ขายของ

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เล่ห์สวาทเพลิงราคะ 19

 ขณะที่อรอุษากำลังนั่งซ้อมเปียนโนอยู่อย่างเหงาๆ ใบหน้าไม่ค่อยสบายใจ เสียงเรียกสายโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ก็ทำให้เด็กสาวรีบหยิบขึ้นมา และเมื่อเห็นเบอร์สายเรียกเข้า เธอก็ยิ้มหวานรีบรับสายอย่างดีใจ

“พี่นุช..เป็นไงบ้างคะ”

เสียงโอดครวญดังแว่วเข้ามาอย่างละห้อยละเหี่ย

“โอ๊ย...เนื๊อย..เหนื่อย...นี่ษารู้ไหม...ทางกองประกวดพาพวกเราไปทัวร์วัด...ไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า...ไปนั่งยิ้มรับฟังบรรยายเกี่ยวกับการรณรงค์เรื่องป
ราบปรามยาเสพติด...โอ๊ย...จิปาถะ...กว่าจะมาถึงโรงแรม...ขาแทบขาด...ยังไม่ทันจะได้พักเลย...กองประกวดก็พาเข้ากิจกรรมแนะนำตัว...รู้จักเพื่อนใหม่อีก...ตอนนี้
เลยกำลังนอนพุงอืดอยู่นี่...เพราะตอนหัวค่ำหิวจัดกินข้าวไปสองจานแน่ะ...”

ถึงแม้กำลังอยู่ในช่วงที่ไม่ค่อยสบายใจแต่อรอุษาก็อดหัวเราะไปกับคำบ่นเป็นสายขบวนรถไฟยาวเหยียดของพี่สาวไม่ได้ ก่อนที่อรนุชจะถามมาว่า

“แล้วษาล่ะ...วันนี้เป็นไงบ้าง”

“หลังจากแยกกับพี่นุช...ษาก็ไปซัมเมอร์แคมป์ตามปกติค่ะ...ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ...พอเลิกตอนบ่ายแก่ๆ ก็กลับมาบ้านเลย…ตอนที่พี่นุชโทรมา..ษากำลังเล่นเปียนโนอยู่”

“ดีจ้ะ...หาอะไรทำเพลิน...จะได้ไม่เหงา...พรุ่งนี้ตามโปรแกรมเขาจะให้พวกเราไปร่วมกิจกรรมปลูกป่า...โอ๊ย...มีหวังขาลากกลับมาอีกแหง๋ๆ...”

จากนั้นอรนุชก็ชวนคุยแจ้วๆ ด้วยความตั้งใจจะช่วยให้น้องสาวคลายเหงาไปบ้างอีกพักใหญ่ ก่อนจะตบท้าย

“เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะโทรมารายงานษาใหม่ก็แล้วกัน...ง่วงแล้ว...ตาจะปิดให้ได้...ขอนอนก่อนนะ”

ความจริงอรอุษาอยากฟังเสียงพี่สาวไปนานๆ กว่านี้ แต่ก็พูดเสียงอ่อนเบา

“ค่ะ..หลับฝันดีนะคะ”

“จ้า...ษาก็เหมือนกันนะ”

…………………

ในพื้นที่ที่กินแดนติดต่อกันอย่างกว้างใหญ่นับจากบริเวณสวนไม้สัก ตลอดมาจนถึงที่จัดทำเป็นรีสอร์ทเล็กๆ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนชมสวนป่าธรรมชาติ เลยไปจนจรดแนวเทือกเขาอันเขียวชอุ่ม ปางไม้ “ห้วยสัก” แห่งนี้นับเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้เข้ามาพักได้สม่ำเสมอตลอดปี

ในบริเวณส่วนหน้าของอาคารที่ทำหน้าที่เป็นสำนักงานรับรองนั้น ตอนนี้มีไฟเปิดสว่างไสว มีเสียงคนดังจอแจ เพราะกำลังตระเตรียมความพร้อมรับงานพิธีในวันพรุ่งนี้

ในเวลานั้นชายฉกรรจ์ร่างเกร็งหน้าตอบ เดินเลี่ยงๆ กลุ่มคนออกไปยืนในบริเวณมืดสลัว สายตากวาดไปมาจนแน่ใจว่าไม่มีคนแล้วจึงค่อยเอ่ยเบาๆ

“ครับ...พ่อเลี้ยง....”

