไม่กล้าออกฤทธิ์ทุบตีร่างหนานั้นเพราะเกรงจะไปกระทบกระเทือนร่างกายที่
บอบช้ำอยู่ก่อน
ทว่า...วงแขนแข็งแรงที่รัดเข้ามาราวกับปลอกเหล็กนั้น
ถ่ายทอดไออุ่นเข้าไปในร่างเล็กบางที่อย่างช้าๆ
ค่อยๆ สงบอาการลง
ก่อนในที่สุด...เด็กสาวจะซบหน้าไปกับอกกว้างแข็งแรงนั้น
ถอนหายใจออกมายาว...เธอจะหลอกใจตัวเองไปอีกทำไมกัน...
...ความรัก...นี่หรือ...สิ่งที่เธอไม่เคยนึกไม่เคยฝันจะบังเกิดขึ้นกับตัว
เอง...ความผูกพันธ์ที่ช่างงดงามเหลือเกินนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
นะ....
อรนุชไม่รู้....แต่ความรู้สึกนั้นมันเอิบซ่านรุนแรงตั้งแต่คราวก่อนที่เขา
เข้ามาช่วยเธอเอาไว้จากการตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของเด็กอันธพาลพวกนั้น...และ
คืนนี้...ก็ยังเป็นเขาที่เข้ามาช่วยเธอให้พ้นจากภัยอันโหดร้าย...ที่มันช่าง
หยาบช้าและน่าสยดสยองในความรู้สึกนึกคิดของเด็กสาว...จะมีอะไรที่เลวร้ายไป
การถูกข่มขืนแล้วฆ่าทิ้ง...ในกลางป่าเขาที่เธอจะต้องตกตายไปอย่างไร้ค่าและ
เจ็บปวดอย่างที่คงไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมอันเลวร้ายใดที่บังเกิดขึ้นกับตัว
เธอเอง...
ตอนนี้...ในเวลานี้...อรนุชรู้สึกเหมือนกับตัวเองตายแล้วเกิดใหม่...โอกาส
ที่ได้การประทานมาจากฟ้าเบื้องบน...ผ่านอุ้งมืออันแข็งแรงของคนร่างใหญ่ที่
กอดเธออยู่...เธอจะยังต้องการอะไรมากไปกว่าความอบอุ่นจากอ้อมอกที่ไม่ต่าง
อะไรกับเกราะอันคุ้มครองปกป้องผองภัยจากภยันอันตรายทั้งมวลนี้อีกล่ะ...
“ขอผมกอดคุณนิ่งๆ
อย่างนี้สักพักนะ...อรนุช...”
เสียงของคมศรเนิบลึก
น้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคงแต่นุ่มนวลแผ่วหวาน
ชำแรกเข้าไปในโสตประสาทของเด็กสาวแสนสวย
จนใบหน้านั้นแดงระเรื่อ
หลับตาพริ้ม เบนหน้าเอนซบเข้าไปในอกกว้างนั้น
แขนข้างหนึ่งบีบแนบกับตัวเองขณะที่อิงแอบร่างเล็กของตัวเองเปิดรับไออุ่นที่
หลั่งไหลเข้ามาอย่างเต็มตื้นในความรู้สึก
แขนบอบบางอีกข้างหนึ่งสอดกระหวัดรัดไปกลางลำตัวหนานั้น...แนบแน่น...
แม้ไม่มีเสียงอนุญาตลอดออกมาจากเรียวปากงาม...แต่การแสดงออกนั้นมันกระจ่างยิ่งเสียกว่าหมื่นคำพูด...
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักก้มหน้าลงไปสูดลมหายใจลึกยาวกับศีรษะเล็กๆ
ที่ซบอยู่กับอกตนเองนั้นนิ่งนาน
ราวกับจะเก็บความหอมที่กรุ่นจากผมดำขลับกลุ่มนั้นให้ตราตรึงไปในใจของเขา
ชั่วนิรันดร์....
..........................
พ่อเลี้ยงอดิศัยมีใบหน้าถมึงทึง
เมื่อนายคำกับพวกกลับมายังกระท่อม
“พวกมันพากันโดดลงไปในหุบด้านตะวันตกครับ...พ่อเลี้ยง”
นายคำรายงาน
ใบหน้ามีร่องรอยหวาดหวั่น...ด้วยรู้อารมณ์ของพ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตรดี...
ซึ่งชายหนุ่มก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างเกรี้ยวกราดอย่างที่ทุกคนคาดคิด
“ไอ้พวกสวะ...แค่คนสองคน...แถมคนนึงยังเป็นแค่เด็กสาวด้วย...เสือกไม่มี
ปัญญาเก็บ...ไอ้พวกนรกเอ๊ย...มึงไม่รู้เหรอว่าโอกาสดีที่กูจะเก็บไอ้สิงห์
อย่างนี้มันหาได้ที่ไหนง่ายๆ
อีกวะ...บัดซบจริงๆ...”
อดิศัยพูดพลาง
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ดวงตามีร่องรอยแห่งความโกรธและความเสียดายที่ปิดไม่มิด...ทุกอย่างเป็นอย่าง
ที่เขาพูดจริงๆ
....โอกาสอย่างนี้จะหาที่ได้อีก...ไอ้สิงห์มันหลุดมายังถิ่นเขาคนเดียวอย่าง
นั้น...
สมุนคนหนึ่งเอ่ยขลาดๆ
“แต่..แต่พวกมันทิ้งดิ่งกันไปอย่างนั้น...บางทีก็อาจจะไม่รอดนะครับ...พ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตรตาลุกวาว
สำรากออกมาดังลั่น
“ไอ้เหี้ย!!!...โง่แล้วยังอวดฉลาด...ไอ้สิงห์มันไม่กระจอกอย่างนั้นหรอก...ถ้ากูไม่เห็นศพมัน...กูไม่วางใจว่ามันตายแน่นอน....”
นายคำถลึงตามองดูชายฉกรรจ์ที่พูดนั้นอย่างไม่พอใจ...ที่พูดจาไม่ใช้สมอง...
เพราะ...ดีไม่ดีตัวเองก็จะซวยไปด้วย...ใครเล่าจะกล้าล้อเล่นกับอารมณ์อันดุ
ร้ายของพ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตร...
พ่อเลี้ยงอดิศัยพยามยามระงับอารมณ์อันเดือดดาลให้สงบลงเพื่อใช้ความคิด
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งดวงตาสาดประกายวูบวาบอยู่ชั่วครู่ใหญ่
ก่อนจะพึมพำกับตนเอง
“ถ้าพวกมันตกลงไปในหุบนั้นแล้วไม่ตาย...คงจะพยายามวกกลับไปยังปางของมัน...ก็ต้องผ่านมายังทางใต้หุบ...”
พอได้คิดดั่งนั้น
พ่อเลี้ยงอดิศัยก็หันไปสั่งการนายคำ
“...ไอ้คำ...มึงไปเตรียมคน...พยายามกระจายกันดักอยู่ตรงหุบทางใต้นั่นแหล่ะ...ถ้าไม่ตายมันต้องมาทางนั้นแน่..”
นายคำเห็นเจ้านายที่มีเพลิงโทสะอันเกรี้ยวกราดเริ่มสงบอารมณ์ลงได้ก็ค่อยเบาใจ
รีบก้มศีรษะรับคำอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องห่วงครับนาย...ผมจะไปเกณฑ์คนที่ปางสกัดมันเอาไว้ให้ได้”
ทันใดนั้นเองสมุนคนหนึ่งของพ่อเลี้ยงอดิศัยก็วิ่งตาเหลือกเข้ามา
“พ่อเลี้ยงครับ...มีกลุ่มคนกำลังตรงมาทางนี้...ดูจากไกลๆ
น่าจะเป็นพวกตำรวจ...”
ดวงตาของพ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตรสาดแสงวูบ
สบถด่าอย่างหยาบคายออกมา
ก่อนจะหันไปยังนายคำ
“ไอ้สัตว์เอ๊ย...ไอ้เหี้ยสิงห์มันคงแจ้งตำรวจให้ตามมา...ไอ้คำมึงหลบลงไปจากดอยก่อน...”
นายคำรีบรับคำอย่างนอบน้อม
ก่อนจะผละตัวหายไปจากบริเวณนั้นพร้อมม้าในคอกปางห้วยสักที่เขาขับมา
ขณะที่อดิศัยปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
เดินไปที่หน้ากระท่อม
และยืนรอคอยอยู่
สารวัตรอรุณนำกำลังตำรวจกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาอย่างรีบร้อน
ใบหน้าของนายตำรวจนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ขณะที่พ่อเลี้ยงอดิศัยทำเป็นยิ้มเดินเข้าไปหา
“สารวัตรอรุณ...ไม่ทราบว่ายกกำลังตำรวจมาที่นี่ทำไมครับ?”
ข้างๆ
นายตำรวจหนุ่มยังมีคนของปางห้วยสักตามมาด้วยคือธงชัยองครักษ์ประจำตัวของคม
ศรนั่นเอง ตอนนั้นใบหน้าของชายหนุ่มกระด้าง
กล่าวเสียงเครียด
“พวกเราได้ยินเสียงปืน...มันเกิดอะไรขึ้น”
พ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตรหัวเราะยียวน
ไม่สนใจคนติดตามของคู่อริ
หันไปยังนายตำรวจตงฉินผู้มีชื่อกระฉ่อนในการปราบปรามอิทธิพลเถื่อน
“พวกผมก็แค่นึกสนุกๆ
ซ้อมมือกันเล่นๆ
เท่านั้นแหล่ะครับ...สารวัตร...แล้วโน่น...ไอ้แสง”
อดิศัยบุ้ยใบ้ไปยังลูกสมุนที่ถูกปืนของคมศร
ตอนนั้นถูกพยาบาลลวกๆ
โดยการห้ามเลือดและพันแผลเอาไว้แล้ว
กำลังนั่งกับพื้นพิงผนังกระท่อมอยู่
ใบหน้าซีดขาวด้วยความเจ็บปวดและการสูญเสียเลือด
“มันเสือกเซ่อ...ซุ่มซ่ามทำปืนลั่นใส่ตัวเอง...”
ในเวลานั้นธงชัยยืนตัวสั่น...ใบหน้าเกรียมกระด้าง...ในใจนั้นรุ่มร้อมกังวล
ในตัวของเจ้านายเหลือประมาณ
ซึ่งสารวัตรอรุณตบบ่าของชายหนุ่มเป็นสัญญาณให้ใจเย็นๆ
ไว้ก่อน
ขณะที่เดินเข้ามาตรงหน้าพ่อเลี้ยงอดิศัยกล่าวขึ้นว่า
“พวกเราได้รับการแจ้งความว่ามีการลักพาตัวเด็กสาวคนหนึ่งไปจากปางห้วยสัก...”
พ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตรทำใบหน้าซื่อ
อุทานออกมา
“เหรอครับ...แหม...น่าตกใจจริงๆ...แล้วไม่ทราบมันเกี่ยวอะไรกับที่สารวัตรพาคนมาที่นี่ครับ”
สารวัตรอรุณยังมีสีหน้าเป็นปกติ
ขณะที่ธงชัยนั้นรู้สึกอึดอัดจนอยากกระแทกหมัดใส่ใบหน้าที่กำลังตีซื่อนั้น
ให้เต็มเหนี่ยว
แต่สิ่งที่ทำได้เพียงแค่ยืนกำหมัดแน่น
ดวงตาเบิกกว้างอย่างขุ่นแค้นเท่านั้น
“ถ้าไม่รบกวน
พวกเราอยากจะค้นพื้นที่ตรงนี้...พ่อเลี้ยงคงไม่ว่าอะไรนะครับ”
สารวัตรมือปราบยังพูดอย่างใจเย็น
พ่อเลี้ยงอดิศัยยักไหล่แบมือ
“เชิญครับ...พวกผมบริสุทธิ์ใจ...เชิญสารวัตรตรวจดูรอบๆ
ได้ตามสบายเลยครับ”
ธงชัยไม่รอช้า
ปราดเข้าไปในกระท่อมเป็นคนแรก
ขณะที่พันตำรวจตรีหนุ่มหันไปยังตำรวจติดตามให้กระจายกันดูรอบๆ
ว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรหรือเปล่า
พ่อเลี้ยงอดิศัยยืนกระหยิ่มยิ้มย่อง
ขณะที่ธงชัยกลับออกมาจากกระท่อมด้วยใบหน้าที่แสดงความผิดหวัง
ร้อนรุ่มในใจ และเมื่อตำรวจที่ไปตรวจสอบดูรอบๆ
กลับมาบอกว่าไม่มีร่องรอยอะไรผิดปกติ
พ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตรก็หัวเราะร่วน
“เห็นไหมครับ...พวกผมไม่ได้ทำอะไรอย่างที่มีคนคิดจะใส่ไคล้”
พูดไปปรายตามองไปยังคนติดตามของคมศร
ที่แสดงอาการฮึดฮัดแต่นายตำรวจหนุ่มรีบเข้าไปขวางเอาไว้
กระซิบเบาๆ
“ตอนนี้เรายังทำอะไรไม่ได้...กลับไปตั้งหลักก่อนดีกว่าครับ...รวบรวมคนแล้ว
ค่อยกลับมาใหม่...ผมเชื่อว่าพ่อเลี้ยงสิงห์เอาตัวรอดได้...ตอนนี้คงหลบไป
อยู่ที่ไหนสักแห่ง...ผมเชื่อเช่นนั้นจริงๆ...”
พันตรีหนุ่มกล่าวจบแล้วก็หันไปยังพ่อเลี้ยงอดิศัยแล้วว่า
“ถ้าเช่นนั้นผมคงไม่รบกวนพ่อเลี้ยงแล้ว...ลาก่อนครับ”
นายตำรวจยกมือขึ้นแตะปีกหมวกเป็นเชิงกล่าวลาตามธรรมเนียม
ก่อนจะพยักหน้าและดึงตัวธงชัยให้เดินกลับไปกับตน
ขณะที่ชายหนุ่มคนติดตามของคมศรนั้นแสดงอาการไม่ยินยอมพร้อมใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ตอนนั้นก็ไม่สามารถที่จะดึงดันอะไรไปให้มากกว่านี้
จึงได้แต่ขบกรามเป็นสันนูน
เขม้นมองพ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตรอย่างโกรธแค้นเกรี้ยวกราดอีกครั้งก่อนจะสะบัด
หน้ากลับออกไป
พอลับร่างนายตำรวจหนุ่มแล้ว
นัยน์ตาของพ่อเลี้ยงอดิศัยก็หดเล็กลงอย่างใช้ความคิด
กูลืมไปสนิท...ไอ้สารวัตรอรุณคงขนคนมาควานหาตัวไอ้สิงห์...ชะ...ไอ้ห่านี่
...ดวงแข็งนัก...เห็นทีจะคอยดักจับอย่างเดียวไม่ได้...ดีนะที่ในหุบสัญญาณ
มือถือคงไม่มี...ไอ้เหี้ยสิงห์มันติดต่อใครไม่ได้...และไอ้พวกสารวัตรหน้า
โง่คงขึ้นไปกระจายค้นกันบนดอย...
มือไวเท่าความคิด
พ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตรต่อสายไปยังนายคำที่ล่วงหน้าลงจากดอยไปแล้ว
“ไอ้คำ...มึงไปตามมือดีๆ
ที่ถนัดแกะรอยจากในเวียงมาสักสี่ห้าคน
ส่วนหนึ่งทำตามแผนเดิมคือกระจายดักไอ้สิงห์ที่หุบทางใต้
ส่วนมึงนำพวกมือดีตามเข้าไปควานหาตัวมันในหุบ...กูไม่แน่ใจว่าไอ้สารวัตร
อรุณมันจะเป็นก้างขวางคอหรือเปล่า...แต่พวกมันคงเสียเวลาค้นบนดอยสักพักใหญ่
...มึงพอมีเวลา...รีบเข้าไปล่าตัวไอ้สิงห์กับอีเด็กนั่นและเก็บพวกมันซะใน
หุบนั่นแหล่ะ...”
“ครับพ่อเลี้ยง...ไม่ต้องห่วงผมจะพยายามควานหาตัวมันให้เจอให้ได้...ยิ่งมี
นังเด็กนั่นไปด้วย...ผมเชื่อว่าน่าจะมีร่องรอยให้สาวได้ไม่ยาก”
พ่อเลี้ยงอดิศัยผงกศีรษะอย่างพอใจ
ทันใดนั้นเองเสียงเรียกเข้าอีกสายก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มยกมือถือขึ้นมาก็แลเห็นเบอร์ที่เขาต้องรีบเปิดรับ
“เออ
แค่นี้ล่ะ...”
ชายหนุ่มตัดสายของลูกน้อง
และเปิดรับสายที่เรียกเข้ามาใหม่นั้น
พร้อมกรอกเสียงลงไป
“ครับ...ผมอดิศัยพูด”
เสียงทางปลายสายนั้นดังขึ้นมาครู่หนึ่ง
ใบหน้าของพ่อเลี้ยงปางเทพนิมิตรก็ผงกศีรษะ
“ฝากบอกกับท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วง...ขอบคุณมากที่แจ้งข่าวมาบอก...เราเองก็
ระวังอยู่เหมือนกัน...สายของเราก็แจ้งเตือนมาว่าพวกนั้นกำลังกวดขัดหนักใน
สินค้าล๊อตใหม่....”
พ่อเลี้ยงอดิศัยหยุดฟังเสียงทางปลายสายที่ถามไถ่มา
ก็หัวเราะตอบว่า
“โอว...เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง...ทางนี้ไม่มีปัญหาในการเก็บของอย่างแน่
นอน...แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ...เราคงดึงเอาไว้ไม่นาน...เพราะพวกผมจะพยายาม
เบี่ยงเบนความสนใจของพวกนั้น...คิดๆ
ไว้แล้วว่าอาจจะให้ข่าวลวงไปก่อน...แล้วค่อยระบายสินค้าออก...น่าจะดำเนิน
การได้ในไม่ช้านี้แหล่ะครับ...”
ชายหนุ่มหัวเราะร่า
เมื่อได้ฟังคำจากอีกด้านหนึ่ง
“แน่นอนครับ...ฝากบอกท่านด้วย...ว่าผมคงไปกราบท่านเร็วๆ
นี้”
จากนั้นเมื่ออีกด้านวางสายไปแล้ว
อดิศัยก็หันไปยังสมุน
“ของถูกส่งมาครบหรือยังวะ”
“เกือบครบแล้วครับพ่อเลี้ยง...อีกสักอาทิตย์หนึ่ง...”
ชายฉกรรจ์ที่ยืนด้านหลังตอบ
พ่อเลี้ยงอดิศัยผงกศีรษะอย่างพอใจ
ก่อนจะเดินย้อนกลับไปที่รถกระบะคันเล็ก
โดยมีคนติดตามทั้งหมดรวมทั้งนายแสงที่บาดเจ็บนั่งอยู่ที่ด้านหลัง
พากันหายลับไปในความมืด
......................
เมื่อรถที่ตามติดกันไปนั้นหลุดออกมาบริเวณชานเมือง
สองฟากทางนั้นเริ่มมีทุ่งนากว้างใหญ่สุดลูกตา
จากถนนสายหลัก
รถตู้นำหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นถนนสายรอง
และวิ่งฝ่าความมืดเข้าไปในตามเส้นทางถนนภายในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง
ยิ่งรถวิ่งลึกเข้าตามเส้นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวท้ายหมู่บ้าน
ก็ทะลุออกไปยังเส้นทางแคบๆ
ตัดผ่านทุ่งหญ้าแฝกที่สูงท่วมหัว
ภาพที่มองเห็นจากด้านนอกนั้น
ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งบีบเค้นไปในหัวใจอันบอบบางของอรอุษาจนตัวสั่นสะท้าน
ดวงตากลมนั้นหลั่งน้ำตาไหลรินออกมาอย่างประหวั่นพรั่นใจ
“คุณพ่อคุณแม่ขา...ช่วยลูกษาด้วย...ษากลัวเหลือเกินค่ะ...ษา..กลัวจริงๆ”
เด็กสาวคร่ำครวญหวนไห้ในใจ
ราวกับว่าบิดามารดาของเธอที่ล่วงลับไปแล้วจะสามารถมีฤทธิ์ดลบัลดาลให้เธอพ้นภัยได้ฉะนั้น
รถตู้ที่นำหน้าแล่นผ่านถนนไปอีกช่วงใหญ่
จนกระทั่งเข้ามาจอดตรงบริเวณที่มองไปเห็นแค่ไกลๆ
ว่ามีบ้านไม้ของชาวบ้านที่อยู่ห่างไปลิบๆ
ตรงริมบึงแฝก สภาพรอบด้านนั้นมืดสนิท
วังเวงอย่างน่าหวาดหวั่นกดดันจนอรอุษาผู้อ่อนเยาว์ถึงกับตัวสั่นระริก
กำมือเล็กๆ ของเธอแนบแน่น
ดวงตาเบิกโพลงอย่างหวาดผวาในสิ่งที่เธอกำลังเผชิญ
ศักดาเคลื่อนรถคันงามของเขาไปจ่อท้าย
เมื่อรถนิ่งแล้วนายชดที่ด้านหลังก็ส่งเสียงแหบห้าว
“ออกไปจากรถ...”
จิ้งจอกสวาทหันมามองเด็กสาวข้างกาย
ที่ตอนนั้นใบหน้างามเต็มไปด้วยรอยทางของหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตากลม
สวยนั้น ชายหนุ่มกล่าวปลอบใจ
“ไม่ต้องกลัวนะ...น้องษา...พี่ไม่ยอมให้ใครอันตรายน้องษาแน่นอน...รอพี่ในรถนะครับ”
“ไม่ได้...ลงไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหล่ะ”
นายชดตวาดเสียงเหี้ยม
ศักดาหันไปพูดเสียงแข็ง
“ให้น้องษารออยู่ในรถก็ได้...ฉันจะลงไปตกลงกับพวกแกเอง”
“ฮ่ะฮ่ะ...ไม่ต้องมาสะเออะเสนอความเห็น...กูบอกให้ลงก็ลงไป...หูหนวก..ไม่ได้ยินเรอะ!!”
ตอนท้ายหน้าเหี้ยมๆ
นั้นหันมาตวาดอรอุษา
ซึ่งสร้างความความพรั่นพรึงแก่เด็กสาวจนรีบปลดเข็มขัดนิรภัยและเปิดประตูออกไปจากรถทันที
อีกด้านหนึ่งศักดาก็เปิดประตูลงไป
อรอุษาที่กำลังหวาดผวาราวกับกวางน้อยพลัดจากอกแม่
ยึดถือศักดาเป็นที่พึ่งแห่งเดียว
รีบผวาเข้ามายืนแอบอยู่ข้างหลังชายหนุ่ม
เสี่ยคิ้มลงมาจากรถตู้พร้อมกับนายตี๋ยืนคอยอยู่แล้ว
ตอนนั้นดวงตาสามเหลี่ยมของเสี่ยนักค้าทองจับจ้องไปยังใบหน้าหวานสวยที่กำลัง
มีน้ำตานองหน้าอย่างกระหายหื่น
อูยยยยย...ยิ่งดูก็ยิ่งสวย...อ่อนขบเผาะ....ท่าทางตื่นๆ
อย่างนี้รับรองว่าไร้เดียงสาสดๆ
ซิงๆ
อย่างที่น้องไอซ์บรรยายสรรพคุณเอาไว้...ฮ่าฮ่า...ไม่ต้องร้องไห้ไปหรอกหนู
จ๋า...เดี๋ยวเสี่ยคิ้มจะพาหนูขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด...กลางทุ่งนี่แหล่ะ...ฮ่า
ฮ่าฮ่า
“เสี่ย...เรามีอะไรก็ตกลงกันได้นะครับ...”