เสียงปลายสายดังต่อเนื่องตามติดมา ชายฉกรรจ์รับฟังอย่างเงียบๆ จนกระทั่งกล่าวพึมพำ

“ถ้าอย่างนั้น...ผมก็คงจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว...”

“ไม่เป็นไร..ไอ้คำ...กูรู้กว่าที่มึงแฝงตัวเข้าไปได้ไม่ง่าย...แต่กูตัดสินใจแล้ว...เอาตัวนังนั่นมาให้ได้...เข้าใจไหม”

เสียงกระด้างที่ดังขึ้นมา ทำให้ชายที่ถูกเรียกว่าคำรีบรับคำอย่างนอบน้อม

“ครับ พ่อเลี้ยงผมเข้าใจ”

“แค่นั้นแหล่ะ...”

ปลายสายเงียบไป พร้อมๆ กับเสียงผ่อนลมหายใจยาวของชายฉกรรจ์ ก่อนที่จะมีเสียงทักดังมาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังหอบหิ้วลังไม้มาหลายลัง

“อ้าว...พี่คำทำไมมาอยู่มืดๆ...”

ชายฉกรรจ์ทำทีเป็นหัวเราะ แล้วเดินกลับไป ช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นแบ่งลังไม้มาถือ

“ไม่มีอะไร...แค่มาพักดูดบุหรี่ตัวหนึ่ง”

จากนั้นคำก็เดินแทรกปะปนเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานโดยปราศจากท่าท่ที่ผิดปกติแม้แต่น้อย

...................

เสี่ยทองกับเสี่ยคิ้มหัวเราะร่าขณะที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะกับหญิงสาวที่สวยบาดตาบาดใจถึงสองคน สายตายิบหยีของเสี่ยมากราคะทั้งสองนั้นต่างจับจ้องไปยังพริตตี้สาวเป็นพิเศษ เนื่องเพราะรู้ว่าสาวสวยอีกคนหนึ่งถูกตีตราจองเอาไว้แล้ว ริมฝีปากปากหนานั้นต้องแลบลิ้นเลียปากอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นฐิติพรรณที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาอันรัดรึงอวดส่วนสัดที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ้มแย้มหัวเราะคิกๆ ดวงตาพราวไปด้วยประกายตาแห่งความร้อนแรง

ปากงามจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่เอิ่บซ่านไปด้วยพันซ์สีสดนั้นแย้มเยื้อน กรีดกรายยั่วเย้าบริหารเสน่ห์อันล้นเหลือของเธออย่างเจนจัด เสียงอ่อนหวานไพเราะที่เอ่ยถามเกี่ยวกับธุรกิจการค้าของสองเสี่ย พร้อมกับการฉลาดพูดในการเอาใจชมเชย ก็ทำให้สองเสี่ยใบหน้าอิ่มเอิบ อ้าปากหัวเราะไม่หยุด

เสี่ยอ้วนหัวเราะพุงกระเพื่อมเมื่อว่า

“ผมน่ะเสียดายจริงๆ ที่รู้จักน้องไอซ์ช้าเกินไป...ไม่อย่างนั้นจะต้องขอแรงน้องไอซ์ไปช่วยเป็นพรีเซ็นต์เตอร์การประชาสัมพันธ์โรงแรมของผมแน่นอน”

ความจริงอายุของเสี่ยอ้วนเป็นพ่อของพริตตี้สาวได้อย่างสบาย แต่กลับเรียกเด็กสาวว่าน้องอย่างไม่กระดากปาก ซึ่งเด็กสาวก็ไม่ได้แสดงทีท่าที่ขัดเขินกับคำเรียกนั้นแต่อย่างใด ยกมือไหว้เสี่ยทองอย่างอ่อนหวาน ฉีกยิ้มกรีดกราย

“โธ่...เสี่ยขา...ขอแค่ให้ไอซ์ได้มีโอกาสรับใช้เสี่ยในอนาคต...ไอซ์รู้สึกเป็นเกียรติอย่างที่สุดแล้วค่ะ...”