ศักดาพูดเสียงแหบพร่า
ชายหนุ่มนั้นในใจก็หวาดผวาไม่แพ้อรอุษา...มิหนำซ้ำอาจจะมากกว่าด้วย...เพราะ
คดีเก่าที่ตนเองทำเอาไว้กับเสี่ยคิ้มนั้น...เขาเดาไม่ถูกเลยว่าเสี่ยนักค้า
ทองนั้นจะจัดการกับตัวเขาอย่างไร....ที่ทำแข็งใจนั้นก็เป็นเพราะสถานภาพที่
เขายังคงพยายามรักษาอาการต่อหน้าเด็กสาวที่ยืนแอบอยู่ด้านหลังเท่านั้น
หวนนึกถึงสองคนนั่นมีปืน
ถ้าเสี่ยคิ้มต้องการล้างแค้นด้วยการเก็บเขา...สถานที่นี้มันก็เหมาะเหลือ
เกิน...เปลี่ยว...ห่างไกลจากหูตาชาวบ้าน...บึงแฝก...แค่ถ่วงศพของเขาลงไปก็
แทบจะไร้ร่องรอยว่ามีอะไรเกิดขึ้น...
พอคิดในแง่ร้ายอย่างนั้น
ทำให้ใบหน้าของจิ้งจอกสวาทซีดสลด
ดวงตาเบิกพล่านด้วยความหวาดกลัว
เสี่ยคิ้มหัวเราะกระเส่า
ให้สัญญาณบอกพลางพูด
“เราไปคุยกันหน่อยเป็นไร...”
พูดจบก็พยักเพยิดให้ชายหนุ่มเดินตามมมา
พออรอุษาขยับจะเดินตามไป
นายชดก็เข้ามาขวาง ตวาด
“อยู่เฉยๆ...”
เด็กสาวแสนสวยผวาถอยกลับไป
ส่งเสียงเครือสะท้าน
“พี่ศัก...”
ศักดาหันกลับไปกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร...น้องษาคอยพี่ที่นี่แหล่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นอรอุษาจึงทำได้เพียงแค่ยืนตัวสั่น
พยายามถอยออกไปให้ห่างจากนายชดที่ยืนถมึงทึงอยู่
ดวงตากลมสวยที่ฝ้าฟางไปด้วยหยาดน้ำตา
มองไปยังศักดาที่เดินตามเสี่ยคิ้มไป
โดยมีนายตี๋ยืนประกบอยู่ไม่ห่าง
พอเดินมาจนห่างระยะหนึ่งแล้ว
เสี่ยคิ้มก็หยุดเท้า
ศักดาส่งเสียงแหบพร่า
“เสี่ย..เสี่ยต้องการอะไรจากผม...ผมให้หมด...ได้โปรดอย่าทำอะไรกับผมเลยนะครับ”
เสี่ยคิ้มหัวเราะกระเส่า
ปรายตามองไปยังอรอุษาที่ยืนอยู่ไกลๆ
แล้วแสยะยิ้ม
“หึหึ...มึงหลอกฟันเด็กกู...ยังเสี้ยมให้มันขโมยเงินกูมาปรนเปรอมึง...แล้วมึงคิดว่ากูควรคิดบัญชีกับความเลวของมึงยังไงวะ...ไอ้ศักดา”
ศักดาพนมมือไหว้เสี่ยนักค้าทอง
กล่าวเสียงสะท้าน
“ผม...ผมผิดไปแล้ว...เสี่ยยกโทษให้ผมด้วยเถอะครับ...ผมยินดีชดใช้ค่าเสียหาย
ให้กับเสี่ย...ผมเอาเงินเสี่ยไปเท่าไหร่ผมชดใช้คืนให้สิบเท่าเลย...”
ดวงตาของเสี่ยคิ้มวาวโรจน์....ความจริงเขาไม่ได้รับรู้ว่าคันธรสนั้นช่วง
หนึ่งเคยตกเป็นเครื่องเล่นของศักดา...แต่ตอนนี้หลังจากได้ฟังคำพูดของ
จิ้งจอกสวาท และมองไปยังรถคันหรูที่อีกฝ่ายขับ
....อือม์...น้องไอซ์ไม่ยักบอก...ไอ้ศักดาท่าทางมันคงปอกลอกเหยื่อรวยๆ
มาจนตอนนี้มีเงินไม่ใช่น้อย....
แผนการที่วางไว้กับฐิติพรรณไม่มีเรื่องกรรโชกทรัพย์รวมอยู่ด้วย
แต่ตอนนี้สันดานมักมากของเสี่ยค้าทองที่ไม่เพียงแต่บ้าตัณหา
แต่ยังเป็นคนละโมบด้วย
ต้องครุ่นคิดในใจ
....ไอ้ศักดากลัวขี้หดอย่างนี้...กูจะจัดการเมื่อไหร่ก็ได้...เก็บมันตอนนี้กูก็เสียเงินไปฟรีๆ
น่ะสิวะ...
เมื่อได้คิดอย่างนั้น
ดวงตาของเสี่ยคิ้มก็วูบวาบ
พลางยิ้มว่า
“จริงเรอะ...แกไม่ได้หลอกฉันเพื่อเอาตัวรอดใช่ไหม”
จิ้งจอกสวาทได้ยินน้ำเสียงและคำพูดของเสี่ยคิ้มที่มีร่องรอยอ่อนลงก็ใจเต้นแรงด้วยความหวัง
รีบเค้นเสียงออกไประรัวเร็ว
“มะ..ไม่แน่นอน...ครับ...เสี่ยให้คนคุมตัวผมไว้เลย...พรุ่งนี้ผมจะไปถอนเงินให้เสี่ย...เสี่ยอยากได้เท่าไหร่บอกผมมาเลยครับ”
เสี่ยคิ้มหัวเราะร่วน
“ฮะฮะ...แกชดใช้เงินที่โกงฉัน...แล้วส่วนที่แกหลอกฟันเด็กของฉันล่ะ...แกจะชดใช้ด้วยอะไร”
จิ้งจอกสวาทแลเห็นนัยน์ตาของเสี่ยคิ้มปรายไปยังอรอุษาที่ยืนอยู่ห่างๆ
นั้น ชายหนุ่มก็เข้าใจทันที
รีบกล่าวเสียงนอบน้อมเอาใจ
“ถ้าเสี่ยต้องการ...ผมยกแฟนผม...น้องษาให้เสี่ยเลยครับ”
เสี่ยค้าทองหัวเราะกระเส่าท้อง
ใบหน้าสี่เหลี่ยมนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างชั่วช้าลามกขณะที่พูด
“ไม่ใช่แกทิ่มเด็กนั่นจนพรุน...เบื่อแล้วทำมาเป็นยกให้ฉันนะ”
“โอวว...รับรองครับเสี่ย...น้องษาน่ะยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ไม่เคยผ่านใครมาก่อน...ผมรับประกันครับ”
ศักดาโพล่งออกไปอย่างรวดเร็ว
แสดงสีหน้าตาแววตาขึงขังด้วยใจจริง...ซึ่งเสี่ยคิ้มที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
อยู่แล้ว แต่แกล้งทำเป็นยิ้มแย้มออกมาแล้วว่า
“อือมม์...ถ้ามันเป็นอย่างที่แกว่ามาจริงๆ...ถ้านังเด็กนั่นทำให้ฉันมีความ
สุขได้สมใจ...บางทีเรื่องเก่าๆ
ของเราก็อาจจะพอคุยกันได้...”
ใบหน้าหล่อเหลาของจิ้งจอกสวาทนั้นยิ้มออกมาได้
เมื่อมาถึงวินาทีคับขันแห่งชีวิต
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีค่าเทียบเท่ากับชีวิตของตนเอง
ตอนนี้ไม่ว่าอะไรศักดาก็ยอมเพื่อแลกกับความพึงพอใจของเสี่ยคิ้ม
จิ้งจอกโฉดค้อมตัวพนมมือไหว้เสี่ยนักค้าทองอีกที
กล่าวว่า
“ทุกอย่างที่ผมพูดเป็นจริงทุกคำแน่นอนครับ...ผมไม่กล้าหลอกเสี่ยหรอกครับ”
เสี่ยคิ้มหัวเราะร่วน
ดวงตาสาดประกายหื่นกระหาย
ครุ่นคิดในใจ
ไอ้ศักดาหน้าโง่...นังเด็กคนสวยนี่มึงไม่ยกให้กู...กูก็เอาทำเมียอยู่แล้ว
...ส่วนตัวมึง...ขอให้มึงโอนเงินให้กูก่อน...กูค่อยเก็บมึงทีหลังก็ไม่สาย
เว้ย...ฮ่าฮ่าฮ่า
เสี่ยนักค้าทองหัวเราะออกมา...จิ้งจอกสวาทที่ไม่รู้ความในใจของอีกฝ่ายก็ผสม
โรงยิ้มออกมาด้วย
ขณะที่นายตี๋ที่รู้จักเจ้านายดีแค่นหัวเราะอย่างสมเพทศักดาอยู่ในความมืด
..............................
หลังจากพักจนพอจะหายคลายไปจากการปวดขัดไปทั้งตัวอยู่พักใหญ่
คมศรก็พาอรนุชเดินออกจากที่นั้น
ชายหนุ่มหยิบมือถือออกมา
กดดูสัญญาณแล้วส่ายศีรษะ
ขณะที่อรนุชชะโงกหน้ามาดูก็อุทานว่า
“ว้า...ไม่มีสัญญาณเลย”
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักเก็บมือถือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
ก่อนจะหยิบตลับเล็กๆ ออกมาเปิด
ข้างในเป็นเข็มทิศ
ซึ่งชายหนุ่มมองลงไปบนหน้าปัด
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า
“เราคงอยู่ในหุบเขาทางตะวันตก...ถ้าจะย้อนกลับไปที่ปาง..ต้องเดินลงไปทางใต้อ้อมเขาไป”
“ไกลไหมคะ...”
เด็กสาวร่างบางถาม
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักมีสีหน้าแววตาที่หนักใจเร้นลับ
ก่อนจะรีบสลัดความกังวลออกไปจากใจ
กล่าวตอบคำ
“ก็พอดู...”
ใบหน้างามใสนั้นมีประกายยินดี
ก่อนจะที่รีบกล่าวละล่ำละลักอย่างกระตือรือร้น
“ถ้าอย่างนั้นเราเดินกลับไปกันตอนนี้เลยดีไหมคะ...พี่แต๋วคงร้อนใจพิลึกแล้ว
ล่ะตอนนี้...โอวว...ใช่...ฉันลืมไปเลย...นี่ถ้าพี่แต๋วโทรไปบอกพี่อรกับยาย
ษา...สองคนนั้นคงกลุ้มใจแทบตายไปแล้ว”
คมศรยิ้มนิดหนึ่ง
“คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับทางบ้านหรอก...เพราะก่อนที่ผมจะออกมาตามคุณ...ผม
ได้คุยกับคุณแต๋วเอาไว้แล้วให้เก็บเรื่องคุณเป็นความลับไว้ก่อน...ผมขอเวลา
เขาสองวันจะพาคุณกลับไปเงียบๆ
ไม่ให้เรื่องมันแพร่ออกไป...”
อรนุชผงกศีรษะ
ดวงตามีประกายพราวหวาน
เมื่อยิ้มว่า
“ขอบคุณค่ะ...คุณรอบคอบจัง...ไม่งั้นพี่อรกับยายษาคงเป็นห่วงแย่...”
คำพูดซื่อๆ
ใสๆ นั้นทำให้คมศรถอนหายใจยาว
อรนุชไม่โกรธที่เขาควรจะแจ้งเรื่องให้กระจายออกไป
เพื่อระดมความช่วยเหลือจากด้านต่างๆ
เพื่อให้ช่วยตามหาเธอ
แต่กลับขอบคุณเขาที่ไม่ทำให้พี่น้องเป็นห่วง...มันแสดงให้เห็นชัดว่าเธอนั้น
แคร์ความรู้สึกของพี่สาวและน้องสาวมากยิ่งไปกว่าสวัสดิภาพส่วนตัวเสีย
อีก....
พร้อมๆ
กับความคิดใน
ดวงตาสีเหล็กนั้นเปล่งประกายวูบวาบออกมา...พริบตานั้นมันบังเกิด...ความ
ลังเล...ความไม่แน่ใจ...ความขัดแย้ง...แว่บขึ้นมา....
แต่ประกายตาอันสับสนนั้นเกิดขึ้นมาเพียงแค่ชั่วแว่บ
ก่อนที่ทุกอย่างจะสลายไปเป็นปกติ
จากนั้นพ่อเลี้ยงปางห้วยสักก็ถอดเสื้อแจ๊กเก็ตตัวนอกออกส่งให้เด็กสาว
“อากาศเริ่มหนาวแล้ว...ใส่เสื้อหนาๆ
หน่อย...เดี๋ยวจะไม่สบายไป...เรายังไม่ปลอดภัย...ถ้าคุณเป็นอะไรไป...จะ
ลำบากเรามากขึ้นในการเดินทางกลับ...”
ความจริงอรนุชก็เดินตัวสั่นอยู่ก่อนแล้ว
เธอยังอยู่ในเครื่องแต่งกายตัวเดิมตั้งแต่เช้า
ซึ่งเป็นแค่เสื้อยืดคอปกแขนสั้นสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ
ซึ่งเนื้อผ้าฝ้ายนุ่มสบายนั้นค่อนข้างบางตรงตามวัตถุประสงค์ที่เธอเตรียมใส่
มาเพื่อเข้ากิจกรรมกองประกวดภาคเช้า
ไม่ใช่มาเดินป่าดึกดื่นค่ำคืนอันเย็นเยียบเช่นนี้
อากาศอันเยือกเย็นชำแรกเข้ามาในเนื้อผ้า
จนผิวกายอันบางของเธอนั้นสั่นสะท้าน
ปวดแสบไปหมด
ยิ่งได้ฟังคำพูดของชายหนุ่มที่แสดงเหตุผลอันสำคัญที่เธอต้องดูแลรักษาตัวเอง
เอาไว้ ก็ทำให้เด็กสาวไม่อยากจะฝืนแสดงความเก่งอะไรออกไป
รับเสื้อมาใส่แต่โดยดี
ยืนห่อตัวรับไออุ่นที่ยังคงค้างอยู่ในเสื้อตัวนั้นอย่างอิ่มใจ....
คมศรพาอรนุชเดินเลาะไปตามไหล่เขา
เพียงแค่อาศัยแสงสว่างจากดวงดวงลางๆ
เป็นเครื่องนำทาง
แต่ในเวลานั้นอรนุชชักมีสีหน้าสงสัยในทิศทางที่อีกฝ่ายเดิน
ทั้งๆ
ที่ไม่ใช่เป็นนักเดินป่าแต่อย่างใด
ทว่าเด็กสาวเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายว่าตัวเองจะต้องเดินเลียบเขาไปทางใต้เพื่ออ้อม
กลับไปสู่ปางห้วยสัก
เขาสูงใหญ่ที่ทมึนตระหง่านเสียดฟ้าอยู่ในความมืดนี้ก็สมควรต้องอยู่ทางซ้าย
มือของตัวเองสิ...แต่ทำไมมันอยู่อีกด้านหนึ่ง...เหมือนกับพวกเธอกำลังเดิน
ขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆ....
อรนุชเฝ้าเก็บความสงสัยเอาไว้อีกพักหนึ่งก็อดรนทนไม่ได้
เอ่ยถามเบาๆ...
“คุณบอกเราจะเดินลงไปทางใต้เขา...ทำไมฉันรู้สึเหมือนกับว่าคุณเดินไปทิศตรงกันข้ามล่ะคะ?”
คมศรปรายตามามองเด็กสาวร่างเล็กที่แหงนหน้าขึ้นถาม
แววตาพิศวงแกมชื่นชมฉายขึ้นมาแว่บหนึ่ง
ก่อนจะหัวเราะหึหึ กล่าวว่า
“คุณเข้าใจถูก...เราไม่ได้เดินลงไปทางใต้หุบหรอก...”
“อ้าว....แล้วเราจะกลับไปที่ปางได้ยังไงคะ”
อรนุชทำหน้างง
เท้าเล็กๆ
ที่กำลังก้าวเดินตามร่างสูงใหญ่นั้นหยุดลงอย่างฉับพลัน
ขมวดคิ้วเรียวของเธออย่างไม่เข้าใจ
คมศรฉวยข้อมือเล็กจะฉุดให้เดินต่อ
พลางว่า
“เดิน...เราต้องไปให้พ้นจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด..."
แต่ในเวลานั้นเด็กสาวสะบัดข้อมือหนีเต็มแรง
กล่าวเสียงแข็ง
“ฉันไม่เดินไปไหนทั้งนั้น...จนกว่าคุณจะบอกว่ากำลังคิดอะไรอยู่...จะพาฉันไปไหน...ฉันจะกลับบ้าน...”
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักส่ายศีรษะ...แม่สาวน้อยหัวดื้อ...เธอน่ะฉลาด...แต่ไร้เดียงสาเหลือเกิน...
“ถ้าอยากกลับบ้านก็เชื่อฟังผม...”
คมศรว่าแล้วก็ฉวยข้อมือเล็กบางนั้นอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ยอมปล่อยให้อรนุชสะบัดหนี
ฉุดดึงร่างเล็กบางให้เดินตามมา
ท่ามกลางอาการขัดขืนสะบัดตัวอย่างไม่พอใจของเด็กสาว
“เอ๊ะ!!!...คุณหมายความว่ายังไง...ปล่อยมือฉันนะ...”
อรนุชพูดเสียงขุ่น...พยายามสะบัดมือ...แต่ปลอกมือที่รัดเธอแน่นนั้นไม่
อนุญาต...คมศรกล่าวเสียงเรียบๆ
ตอบ ขณะที่เท้านั้นก้าวเดินรุดหน้าไม่หยุด
“ถ้าคุณรู้ว่าเราจะกลับปางต้องเดินทางไหน...แล้วมีหรือ...ไอ้อดิศัยมันจะไม่รู้...”
คำพูดของอีกฝ่าย
ทำให้อาการขัดขืนของเด็กสาวปลาศนาการไปโดยสิ้นเชิง
เท้าเล็กๆ
รีบเคลื่อนตามร่างสูงใหญ่ไปโดยแรงกระตุ้นจากความหวาดผวาในความดุร้ายเหี้ยม
โหดของพ่อเลี้ยงอดิศัยที่ยังเกาะกุมจิตใจของเธอไม่สร่างซา
ดวงตากลมโตนั้นมีประกายพรั่นพรึง
เมื่อว่า
“คุณ..คุณหมายความว่าพ่อเลี้ยงอดิศัย...เขา...เขายังไม่ยอมรามือหรือคะ”
“ไร้เดียงสาเกินไปหน่อยไหมคุณ...คนอย่างไอ้อดิศัยน่ะหรือจะยอมรามือ...มันคงส่งคนตามเข้ามาควานหาตัวเราให้ควั่กแล้วล่ะ...”
คมศรพูดถึงตอนนี้ทำให้อรนุชไม่มีปากเสียงอะไรอีกเลย
รีบจ้ำเท้าตามร่างสูงใหญ่เดินรุดหน้าไปอย่างหวาดหวั่น
ความวิตกกังวลที่ซ่านจับใจ...ทำให้เธอคอยหันไปมองด้านหลังอยู่เป็นระยะๆ
ซึ่งพ่อเลี้ยงปางห้วยสักเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะในลำคอ
กล่าวเบาๆ
“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้...พวกมันควานหาตัวเรา...คงเคลื่อนที่ไม่เร็วนัก...เรายังมีเวลาหนี”
น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นมีพลังอย่างประหลาด...สร้างความอุ่นใจให้กับเด็กสาว
ที่กำลังขวัญเสีย
จนความวิตกกัลวลที่พล่านอยู่ในอกนั้นสงบลงไปอย่างรวดเร็ว...อรนุชผ่อนลม
หายใจยาวๆ...ก่อนที่จะมีใบหน้าร้อนวูบ...รู้สึกโกรธตัวเองขึ้นมาครามครัน...
ที่แสดงออกเหมือนกับคนขี้ขลาดตาขาว
“แล้วเราจะไปที่ไหนคะ”
เด็กสาวสอบถาม
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักที่เดินนำหน้า
กล่าวตอบโดยไม่หันกลับมามองว่า
“สิ่งที่เราต้องทำโดยเร็วที่สุดคือการหาทางพื้นที่ที่รับสัญญาณมือถือได้...ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี...”
จากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไรกันอีก
คมศรเดินพาอรนุชเดินไม่หยุดเท้า
จนเด็กสาวเริ่มหอบด้วยความเหนื่อย
คมศรปรายตามองมาอย่างเห็นใจเว่บหนึ่ง
แต่เขายังหยุดไม่ได้...เพราะพื้นที่บริเวณนี้ยังเสี่ยงอยู่กับการตามล่าของ
พวกมัน
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักเดินตะลุยป่าไปอีกพักใหญ่ก็หลุดมาจนถึงบริเวณป่าโปร่ง
แถบหนึ่ง
ชายหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมาก็สบถพึมพำในลำคอ...ยังไม่มีสัญญาณเหมือนเดิม....
จากเท่าที่สายตาของเขากะคร่าวๆ
กว่าจะเดินหลุดป่าออกไปอีกช่วงก็คงใช้เวลาไม่น้อย
ถ้าจะเดินลุยป่าในยามค่ำคืนอย่างนี้ต่อไปคงไม่เหมาะ...ร่างกายของอรนุชก็คงรับไม่ไหวแล้ว...ต้องหาที่ค้างแรมก่อน...
คมศรครุ่นคิด
ก่อนที่จะหันไปด้านข้าง...ในเวลานั้น...ชายหนุ่มเห็นเด็กสาวที่ตัวเล็กจ้อย
แต่มีใจเที่เด็ดเดี่ยวเหลือขนาด...คงจะหนื่อยแทบขาดใจแต่ก็ไม่ยอมปริปากพูด
ออกมาแม้แต่คำเดียวนั้นเดินโผเผไปทรุดตัวลงกับพื้นพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ใบหน้างามนั้นซีดขาว...ศีรษะเล็กนั้นพิงไปกับลำต้นหลับตานิ่ง
ขณะที่อรนุชกำลังรู้สึกซึมๆ...เหนื่อยเหลือเกิน....อยากนอนจัง....
แต่คนตัวใหญ่นั้นก็ใจดำเหลือเกิน...เธอนั่งยังไม่ทันไร
มือหนาก็ฉวยไปที่ข้อมือเล็กบางนั้นฉุดขึ้นมา...ใบหน้าคร้ามคมนั้นเกรียม
กระด้าง ไม่หันมามองแม้แต่แว่บเดียว
ฉุดเธอเดินต่อ
อรนุชน้ำตาคลอ...ฮึ...จะฆ่ากันหรืออย่างไร...นั่งพักหน่อยก็ไม่ได้...
ตอนนั้นเด็กสาวล้าจนแทบก้าวขาไม่ออก...แต่ไม่ยอมปริปากบ่น...ฝืนใจเดินลากขาตามร่างสูงใหญ่ที่เดินตัดเข้าไปในราวป่าอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งสองเดินทะลุเข้าไปในราวป่าที่ค่อนข้างทึบนั้นช่วงใหญ่
สายตาสีเหล็กอันตื่นตัวของคนศรกวาดมองไปรอบด้าน
เพื่อหาที่เหมาะสมในการพักแรม....
ในที่สุดพ่อเลี้ยงปางหัวสักที่เดินเลาะไปตามไหล่เขา
ก็เดินมาหยุดตรงบริเวณที่มีชะง่อนหินใหญ่กำบังลมได้ดี
กวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็ตกลงใจ
จึงจูงร่างบางไปนั่งอยู่ชิดริมผนังแล้วพูดเบาๆ
“คุณนั่งพักตรงนี้ก่อน...”