เสี่ยคิ้ม ใบหน้าที่ไว้เคราคางแพะ ยิ้มย่องว่า

“ตอนกลางปีนี้...จะมีงานแสดงเครื่องประดับอัญมณีครั้งใหญ่...ผมขอจองน้องไอซ์มาเป็นแบบเดินให้ชุดเครื่องมรกตที่ผมกำลังสั่งทำเพื่องานนี้โดยเฉพาะด้วยนะค
รับ...”

ฐิติพรรณยิ้มหวาน พนมมือไหว้เสี่ยคิ้ม และรินเหล้าและโซดาเติมให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ ใบหน้าของเสี่ยตัณหากลับนั้นเบิกบานจนแย้มยิ้มออกมากว้างขวาง ดวงตาร่านระริกมองดูอกอูมของฐิติพรรณแบบไม่กระพริบ

ซึ่งเด็กสาวผู้เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์อันรัดรึงใจ ยิ้มหวานทำเป็นไม่สนใจกับดวงตากระหายราคะนั้น เธอซึ่งเมื่อก่อน...ก่อนที่จะสูญเสียทุกอย่างไปให้เดนนรกพวกนั้นยังไม่เคยกลัวสายตาอันแสดงความกระหายอยากของผู้ชายที่คิดจะครอบครองร่ายกายของเธอ...นับประสาอ
ะไรกับตอนนี้...ดังนั้นดวงตาคู่งามของฐิติพรรณจึงยั่วเย้าเป็นประกายพราวสนุก เย้าอารมณ์ของสองเสี่ยจนตัวสั่นสะท้านไปด้วยความรู้สึกเสน่หาในตัวของเด็กสาว

ขณะที่พริตตี้สาวกำลังสนุกสนานอยู่กับวงสนทนาระหว่างเธอกับสองเสี่ย ในเวลานั้นหญิงสาวที่สูงวัยกว่ากลับนั่งดื่มเงียบๆ นานๆ ทีจะยิ้มรับหัวข้อที่แวะเข้ามายังเธอเป็นครั้งเป็นคราว ซึ่งตะกอนที่ตกค้างนิ่งอยู่ในก้นบึ้งแห่งความรู้สึกกำลังถูกคุ้ยออกมาจนฟุ้งซ่านเพราะการประจันหน้ากับอดีตคนรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ซึ่งตลอดเวลานั้นอาการของคันธรสอยู่ในการสังเกตสนใจของเสี่ยทองโดยตลอด ซึ่งสมองของเสี่ยร่างอ้วนกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้นานาประการ นัยน์ตายิบหยีนั้นวูบวาบต่อเนื่อง

ในเวลานั้นเองที่ร่างกำยำใหญ่โตของเสี่ยเซี้ยงเดินเข้ามาภายในห้อง VIP อย่างยิ้มแย้ม เสี่ยหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อแลเห็นสมาชิกแปลกหน้าที่กำลังนั่งหัวเราะเสียงใสอยู่ร่วมโต๊ะ

คันธรสเบิกตากว้างนิดหนึ่ง หญิงสาวไม่คิดว่าเสี่ยเซี้ยงจะมา จึงผุดลุกขึ้นรับด้วยรอยยิ้ม

“เสี่ย..มาด้วยหรือคะ”

ร่างที่เดินเข้าแนบสนิท ใบหน้าของคันธรสที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนกับเมื่อครู่ ทำให้ฐิติพรรณจับตามองอย่างพิศวง ไม่อยากเชื่อว่าชายตรงหน้าจะเป็นคู่ควงคนปัจจุบันของหญิงสาวที่สวยและเฉิดฉันอย่างพี่รส

ดวงตาของเสี่ยเซี้ยงหันมามองพริตตี้สาวด้วยคำถาม คันธรสก็แย้มยิ้มแนะนำว่า

“นี่ไอซ์ค่ะ...เพื่อนรุ่นน้อง...เขาสนิทกับรสมาก...”

ฐิติพรรณเก็บกักอาการที่ประหลาดใจนั้นไว้ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มอย่างน่ารักโดยไร้ร่องรอย พนมมือไหว้เสี่ยโฉดอย่างอ่อนหวาน แนะนำตัว

“ยินดีที่ได้รู้จักเสี่ยค่ะ...”