อรนุชเหนื่อยจนไม่รับรู้อะไรแล้ว
เด็กสาวทำตามเหมือนกับตุ๊กตาไขลาน
นั่งแปะไปกับพื้นดินที่ร่วนซุยนั่งสบายพอสมควรถึงแม้พื้นดินบริเวณนั้นจะส่ง
ผ่านเย็นยะเยือกแผ่ขึ้นมาตามลำตัว
ก่อนจะเอนพิงไปกับผนังและหลับตาลงอย่างสุดเพลีย
เด็กสาวเผลอหลับไปในสภาพนั้น
จนกระทั่งเธอมารู้ตัวอีกทีก็มีเสียงเรียกใกล้ๆ
พร้อมๆ กับรับรู้กระแสอุ่นๆ
ที่ไล่เข้ามากระทบร่างกาย
อรนุชสะดุ้งลืมตาขึ้นมาก็แลเห็นใบหน้ายิ้มๆ
ที่ไว้เครารกครึ้มนั้นจ่อเข้ามาจนเกือบจะแนบชิดแก้มบางของเธอแล้ว...ข้างๆ
ตัวเธอนั้นยังมีกองไฟที่แลบเลียเปลวอันอบอุ่นที่แผ่เข้ามาบรรเทาความหนาวยะ
เยือก
เด็กสาวใจหายวาบ
ใบหน้าร้อนซู่ขึ้นมาทันที
รีบขยับตัวกระเถิบหนีออกไป
ใจเต้นระรัว...นี่เธอเผลอหลับให้เขาจ้องมองอย่างนี้นานแค่ไหนนะ...
คมศรหัวเราะหึหึ
ฉวยข้อมือเล็กบางนั้นเอาไว้
“ไม่ต้องกลัว...ผมไม่กัดคุณหรอกน่า...เอ้านี่...ผมหามาให้”
อรนุชมองตามไปในมือของอีกฝ่ายนั้นมีกระบอกไม้ไผ่ส่งมาให้
พอเธอรับมาอย่างงงๆ
ก็แลเห็นน้ำใสแจ๋วก็รีบยกขึ้นดื่มอั๊กๆ
อย่างสุดกระหายไปครึ่งหนึ่ง
ก่อนจะส่งคืนให้เขาดื่มบ้าง
แต่คมศรส่ายศีรษะ
ทำมือบอกให้เธอดื่มตามสบาย
เด็กสาวจึงยกขึ้นดื่มจนหมดปล้อง
“คุณหามาจากไหนคะ...ฉันไม่เห็นแม่น้ำหรือลำธารเลยนี่นา”
เด็กสาวร่างบางถาม
ใบหน้าสดชื่นขึ้นหลังจากได้นอนพัก
และดื่มน้ำดับกระหาย
คมศรยิ้มนิดหนึ่ง
“อยู่ป่าก็ต้องรู้วิธีใช้ชีวิตในป่าบ้าง...น้ำที่ต่อชีวิตเราบางครั้งก็ไม่
ได้มาจากแหล่งน้ำเสมอไป...ว่าแต่คุณเถอะ...เป็นยังไงบ้าง...ได้หลับตาสัก
ตื่น...ค่อยยังชั่วขึ้นหรือยัง”
เสียงถามนั้นนุ่มนวลอบอุ่นไม่ต่างอะไรกับเปลวไฟที่แผ่เข้ามากระทบตัวเธอ
ได้ฟังอย่างนั้นแล้ว...อรนุชรีบทำท่าทางให้กระฉับกระเฉง
เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ตัวเองนั้นเผลอนั่งหลับต่อหน้าเขา
“ฉัน..ฉันสบายดีแล้ว...เรารีบเดินกันต่อเถอะค่ะ”
คมศรหัวเราะหึหึ
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก...ตอนนี้ผมว่าเราก็มากันไกลพอแล้วล่ะ...พักค้างคืนกันที่นี่ก็ได้”
อรนุชใจเต้นระทึก
ใบหน้างามนั้นแดงซ่าน
ทวนคำตะกุกตะกัก
“เรา..เรา...จะค้างคืนกันที่นี่..หรือคะ?”
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักหัวเราะออกมา
นั่งลงเหยียดแข้งขาตัวเองบ้าง
กล่าวเสียงรื่นรมย์
“ก็งั้นสิ...ผมเองก็เหนื่อยเหมือนกันนา...ขาผมไม่ใช่ทำจากเหล็กนะจะได้ไม่ต้องการพัก...”
เด็กสาวร่างบางหันรีหันขวาง
ใบหน้าแดงก่ำ
ดวงตากลมโตนั้นวุ่นวายไปด้วยความคิดสารพัน
ก่อนจะโพล่งขึ้น
“แต่..แต่..พ่อเลี้ยงอดิศัยกำลังส่งคนตามมานะคะ...เราต้องรีบไปกันต่อ...”
คมศรทำเป็นไม่สังเกตุอาการร้อนรนของเด็กสาวตรงหน้า
ใบหน้าที่มีเคราปกคลุมนั้นยิ้มเอื่อยๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอก...ไอ้อดิศัยมันไม่ตามมาถึงที่นี่แน่”
อรนุชหมั่นไส้ท่าทางไม่อนาทรร้อนใจของอีกฝ่าย...ก็ใช่สิ...เธอต่างหากเป็นฝ่ายเสียหายถ่ายเดียวที่ต้องนอนค้างอ้างแรมกับเขา...
“ทำไม!?...คุณเป็นผู้วิเศษหรือถึงได้มั่นใจนัก”
เด็กสาวค้อนให้อย่างดุเดือดเมื่อกล่าวเสียงงอนๆ
คมศรหัวเราะระรื่น
หยิบปากิ่งไม้จากที่เขารวบรวมมาไว้อย่างเพียงพอจะใช้ได้ทั้งคืนเข้าไปในกอง
ไฟ พลางว่าด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
ดวงตาพราว
“เชื่อผมเถอะ...รับรองว่าคืนนี้เราคงปลอดภัยแน่...เพราะไอ้อดิศัยมันต้อง
เชื่อว่าพวกเราจะพยายามวกกลับไปทางใต้...มันจะต้องพลิกแผ่นดินบริเวณหุบ
ตามหาเราให้ควั่ก...ยิ่งไม่เจอเรา...หมอนั่นก็จะยิ่งหวั่นเกรงว่าพวกเราเล็ด
ลอดสายตาพวกมันไปได้หรือเปล่า...จะยิ่งส่งคน...สั่งให้บีบพื้นที่ทางหุบด้าน
ใต้นั้นเข้าไปอีก...ไม่มาสนใจหุบทางเหนือนี่หรอก”
“แหม...คุณพูดเหมือนอยู่ในใจของพ่อเลี้ยงอดิศัย...คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาคิดอย่างนั้นคะ?”
“ถ้าคุณมีประสบการณ์เหมือนผม...พยายามอ่านไพ่ในมือคู่ต่อสู้...จากอุปนิสัย
ใจคอ...ความคิดอ่านของอีกฝ่ายให้ชำนาญ...คุณก็สามารถชนะกินเดิมพันได้เหมือน
กับคุณเห็นไพ่ในมือเขาจริงๆ”
คมศรกล่าวยิ้มๆ...ขณะที่คนฟังเบะปากอย่างหมั่นไส้
“ฮึ...อบายมุขแท้ๆ...ยังมีหน้ามีคุยโต”
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักหัวเราะเสียงดัง
จ้องไปยังใบหน้างามที่กำลังค้อนเขาอยู่ด้วยจิตใจที่รื่นรมย์...ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถาม
“คุณหิวไหม...ผมหากล้วยป่ามา...คงพอจะช่วยประทังไปได้”
อรนุชสำรวจร่างกายตัวเองแล้วสั่นศีรษะตอบตามตรง
“ไม่ค่ะ..ไม่หิวเลย...มันตื้อๆ..”
คมศรที่หอบเอาใบกล้วยป่ามากองใหญ่ก็วางปูรองเอาไว้บนพื้นดินจนประหนึ่งราวกับฟูกที่นอน
ก่อนจะตบไปเบาๆ ยิ้มให้กับเด็กสาว
“เอาล่ะ...เรียบร้อย...ถึงจะไม่นุ่มเท่ากับเตียงนอน
แต่ก็พอใช้ได้...ทีนี้คุณก็พักตามสบาย...นอนให้เต็มตา...พรุ่งนี้อะไรจะเกิด
ขึ้น...ผมก็บอกคุณไม่ได้...”
น้ำเสียงของชายหนุ่ม
ทำให้อรนุชตาโต กล่าวเสียงแผ่วเบา
“คุณ...คุณหมายความว่ายังไง?...ก็ไหนคุณบอกว่าเราปลอดภัยแล้วไงคะ”
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักยักไหล่
“ที่ผมพูดน่ะหมายถึงคืนนี้...แต่วันพรุ่งนี้มันอีกเรื่อง...ไอ้อดิศัยมันไม่
ใช่คนโง่...ถ้ามันควานหาเราไม่เจอในหุบทางใต้...มันต้องส่งคนไปสอดแนมดูว่า
ผมกลับไปที่ปางแล้วหรือยัง...ถ้าข่าวบอกมาว่าผมยังไม่ได้กลับไป...มันต้อง
คะเนได้ว่าผมหนีขึ้นมาทางเหนือ....”
ชายหนุ่มหัวเราะเอื่อยๆ
“ผมไม่อยากพูดโกหก...บริเวณนี้เป็นเขตอิทธิพลของไอ้อดิศัยมัน...ถ้ามันคิดว่าผมอยู่แถวนี้...มันต้องระดมคนมาล่าตัวเราแน่นอน...”
ใบหน้างามซีดขาว
ก่อนจะกล่าวเสียงเบาหวิว
“ถ้าพวกนั้นเจอพวกเราล่ะคะ?”
คมศรกล่าวยิ้มๆ
ราวกำลังพูดเรื่องเล่นๆ
เรื่องทั่วไปที่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
“ผมไม่ใช่พระเอกหนังไทย...และพวกมันก็ไม่ใช่ผู้ร้ายแบบในหนัง...กระสุนปืน...ของจริง...คุณเองก็น่าจะรู้ว่ามันไม่เข้าใครออกใคร...”
อรนุชใจหาย....หวนนึกไปถึงพี่สาวและน้องสาว...เธอจะไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าของคนที่เธอรักที่สุดอีกแล้วหรือ?
คมศรยิ้มเล็กน้อย
กล่าวด้วยใบหน้าที่ยังคงความรื่นรมย์
“แต่คุณอย่าเพิ่งคิดมากเกินไปเลย...เรื่องของพรุ่งนี้ก็เอาไว้พรุ่งนี้ค่อย
คิดอีกที...เราอาจจะรอดหรือเราอาจจะตาย...ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจในตอน
นี้....ทางที่ดีนอนเอาแรงไว้ก่อนดีกว่า”
อรนุชนั่งชันเข่า
อังมือที่เล็กบางของตัวเองเข้ากับกองไฟเพื่อรับไออุ่น
เวลานั้นเด็กสาวกำลังอัดอั้นตันใจ...ไม่มีความสามารถในการปล่อยวางได้เหมือน
คนร่างสูงที่กล่าวคำพูด
เธอส่ายศีรษะช้าๆ
“เมื่อครู่นี้ฉันหลับไปงีบหนึ่งแล้ว...ตอนนี้ยังไม่ง่วง...คุณล่ะคะ...ถ้าง่วงก็นอนไปก่อนเถอะ...ไม่ต้องห่วงฉัน”
คมศรยิ้มนั่งเหยียดขาอันยาวของตัวเองไปอย่างเต็มที่
นั่งเอนท้าวแขนไปด้านหลัง
ฮัมเพลงออกมาเบาๆ
ในลำคอท่าทางสบายอกสบายใจ
ดวงตาสีเหล็กจับจ้องมองไปยังผิวแก้มใสที่เปลวไฟกองนั้นสาดกระทบเป็นประกาย
ทองงามจับตาเหลือประมาณนั้นแน่วนิ่ง
จนอรนุชที่นั่งอยู่
แม้จะมีความในใจหนักอึ้ง
ยังต้องขยับตัวหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งอย่างอายๆ
จากมุมที่ชายหนุ่มมองเห็นแค่เสี้ยวหน้าด้านข้าง...แต่ก็เป็นด้านข้างของโครง
หน้ารูปไข่รีสวยที่งามจับใจเหลือประมาณ
จนคมศรถึงกับต้องกลั้นหายใจ...เบิกตามองดูอย่างซึมเซา
ภาพตรงหน้านั้น...หน้าผากโค้งนูนได้รูปที่รับกับช่วงลาดลงไปตามสันจมูกจรด
ปลายที่แหลมเล็กโด่งงาม
ดวงตากลมสวยกระจ่างราวกับดวงดาวถูกขับให้เด่นด้วยแพขนตางามงอนอ่อนช้อย
พวงแก้มที่บางใสนั้นอิ่มรับกับกลีบปากที่เรียวสวยราวกับดอกกุหลาบสีสด
ทุกประการในวงหน้านั้นรับกันอย่างเหมาะเจาะราวกับถูกบรรจงแต่งด้วยเทพนิมิตร
คมศรผ่อนลมหายใจยาว...ดวงตามกลมโตนั้นราวกับเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดให้เขาตก
ไปสู่ห้วงแห่งภวังค์อันทั้งหวานทั้งขมในอารมณ์ความรู้สึก...โดยไม่รู้ตัว...
ความคิดของเขาผุดขึ้นมา
สามพี่น้อง...โครงหน้าและส่วนประกอบอื่นๆ
แม้จะต่างกันไปบ้าง...แต่ทั้งหมดสวยจับใจเหมือนกันเพราะดวงตาคู่นี้นี่เอง...
.......................
อรอุษาที่กำลังยืนกระวนกระวายใจ
เบิกดวงตากลมโตที่กำลังเต็มไปด้วยแววตาแห่งความเป็นห่วงขณะจ้องไปยังร่างของ
ศักดาที่กำลังยืนอยู่ในความมืดสลัวที่ห่างออกไปจนเธอมองเห็นแค่เงาเสื้อรางๆ
ดวงตาคู่นั้น...สวยซึ้งเหมือนกับของพี่สาวทั้งสอง...จริงดั่งความคิดที่
กำลังอยู่ในห้วงคำนึงของคนร่างสูงที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร...
ขณะเดียวกันกับที่เธอกำลังเป็นห่วงในตัวของศักดา
ความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็บังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอันเนื่องมาจากสายตา
ของชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยที่เหลือกลานกวาดไปทั่วตัวของเธออย่างหยาบคายไม่มีการ
เบือนไปทิศทางอื่นเลย
ความหนาวเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปจนจรดแนวสันหลัง
จนทำให้ขนอ่อนทั่วกายลุกชัน...
เด็กสาวที่ยืนกอดอกตัวสั่นอยู่...แม้จะแสนรังเกียจ..และขยะแขยงต่อสายตาคู่
นั้นสักปานใด
แต่ก็ไม่รู้จะหลบเลี่ยงการจับจ้องมองอย่างชั่วช้านั้นไปที่ไหนได้
สิ่งเดียวที่เธอทำได้ก็คือการภวนาให้ศักดาสามารถตกลงกับคนพวกนี้ได้...พวก
เขาต้องการอะไรจากพวกเธอ...ถ้าต้องการเงิน...เธอยินดีให้ทั้งหมดทุกบาททุก
สตางค์ที่มีติดตัว...
ทันใดนั้นเอง
อรอุษาก็กรีดร้องออกมาอย่างตกใจ
เมื่อภาพที่เธอเห็นลางๆ
นั้นยังมองออกว่า
ร่างของศักดาถูกชายกรรจ์ล๊อคแขนเอาไว้ได้จากด้านหลัง
และชายผู้สูงวัยกว่ากำลังทำร้ายชายหนุ่มด้วยการชกไปที่ท้องและใบหน้า
“พี่ศัก...พี่ศัก...”
เด็กสาวร้องออกมา
ใบหน้างามนั้นพล่านไปด้วยความตระหนกตกใจ
ร่างของอรอุษาขยับจะวิ่งไปหา
แต่นายชดที่ยืนคุมเชิงอยู่
ตวาดเสียงเหี้ยม
“เฮ้ย...หยุด...”
พร้อมๆ
กับคำพูด ร่างกำยำนั้นพรวดเข้าไปขวาง
แหย่ปืนในมือออกไป อรอุษาใจหายวาบ
ชะงักเท้าลง ผงะตัวกลับไป
ใบหน้างามนองไปด้วยน้ำตา
เมื่อส่งเสียงเครือสะท้าน
“ได้โปรดเถอะค่ะ...อย่าทำร้ายพี่ศัก...พวกคุณต้องการอะไร...โธ่...พี่ศักดา...หยุดเถอะ...ได้โปรด”
ตอนท้ายเธอรวบรวมเสียงตะโกนไปยังกลุ่มของชายสามคน
แต่พวกนั้นไม่ฟังเสียงเธอแม้แต่น้อย
อรอุษาแลเห็นชายสูงวัยคนนั้นชกต่อยอย่างมันมือ
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของศักดาดังแว่วมา
เด็กสาวยกมือขึ้นกุมหน้าอย่างหวาดหวั่น
สงสารชายหนุ่มจับใจ
ร้องไห้ออกมาจนตัวสั่นสะท้าน
พึมพำเสียงระริก ขาดเป็นห้วงๆ
“ได้โปรด...หยุด..หยุด...อย่าทำร้ายเขาอีกเลย...ได้โปรด...ฉันขอร้อง...ได้..โปรด”
เสี่ยคิ้มหัวเราะกระหยิ่ม
ขณะที่ร่างของศักดานั้นล้มลงกองทรุดฮวบกับพื้น
ท่าทางนั้นราวกับเจ็บปวดจนสลบไสลไม่ได้สติ
แต่ในความมืดนั้นดวงตาของจิ้งจอกสวาทเป็นประกายวาว....
เสี่ยนักค้าทองนั้นเดินหัวเราะย้อนกลับมายังอรอุษาที่ยืนร้องไห้ตัวสั่นอยู่
ใบหน้าสี่เหลี่ยมนั้นเต็มไปด้วยความหื่นกระหายที่ปิดไม่มิด
แสยะยิ้มว่า
“โอ๊ะ...คนสวย...ไม่ต้องร้องไห้...”
อรอุษาน้ำตานองหน้า
พนมมือไหว้เสี่ยตัณหากลับ
กล่าวเสียงวิงวอนเครือสะท้าน
“ขอร้องค่ะ...อย่าทำร้ายพวกเราเลย...พวกคุณ...พวกคุณต้องการอะไรคะ...”
เสี่ยคิ้มหัวเราะร่วน
“ก็ขอกันดีๆ
ไม่ให้ก็ต้องลงไม้ลงมือกันบ้าง”
“ขอ..ขออะไรคะ...ฉันยินดีให้ทุกอย่าง...อย่าทำร้ายพี่ศักดาเลยค่ะ...”
อรอุษาละล่ำละลักพูด
เสี่ยตัณหากลับหัวเราะออกมาอย่างชั่วช้า
ดวงตาสามเหลี่ยมกวาดมองไปยังใบหน้างามหวานนั้นอย่างหื่นกระหาย
แลบลิ้มเลียปากแผล็บๆ
กระซุ่นว่า
“จริงหรือจ๊ะ...แหม...ถ้าหนูว่าง่ายๆ
อย่างนี้...ไอ้หนุ่มนั่นก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว”
สายตาที่ชั่วร้ายกวาดลึกเข้ามาทำให้เด็กสาวใจหาย
ขนตัวร่างลุกชันอย่างรังเกียจ...สัญชาตญาณของหญิงสาวทำให้ร่างบางงามนั้นถด
ถอยไปช้าๆ ปากคอสั่น
“คะ..คุณ..คุณ...ต้องการ...อะไร..”
เสียงระเบิดหัวเราะดังลั่น
เสี่ยคิ้มย่างเท้ากรายเข้ามาตามติด
“ก็ตัวของหนูคนสวยไงจ๊ะ...มาเป็นเมียของฉันเถิด...รับรองจะเลี้ยงดูอย่างดีเลย..ฮ่ะฮ่ะ”
อรอุษาใบหน้าซีดขาว
ดวงตากลมโตนั้นเบิกอย่างตะลึงงันไปกับคำพูดอันชั่วช้านั้น
เด็กสาวสั่นศีรษะ
ยกมือขึ้นกุมไปที่ลำคออย่างหนาวเหน็บ
ถอยกายไปเรื่อยๆ
อย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อสายตาของเสี่ยคิ้ม
“มะ...ไม่...ไม่นะ...อย่า...อย่า...เข้ามานะ”
“ฮ่ะฮ่ะ...ไม่ต้องกลัวฉัน...ไม่ต้องกลัว...เรื่องอย่างนี้...หนูไม่รู้อะไร...มันสนุกราวกับขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยนะ”
เสี่ยนักค้าท้องหัวเราะร่วน
สืบเท้าเข้าไปเรื่อยๆ
ปากพูดเสียงหยาบช้าลามก
ดวงตานั้นเหลือกลานไปทั่วเรือนร่างของอรอุษา
โดยเฉพาะวงหน้างามและดวงตากลมสวยที่กำลังเปี่ยมไปด้วยแววตาอันตื่นใจพรั่น
พรึงจนน้ำตาไหลรินออกมา
ยิ่งอรอุษาแสดงอาการอันหวาดหวั่นมามากเท่าไร
มันก็ยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ดิบอันชั่วช้าภายในตัวของเสี่ยคิ้มนั้นพล่านระริก
อย่างหฤหรรษ์มากขึ้นเท่านั้น
เด็กสาวร่างบางขยะแขยงกับเสียงสั่นพร่าและวาจาอันน่าชิงชังรังเกียจนั้น
ความรู้สึกสะอิดสะเอียนในใบหน้าสี่เหลี่ยมตรงนั้นท่วมท้นจิตใจ
แต่ปากบางสั่นระริกของเธอก็จำต้องกล่าวเสียงวิงวอนขอร้อง
“ได้..โปรด...อย่า...อย่าทำร้ายฉัน...ขอร้องนะคะ...ได้โปรด...อย่า...”
เสี่ยตัณหากลับยิ้มแสยะ
ปากหนาแบะออกมา
เบิกตามองร่างโปร่งได้รูปที่สั่นสะท้าน
สายตาหื่นลามไปตามช่วงแขนที่แสดงผิวพรรณอันขาวสะอาดตั้งแต่บริเวณต้นแขนนั้น
กำลังยกกุมลำคอระหง...มันช่างเรียวงาม...สวยบอบบาง...ราวกับเป็นเครื่องแก้ว
อันล้ำค่าเปราะบางที่พร้อมจะแตกหักไปได้ทุกเมื่อถ้าถูกกระทบกระแทกอย่าง
รุนแรง...
ภาพตรงนั้นมันช่างเย้ายวน...ยิ่งมองไปก็ยิ่งทำให้เพลิงกระสันนั้นลุกพล่าน
จนตัวของเสี่ยคิ้มสั่นระริก...ขนลุกซู่...น้ำลายไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าทุเรส
“ฮ่ะฮ่ะ...ทำร้ายอะไรกันจ๊ะ...หนู...พี่บอกแล้วไงว่าจะพาหนูไปวิมานฉิมพลีต่างหาก...หะ..ฮ่าฮ่า”
เสี่ยคิ้มเรียกตัวเองว่าพี่ทั้งๆ
ที่อายุนั้นคราวพ่อของอรอุษา
คำพูดนั้นสร้างความรังเกียจเดียดฉันท์ให้เกิดในความรู้สึกของเด็กสาวอย่าง
เหลือประมาณ...ยิ่งไปกว่านั้นเสียงหัวเราะที่ราวกับเสียงภูตนรกคร่ำครวญใน
ความรู้สึกของอรออุษานั้นชำแรกเข้ามาในโสตประสาทของเธอ
กดดันจนเด็กสาวต้องยกมือขึ้นปิดหู
ตัวสั่นสะท้านระริกๆ
ร่างบางของเธอเดินถอยไปเรื่อยๆ
จนหลังไปกระแทกเข้ากับด้านข้างของรถตู้สีดำที่จอดอยู่
อรอุษาสะดุ้งขึ้นสุดตัว...ร่างผวาหันกลับไปโดยไม่ตั้งใจ...