เสี่ยเซี้ยงหัวเราะรับไหว้ และจากนั้นก็เข้าร่วมวงสนทนากันอย่างครึกครื้น คราวนี้ด้วยจริตสาวพราวเสน่ห์คันธรสไม่ได้มีวี่แววหรืออาการผิดปกติเหมือนเมื่อครู่นี้แต่อย่างใด ร่วมกันกับพริตตี้สาวยิ้มหวานหัวเราะเสียงใสไปกับวงสนทนาอย่างกลมกลืน

เสี่ยเซี้ยงที่มองตาเสี่ยอ้วนเจ้าของสถานที่อย่างมีนัย ซึ่งเสี่ยทองก็ฉีกยิ้มกล่าวว่า

“เสี่ยเซี้ยงเขาหวงคุณรสแค่ไหน...แค่ผมหลุดปากไปนิดเดียวเท่านั้นว่าคุณรสเผอิญเจอคุณปานเทพเพื่อนเก่า...เสี่ยเขาก็รีบมาหาทันที...”

ใบหน้างามของคันธรสมีร่องรอยผิดปกติปไปแว่บหนึ่ง ก็จะยักไหล่กล่าวเสียงอ่อนหวานกับเสี่ยเซี้ยง

“ก็แค่คนรู้จักน่ะค่ะ...รสไม่ได้สนิทอะไรกับเขานัก”

แต่ดวงตาคู่งามที่กำลังเก็บอาการมันฟ้องอารมณ์ภายในให้กับเสี่ยโฉดอย่างชัดเจน สายตาของเสี่ยเซี้ยงจึงมีประกายวูบขึ้นมา หันไปมองใบหน้าของฐิติพรรณที่กำลังระเรื่อไปด้วยฤทธิ์ของพันซ์สีสด ก็นึกในใจ

นังเด็กคนสวยคงจะรู้อะไรดีๆ...สงสัยต้องตะล่อมถามจากนังไอซ์นี่

เมื่อคิดตกลงใจได้ดั่งนั้น เสี่ยเซี้ยงก็แค่อาศัยรอเวลา ในที่สุดเมื่อคันธรสขอตัวไปห้องน้ำ ความจริงฐิติพรรณจะเดินตามไปด้วย แต่เสี่ยโฉดทำเป็นพูดเสียงเคล้าหัวเราะ

“แหม..ใจคอจะให้พวกผมนั่งเหงากันอยู่หรือครับ ...รอให้คุณรสกลับมาก่อนแล้วน้องไอซ์ค่อยไปดีกว่า”

พริตตี้สาวหัวเราะคิกๆ ส่งนัยน์ตาหวานฉ่ำให้กับเสี่ยเซี้ยง ยิ้มพลางว่า

“ก็ได้ค่ะ...”

เสี่ยเซี้ยงพยักหน้าให้กับเสี่ยทอง ที่รับลูกอย่างเข้าใจกัน กล่าวถามเหมือนไม่ค่อยได้สนใจอะไรนักว่า

“คุณรสกับคุณปานเทพเขารู้จักกันมานานแล้วหรือครับ...น้องไอซ์”

ฐิติพรรณคิดนิดหนึ่ง มองตาเสี่ยเซี้ยงแบบลังเล ถ้าอีกฝ่ายเป็นคู่ควงคนปัจจุบันของพี่รส เธอควรจะพูดหรือ...

เสี่ยโฉดหัวเราะ เพราะอ่านสายตาของเด็กสาวออก โบกมือกล่าว

“ไม่ต้องห่วงครับ...ผมกลับรู้สึกดีเสียอีก...ถ้าจะได้ฟังทุกอย่างให้เคลียๆ ไป…จะได้ไม่ต้องติดค้างใจไงล่ะครับ”

ได้ยินดังนั้นฐิติพรรณจึงเล่าเรื่องความสันพันธ์ในอดีตระหว่างคันธรสกับปานเทพให้สามเสี่ยที่นั่งอยู่ในโต๊ะฟัง และก็เลยเล่ารวมไปถึงเรื่องของศักดาด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เร้นลับในใจ

“พี่รส...เขาโชคดีค่ะ...ที่รู้ตัวไอ้แมงดาโฉดนั่น...ก็เลยถอนตัวมาทัน...แต่ไอซ์คิดๆ ดูแล้วมันน่าแค้นไหมคะ...คนแบบนี้มันสมควรต้องได้รับโทษอย่างสาสม...”

คำพูดของพริตตี้สาวนั้นเป็นการเบิกช่องทางให้เธอสามารถหาแนวร่วมจัดการศักดาจิ้งจอกสวาทที่กลายเป็นเป้าหมายที่เธอต้องการทำลายอย่างที่สุด

ในเวลานั้นทั้งสามเสี่ยต่างมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป เสี่ยทองกับเสี่ยเซี้ยงดวงตาครุ่นคิดวูบวาบ

ส่วนเสี่ยคิ้มนั้นมีใบหน้าตื่น ตาเบิกโพลง สอบถามฐิติพรรณด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก

“น้องไอซ์พูดว่าไอ้นั่นมันชื่อศักดาหรือ...หน้าตามันเป็นยังไงครับ”

ฐิติพรรณหันไปมองใบหน้าเหลี่ยมที่ไว้เคราแพะนั้นแล้วยักไหล่ว่า

“ก็อายุสักสามสิบปี หน้าตาดี ผิวขาวค่ะ...เพราะอย่างนั้น...ไอ้แมงดานั่นจึงอาศัยหน้าตาของมันหลอกลวงผู้หญิงไงคะ...เสี่ย”

เสี่ยคิ้มขบกรามกล่าวเสียงหนัก

“คงเป็นไอ้ศักดานั่นแน่...มันทำผมแสบเหลือเกิน”

มันช่างเป็นความบังเอิญเสียเหลือเกิน เพราะเหยื่อรายล่าสุดของศักดาก่อนที่จิ้งจอกสวาทจะหลบหนีมากรุงเทพนั้นก็คือบ้านเล็กของเสี่ยคิ้มนั่นเอง ในเวลานั้นเสี่ยคิ้มที่ควานหาตัวของศักดาไม่เจอที่ขอนแก่นจึงรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด

ในเวลานั้นแววตาของพริตตี้สาวลุกวาบ ความจริงเธอแค่หวังเล่นๆ ว่าจะโยนเรื่องศักดาเข้าไป เผื่อหาช่องทางในการจัดการอีกฝ่ายให้สมแค้น แต่ตอนนี้ใจของเด็กสาวเต้นแรง เพราะถ้าเสี่ยคิ้มมีความบาดหมางกับไอ้ชาติชั่วนั่นเป็นทุนเดิม....งานของเธอก็มีหวังได้สมปรารถนา

แต่ตอนนี้เด็กสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่เซ้าซี้อะไรไปมากกว่านี้...เพราะมันดูเหมือนจงใจเกินไป...ตอนนี้แค่พอมีช่องทางก็ดีแล้วค่อยๆ...หาทางคืบไปอีกจะดีกว่า

คิดอย่างนั้นใบหน้างามตาของฐิติพรรณก็ยิ้มหวาน ผสมเหล้าและโซดาให้กับเสี่ยคิ้มอีกแก้ว

“เสี่ยดื่มเหล้าให้ใจเย็นๆ สบายๆ นะคะ...เรื่องไม่สบายใจก็ไม่ต้องพูดถึงดีกว่า”

เมื่อคันธรสเดินกลับมา บรรยากาศในโต๊ะจึงเป็นแบบสบายๆ คุยกันสัพเพเหะระ แต่ถ้าต่างคนต่างอ่านความคิดกันออก ก็คงจะตกใจไม่น้อย เพราะเบื้องหน้าต่อทุกคนล้วนแล้วแต่ใส่หน้ากากที่หัวเราะยิ้ม แต่เบื้องลึกภายในใจคนทั้งห้าในโต๊ะต่างขบคิดใคร่ครวญเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้กันโดยตลอดทั้งสิ้นทุกตัวคน

............................

bananaa 2010-04-27 21:54
อรอุษามองเห็นตนเองเดินอยู่ท่ามกลางสวนกุหลาบที่สวยสะพรั่ง ทะเลดอกไม้ที่ห้อมล้อมเธออยู่มันช่างสวยงามและเปี่ยมไปด้วยสีสรรอันแพรวพราวราวกับเป็นวิมานสวรรค์ชั้นฟ้า เด็กสาวยืนมองไปรอบๆ ตัวด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจต่อสีสรรที่สดใสจากดอกไม้ที่แย้มกลีบงดงาม เบ่งบานสยายกลิ่นหอมรวยรินจรุงไปรอบๆ ทำให้ตัวเธอเองนั้นอกที่จะยื่นหน้าไปดมกลีบอันบอบบางเหล่านั้นอย่างมีความสุขไม่ได้ ดวงตากลมโตนั้นเปี่ยมไปด้วยแววตาแห่งความชื่นบานแจ่มใส