เสี่ยคิ้มอาศัยจังหวะนั้น
หัวเราะกระเส่า
พรวดตัวเข้าไปหาร่างบางของอรอุษา
มือหยาบทั้งสองข้างนั้นตะปบคว้าไปยังหัวไหล่กลมมนของเธอราวกับหมาป่ากระโจน
ขย้ำเหยื่อ ใบหน้านั้นบิดเบี้ยว
น้ำลายฟูมออกมาจากมุมปาก
ความรู้สึกพล่านไปด้วยความหิวกระหายในตัวของเด็กสาวจนแทบจะอกแตกระเบิดออกมา
เป็นเสี่ยงๆ
“อูยยย...หนูจ๋า....สวยเหลือเกิน....สวยไปทั้งตัว...สวยจนทำให้พี่แทบคลั่งตายแล้ว....”
เสียงของเสี่ยตัณหากลับนั้นดังกระเส่าออกมาสั่นสะท้าน
อรอุษาหวีดร้องขึ้นสุดเสียง
เมื่อมือหยาบของเสี่ยตัณหากลับนั้นรวบเข้ามาที่ต้นแขนอันอ่อนนุ่มของเธอ
เด็กสาวดิ้นรนหยิกข่วน
เตะถีบสุดชีวิต...กระทำทุกวิถีทางเท่าที่ร่างกายอันบอบบางของเธอจะทำได้
เพื่อช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากกรงเล็บโฉดของเสี่ยคิ้ม..แต่อนิจจา...อรอุษา
ไม่เหมือนอรนุช..เธอนั้นอ่อนแอกว่าพี่สาวคนรองมากนัก...ทั้งร่างกายและจิต
ใจ...
ร่างงามที่ดิ้นรนสุดชีวิต...แต่ไม่มีปัญญาพาตัวให้หลุดพ้นจากอุ้งมือหยาบ...
รังแต่เพิ่มความตื่นเต้นหฤหรรษ์ให้กับเสี่ยคิ้มจนลิงโลดยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
...เสียงหัวเราะกระเส่า
ดวงตาหยาบช้าเบิกพล่านจ้องไปยังความงามล้ำตรงหน้าที่เฉิดฉายราวกับดอกบัวที่
บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน...ไม่เคยรู้สึกหื่นกระหายอย่าง
นี้มาก่อน...ไม่ว่ากับเด็กสาวเมียเก็บของเขาคนไหน...ไม่แม้กระทั่งกับตัวของ
คันธรส....
เด็กสาวข้างหน้า...ในใจของเสี่ยคิ้มนั้น...ช่างอ่อนหวาน...งดงาม...ใส
บริสุทธิ์....สิ่งนี้เสี่ยตัณหากลับมองไม่เห็นในตัวของคันธรสที่สวยเร่าร้อน
..บาดตาบาดใจ...ที่สำคัญเขารู้แก่ใจว่าหญิงสาวนั้นเป็นเครื่องเล่นที่บอบช้ำ
มาจากตัวของเสี่ยเซี้ยงก่อนหน้าแล้ว
ดวงตาที่แทบถลนออกมาจากเบ้านั้นที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้า
มันเหลือกลานหลอกหลอนบีบคั้นจนอรอุษารู้สึกหายใจไม่ปะติปะต่อ...ความพรั่น
พรึงสุดขีดที่ลุกวาบขึ้นจับไปขั้วหัวใจ
ทำให้เด็กสาวตัวสั่นกระตุก...เฮือก...เฮือก
ในเวลานั้นร่างหนาหนักของเสี่ยคิ้มเบียดแนบเข้ามากระชับไปกับผิวกายอุ่น
ละเอียดของเด็กสาว
ลมหายใจอันหยาบช้าราดรดเข้าใส่ผิวหน้าบางใสอย่างที่ไม่เคยมีชายใดกร้ำกรายมา
ก่อน พร้อมๆ
กับการใช้มือหยาบตวัดร่างบางงามให้กระชับเข้ามาแนบกับตัวอันหยาบใหญ่
ริมฝีปากหนาของเสี่ยตัณหากลับนั้นพุ่งจู่โจมตะโบมไซร้ลงไปที่ซอกคอขาวผ่อง
ของเธออย่างกระหายหิวราวกับสัตว์ป่าขย้ำเหยื่อของมัน...
ปากหนานั้นดูดไปตามผิวขาวสะอาดที่เนียนละมุนราวกับผิวแพรชั้นเลิศ
เสี่ยคิ้มแลบลิ้นสากของตนเองกวาดเลียโลมรับเสพสัมผัสความนุ่มที่ผิวเนื้อ
หวานหอมนั้นราวกับจะละลายไปกับปากตนเองอย่างสุดกระสัน
ลมหายใจของเสี่ยตัณหากลับหอบถี่ถี่
ใบหน้านั้นแดงก่ำไปด้วยความรู้สึกคลั่ง...คลั่งในรสชาติที่ตักตวงได้อย่าง
หื่นกระหาย
ร่างงามที่กำลังสั่นสะท้านราวกับถูกไฟดูด...หามีปฏิกิริยาแห่งการดิ้นรนใดๆ
...สิ่งเดียวที่อรอุษาทำคือการกรีดร้องออกมาสุดเสียง...เสียงที่สะท้านแหบ
โหยอย่างเจ็บปวดชอกช้ำใจจนถึงขีดสุด...
ก่อนที่
ศีรษะได้รูปสวยนั้นจะแหงนพับไปด้านหลัง
ดวงตาคู่งามนั้นลอยคว้างไปยังท้องฟ้าเบื้องบนอันมืดมิดไร้แสงดาว...
คุณพ่อขาคุณแม่ขา....ลูกษาอยากตาย....
“อูยยยย...หอมเหลือเกิน..หนูจ๋า...ทำไมหอมอย่างนี้....เนื้อหวานเหลือเกิน...นุ่มนิ่มไปหมด...อูยยยย...ซี๊ดดดด”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เด็กสาวได้ยิน...ก่อนที่สติสัมปะชัญญะการรับรู้ทั้งมวลของอรอุษาจะดับวูบ...
ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังกระหึ่มอย่างโฉดชั่ว...ร่างบางงามนั้นอ่อนระทวยสลบแน่นิ่งไปในอุ้งมือมารโดยพลัน...
................................
ความเงียบปกคลุมบริเวณนั้นช่วงใหญ่
มีเพียงเสียงปะทุของกองไฟ
และสรรพเสียงของป่าในความมืดที่แผ่พลิ้วเข้ามาเป็นระยะๆ
เท่านั้น
จนกระทั่งในที่สุด...อรนุชซึ่งจ่อมจมอยู่กับความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเอง....ก็หันหน้ามาเอ่ยถามเบาๆ
“ฉันถามอะไรคุณหน่อยได้ไหมคะ?”
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
เด็กสาวร่างเล็กสูดลมหายใจลึกๆ
หยิบกิ่งไม้เติมเข้าไปในกองไฟ
ขณะกล่าวถามว่า
“คุณกับพ่อเลี้ยงอดิศัยมีความขัดแย้งอะไรกันะคะ?”
คมศรชะงักไปนิดหนึ่ง
หยิบกิ่งไม้เล็กๆ
ปาเข้าไปในกองเพลิงอย่างเรื่อยเปื่อย
ก่อนจะเบนหน้าออกไปทางอื่น
ดวงตาสีเหล็กนั้นเหม่อไปในราวป่าอย่างไร้จุดหมายเหมือนกับจะรำลึกไปถึงอดีต
ที่ผ่านมา...เนิ่นนานนัก...ก่อนที่ไหล่หนาจะยักกระตุกอย่างไม่ยี่หระ
“ก็หลายเรื่อง...เริ่มจากผลประโยชน์ในการใช้พื้นที่...ซึ่งปางของผมกับของ
เขาติดกัน...มันก็กระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องธรรมดา...จากนั้นก็มีเรื่องที่
ฝ่ายนั้น...ผมไม่ได้กล่าวหานะ...แต่มันเป็นความจริงก็คือ...พ่อเลี้ยงอดิศัย
เขามือไม่สะอาดนักหรอก...เรื่องลักลอบตัดไม้เถื่อน...พอผมไม่เล่นด้วยแถมยัง
ขวาง...เรื่องขัดแย้งมันก็บานปลาย...”
พ่อเลี้ยงหนุ่มพูดเรื่อยๆ
โดยไม่ไปแตะเรื่องที่สำคัญๆ
นอกเหนือไปจากนั้น...ยา..และอาวุธเถื่อนที่เขาร่วมมือกับสารวัตรอรุณในการ
ช่วยกันตัดเส้นทางลำเลียงของอีกฝ่ายก็เป็นสาเหตุที่รุนแรงในอันดับต้นๆ...
ที่พ่อเลี้ยงอดิศัยคิดกำจัดเขาให้พ้นทางทำมาหากินชั่วๆ
นั้นอยู่แทบทุกลมหายใจ
อรนุชอึกอักๆ
อยู่ครู่หนึ่ง
ดวงตากลมโตนั้นกลอกกลับไปกลับมา...เต็มไปด้วยแววของความลังเลไม่แน่ใจ...แต่
ความรู้สึกบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในอกนั้นมันกดดันอย่างเหลือประมาณ...จนทำ
ให้เด็กสาวตัดสินใจโพล่งออกไปในที่สุด
“พ่อเลี้ยงอดิศัย...เขา..เขาบอกว่าคุณ...คุณแย่งคนรักของเขา”
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะยันตัวขึ้นมาจากท่านั่งเหยียด
แข้งเหยียดขาเอนกเขนกสบายๆ
นั้น
และลุกขึ้นยืน...เดินออกไปจนอรนุชมองเห็นแค่แผ่นหลังอันบึกบึนของอีกฝ่าย
“...คุณอยากรู้จริงๆหรือ...อรนุช”
น้ำเสียงที่ดังมานั้นแปลกไป...เด็กสาวกัดริมฝีปากบางตนเองแน่น...ดวงตากลมโต
เต็มเปี่ยมไปด้วยแววแห่งการตกลงใจ...เธอจะต้องรู้...เธอสมควรต้องรู้สิ....
เด็กสาวผุดลุกขึ้น
เดินตามมายืนข้างหน้าร่างสูงใหญ่
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องตาสีเหล็กที่กำลังมองตอบลงมา
แล้วกล่าวเสียงเด็ดเดี่ยว
“ค่ะ..ฉันอยากรู้”
คมศรหัวเราะเอื่อยๆ
ดวงตาสีเหล็กที่ย้อนหลังกองแสงไฟนั้นยังสามารถสาดประกายแปลกประหลาดออกมาจนอรนุชแลเห็นได้
“คุณ...คุณเป็นอย่างที่เขาพูดหรือเปล่าล่ะคะ?”
อรนุชถามพลางกลั้นหายใจรอคำตอบ
ซึ่งชายหนุ่มร่างสูงยักไหล่
หัวเราะในลำคอเมื่อตอบว่า
“ถ้าผมจะบอกว่า...การกระทำของผมมีส่วน...คุณจะผิดหวังมากไหม...อรนุช?”
เด็กสาวร่างบางก้มหน้าลงทันที
ในใจของเธอนั้นลอยเคว้งคว้าง....ราวกับว่าวที่ขาดป่าน...ดวงตากลมโตนั้นสั่น
ระริก น้ำตาคลอ...เสียงสะอื้นดังออกมาเบาๆ
ผ่านลำคองามระหง....ความเจ็บที่แปลบปลาบขึ้นมาในใจนั้น...มันทิ่มตำความ
รู้สึกอันอ่อนหวานงดงามของเธอเหลือประมาณ
ทำไม...ทำไมคุณต้อง...ทำ...อย่างนั้น...ทำไม....
อุ้งมือหนาของคมศรเคลื่อนไปสะกดหัวไหล่เล็กบาง
เมื่ออรนุชคิดจะเดินผละหนีไป...นิ้วแข็งแรงนั้นเชยคางมนขึ้น
อรนุชพยายามสะบัดหน้าหนี
แต่มือหนานั้นมั่นคงนัก...ดวงตาสีเหล็กก้มลงจ้องไปที่ลูกตาสีดำใสราวกับนิล
ที่กำลังพร่างพรายไปด้วยหยาดน้ำตานั้นแน่วนิ่ง
“ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มเพิ่งแตกพาน...ไอ้เรื่องจะไม่ให้มีความสัมพันธ์กับใครเลย
มันคงยาก...แต่ผมกล้ายืนยันกับคุณอย่างหนึ่ง...ผมไม่เคยหลอกลวงใคร...เหมือน
ตอนนี้...ผมไม่มีวันหลอกลวงคุณ...”
เสียงทุ้มนั้นนุ่มลึก
ใบหน้างามนั้นสะบัดหันไปยังด้านข้าง
เสียงพูดนั้นอู้อี้สั่นเครือ...
“ฮึ...คุณ...คุณจะหลอก...หลอกใครหรือไม่...ก็...ก็ไม่เกี่ยวกับฉัน...”
“เกี่ยวสิ...เกี่ยวมากด้วย...เพราะผมคงทนไม่ได้ถ้าจะปล่อยให้คุณเข้าใจผมผิดไป...”
ดวงตางามราวกับดวงดาวนั้นหยาดน้ำใสราวกับประกายเพชรรินลงมาอาบแก้ม
ขณะที่คมศรจับไปที่สองไหล่เล็กแบบบางหันให้เธอกลับมาเผชิญหน้ากับเขา
ชายหนุ่มดึงร่างนั้นให้เข้ามาแนบชิด...อรนุชพยายามขืนตัวเอาไว้...แต่แรงจาก
อุ้งมือที่แข็งแกร่ง...และแรงแห่งความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน...ทำให้
ร่างของเด็กสาวอ่อนเปลี้ย...อรนุชสะอื้นฮักๆ..หลับตาพริ้ม...สูดจมูกที่แดง
ก่ำ...
...เมื่อเธอเลือกจะรัก...เธอก็ต้องยอมรับอดีตของเขา...ยอมรับตัวตนของเขา...ไม่ใช่หรือ...
ร่างงามนั้นซบเข้าไปกับอกกว้าง
น้ำตาไหลออกพรั่งพรู...ขณะที่คมศรกระชับร่างอุ่นละเอียดนั้นแน่น...รับรู้
ความรู้สึกเศร้า...ผิดหวัง...ร้าวรานใจจากร่างงามที่กำลังสะท้านอยู่ในอ้อม
แขนได้อย่างชัดเจน...เขาผู้ซึ่งไม่เคยสนใจใคร...ไม่เคยกังวลว่าใครจะมองเขา
ด้วยสีหน้าและความรู้สึกอย่างไร...แต่ในเวลานี้...ในใจของเขาเร่าร้อน...
เจ็บปวด...เขาไม่ต้องการให้...เด็กสาวตัวเล็กๆ
คนนี้...เข้าใจเขาเองผิด....
ความรู้สึกที่กดดันอยู่ในใจ
ทำให้คมศรพรั่งพรูสิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะเล่าให้ใครฟังออกไปอย่างต่อเนื่อง
“คุณฝ้าย...คู่หมั้นของพ่อเลี้ยงอดิศัย...ที่จริงผมกับเธอคุ้นเคยกันมาก่อน
...แต่คุณ...คุณพ่อของเธอต้องการให้คุณฝ้ายแต่งงานกับพ่อเลี้ยงอดิศัย...คืน
วันแต่งงาน...ผมไปในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง...เพื่อนที่จริงใจต่อคุณฝ้าย...ผมบอก
เธอตรงๆ...ว่าเธอนั้นไม่เหมาะกับคนที่เลวร้ายอย่างไอ้อดิศัย...ผมจำได้ดีว่า
ผมบอกกับคุณฝ้าย...”
ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่ง
หวนนึกไปถึงค่ำคืนที่เขารู้สึกเจ็บปวด...ทุกครั้งที่นึกถึง...ก่อนจะกล่าวคำ
พูดที่เขาเคยพูดในอดีตออกมาอีกครั้ง
“ชีวิตเป็นของคุณฝ้าย...คุณฝ้ายมีสิทธิกำหนดชีวิตของตัวเอง...”
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักถอนหายใจ
เสียงสะทกสะท้อน
ดวงตาสีเหล็กนั้นมีแววเศร้าที่ฉายมาจากความรู้สึกอันแท้จริงจากส่วนลึก...
“แต่ผมไม่คิดนะ...คำพูดของผม...ทำให้คืนนั้น...คืนวันแต่งงาน...คุณฝ้ายเขากินยาตาย...พ่อเลี้ยงอดิศัยโทษว่าผมเป็นต้นเหตุ...”
เสียงร้องไห้ของอรนุชยิ่งดังหนักขึ้น
ใบหน้าเล็กๆ ยิ่งเบียดชิดเข้าไปกับอกกว้างนั้น
แต่เสียงร้องไห้คราวนี้นั้น...ไม่ได้เป็นเสียงแห่งความปวดร้าว...ทว่าเป็น
การร้องไห้ออกมาอย่างปลดปล่อย....เด็กสาวพรั่งพรูอารมณ์อัดอั้นออกมาอย่างปิ
ติ....ดวงตากลมโตนั้นเป็นประกายวาว...ริมฝีปากงามนั้นกระซิบออกมาเสียง
สะท้าน
“ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณนะคะ...คุณสิงห์”
คมศรตวัดรัดร่างบางที่กำลังสั่นสะท้านแนบแน่น
ซบใบหน้าลงไปกับกลุ่มคลื่นไหมดำมันระยับที่ปกคลุมศีรษะของอรนุชนิ่งนาน
กระซิบเสียงแผ่ว
“คุณเป็นคนพิเศษสำหรับผม...อรนุช...อย่างที่ไม่เคยมีใครเป็นมาก่อน”
ดวงตาสีเหล็กเป็นประกายวูบ...เมื่อกล่าวคำนี้...
ใบหน้าคร้ามคมปรากฏรอยยิ้มที่แปลก...เย็นชา....ที่ซึ่งอรนุชขณะกำลังซบไปกับอกกว้างไม่มีโอกาสแลเห็น....
นัยน์ตาของคมศรพลุ่งพล่าน....สับสน....ลังเลใจ...ก่อนที่ประกายตาเหี้ยมเกรียมจะสาดวาบขึ้นกลบทุกสิ่งทุกอย่าง
...ใช่...อรนุชเป็นคนพิเศษสำหรับเขา...อย่างที่ไม่มีใครเทียบเท่ามาก่อนจริงๆ...แม้แต่...เธอคนนั้น....
เขาไม่ได้หลอกลวงอรนุช....เขาไม่ได้หลอกลวงเธอ...ไม่เคยหลอกลวง...
พ่อเลี้ยงปางห้วยสักบอกกับตัวเอง...กระชับร่างบางนั้นแนบแน่น...ดวงตาสีเหล็กวาวโรจน์
ที่สำคัญ...เขาไม่เคยบังคับใจใคร...อรนุชสามารถปฏิเสธเขาได้...ถ้าเธอต้องการ
ในเวลานั้นเด็กสาวใจเต้นระทึก...ความรู้สึกลึกๆ
ที่เธอสารภาพกับตัวเองก่อนหน้านี้มาแล้ว
มันอ่อนเชื่อมเข้ากับคำพูดที่ผ่านพ้นริมฝีปากของชายหนุ่มออกมา
ดวงหน้างามของอรนุชไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมาแล้ว....ในเวลานั้นหลงเหลือเพียง
คราบจางๆ ที่ค่อยๆ
เลือนหายไปท่ามกลางเลือดอุ่นๆ
ที่จับขึ้นไปตรงแก้มใสนั้นจนแดงก่ำ....
คมศรที่ก้มลงสูดความหอมจากกลุ่มผมดกดำที่ปกคลุมศีรษะได้รูปสวยนั้น
เสียงเนิบลึกของเขาดังแผ่วเบา
“อรนุช...”
“คะ...”
เสียงแผ่วหวานนั้นดังราวกับกระซิบตอบ
ใบหน้างามยังทาบไปกับอกกว้าง
“คุณเคยถามผมใช่ไหม...ว่าผมจะขออะไรคุณ...”
เสียงทุ้มนั้น
ทำให้อรนุชเงยหน้าขึ้นมา
ก่อนที่จะต้องตะลึงงันไปกับแววตาสีเหล็กที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว
วงแขนนั้นกระชับแน่น...ใบหน้าคร้ามคมลดต่ำลงมาเรื่อยๆ...ลมหายใจอุ่นต้อง
แก้มใส...
เด็กสาวใจเต้นแรง
ร่างของเธอคล้ายกับตกอยู่ในห้วงแห่งมนต์สะกดจากดวงตาสีเหล็กคู่นั้น...
ภวังค์ที่สวยงาม...อ่อนหวาน...อบอุ่น...พลันห่อหุ้มเข้าล้อมกรอบตัวเธอจาก
ทุกทิศทาง....และในความรู้สึกที่พร่าพรายนั้น...วงแขนที่รัดเข้ามาทำให้เธอ
รู้สึกตัวเบาสบาย...ล่องลอย...โบยบินไปในภวังค์อันน่าหลงใหลนั้นอย่างเต็ม
ใจ...
ร่างสูงใหญ่โอบอุ้มร่างบางนั้นเดินย้อนกลับไปที่ข้างกองไฟอันอบอุ่น
ก่อนจะวางเธอลงไปบนกองใบกล้วยไม้ป่าที่ปูจนหนานุ่ม....ริมฝีปากที่ตามลงไป
...กระซิบที่ข้างหูขาวใส....
“คุณรู้ใช่ไหม...ว่าผมจะขออะไร....”
เสียงนุ่มเนิบลึกนั้น
แผ่พลิ้วเข้ามาในโสตประสาทของเด็กสาว
อรนุชใจสั่นสะท้าน
สัญชตญาณของหญิงสาว
และจมูกที่มีลมหายใจกรุ่น
เคลื่อนห่างจากผิวกายของเธอแค่องคุลีเดียวนั้นทำให้อรนุชตัวอ่อนระทวย
ใบหน้างามแหงนขึ้น...หลับตาพริ้ม...ลมหายใจสะท้อนแรง....ใช่...เธอรู้....
“อย่างที่ผมเคยรับปาก...อรนุช...คุณมีสิทธิ์ปฏิเสธนะ....ถ้าคุณพูดคำเดียวว่า...ไม่...ผมก็จะหยุด...”
เสียงหนักแน่นแต่นุ่มนวลนั้นดังแว่วอยู่ข้างหู...
ความหวานที่พรั่งพรูขึ้นมาจนเต็มตื้น....กับอนาคตที่ยังไม่รู้ชะตากรรม...วันพรุ่งนี้จะเป็นหรือจะตาย...
..คืนนี้...ความอบอุ่นวาบหวามจับขั้วหัวใจนี้...อาจจะเป็นครั้งแรก...และครั้งสุดท้าย...สำหรับเธอ...
อรนุชลืมตาขึ้นมาจ้องไปที่ดวงตาสีเหล็กแน่วนิ่ง...แววตานั้นพลุ่งพล่าน....
ลังเล...ริมฝีปากงามสั่นระริก...อ้าออกน้อยๆ...แต่ทว่าไม่มีเสียงลอดออกมา
แม้แต่นิดเดียว...
ใบหน้าคร้ามคมเคลื่อนต่ำลงไปช้าๆ..ลมหายใจอุ่นนั้นรดลงไปตรงผิวหน้าที่บางใส
....อรนุชหายใจถี่ถี่...ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงไปตามจังหวะสูดลมอันกระชั้นสั้น
นั้น....ร่างเล็กบางเกร็งจนตัวสั่น....มือน้อยๆ
ที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวบิดกำจนแน่น....
ชั่ววินาทีที่ยาวนานราวกับเป็นนิรันดร์...ในความคิดของคมศรที่จ้องมองลงมา
...ในที่สุดก่อนที่อรนุชจะหลับตาพริ้ม....เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง
...ประดุจคำตอบอันไร้เสียงของเธอ...
ริมฝีปากของพ่อเลี้ยงปางห้วยสักเคลื่อนลงไปหาริมฝีปากบางงามที่กำลังเม้มสนิทแน่น....สั่นระริก..
ภายใต้แสงไฟจากเปลวทองอร่ามที่สาดส่องมาจากด้านหลัง...ใบหน้าของคมศรนั้นปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก...
รอยยิ้มแห่งชัยชนะ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น