เด็กสาวเดินฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข เดินไปตามทางที่สองฟากข้างมีดอกไม้เบ่งบานผลิใบออกมาประชันความงดงามรายล้อมเธออยู่


ทันใดนั้น ขณะที่อรอุษากำลังมองไปรอบๆ ตัวอย่างเพลิดเพลิน สายตาของเธอก็มองไปปะทะกับร่างเล็กบางของพี่สาวคนกลางที่เดินเห็นหลังอยู่ไกลๆ

ด้วยความดีใจ เด็กสาวตะโกนร้องเรียก

“พี่นุช...พี่นุชคะ”

แต่ร่างบางงามของพี่สาวคนกลางนั้นยังคงเดินต่อไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามองเธอแม้แต่น้อย

อรอุษาพยายามเร่งฝีเท้าเดิน แต่ระยะทางระหว่างเธอกับพี่สาวนั้นไม่ได้ร่นใกล้ลงมาเลย เด็กสาวจึงตัดสินใจวิ่งเต็มกำลัง แต่ร่างบางที่เดินเป็นปกติข้างหน้ากลับค่อยๆ ห่างไปๆ ทิ้งระยะจากเธอไปเรื่อยๆ จนอรอุษาใจหายต้องตะโกนเสียงดังจนแสบคอ

“พี่นุช...พี่นุช..รอ...ษาด้วยค่ะ…พี่นุช”

ทันใดนั้นพลันมีกลุ่มหมอกที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในบริเวณนั้น จนบดบังร่างของพี่สาวคนกลางของเธอไป อรอุษาวิ่งฝ่ากลุ่มหมอกไปจนเหนื่อยแต่ตามทางที่คดเคี้ยวนั้นเด็กสาวไม่เห็นตัวของอรนุชแล้ว

“พี่นุช...พี่นุช”

เด็กสาวพยายามส่งเสียงตะโกนร้องเรียก เสียงของเธอเครือสะท้านราวกับเด็กที่กำลังหลงทาง

ตามเส้นทางที่คดเคี้ยวไปมาอย่างวกวนที่ซึ่งสองฟากข้างเต็มไปด้วยดอกไม้สีสรรสดใสที่เมื่อครู่ยังสร้างความสุขใจให้กับเธอ แต่ตอนนี้อรอุษารู้สึกว่าไม่ต่างอะไรกับผนังเขาวงกตที่เธอพยายามวิ่งวนพยายามหาทางออก แต่ไม่ว่าเด็กสาวจะวิ่งไปซ้าย ทะลุออกมาทางขวา วิ่งวนไปทุกที่ทุกแยกที่พบจนอรอุษารู้สึกเหนื่อยหอบจนแทบจะขาดใจ ทั่วร่างมีแต่เหงื่อที่ผุดพรายออกมาจนเปียกชุ่มไปหมด แต่รอบๆ ตัวเธอนั้นก็ยังคงเป็นผนังต้นไม้ผลิดอกสีสดใสที่ส่งกลิ่นหอมจรุง ที่บัดนี้กลิ่นนั้นมันเริ่มฉุนจนเธอรู้สึกเอียนเต็มที วิงเวียนศีรษะไปหมด

ทันใดนั้นเองต้นไม้ที่มีดอกอันงดงามก็สั่นพึ่บๆ ราวกับมีชีวิต เส้นยาวเหยียดของเถาวัลย์ไม้ที่มีหนามแหลมพุ่งออกมาจากข้างทางม้วนเข้ารัดข้อมือและข้อเท้าของเธอเอาไว้จนอรอุษารู้สึเจ็บแสบไปจนจับจิตจับใจ

เด็กสาวพยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่ยิ่งดิ้นรอยบาดลึกของหนามเหล่านั้นก็ยิ่งชำแรกลึกเข้าไปในผิวเนื้ออันอ่อนนุ่มของเธอจนเลือดไหลออกมาแดงฉานบาดตา ความเจ็บแสบนั้นพล่านไปทั่วอณูความรู้สึกจนอรอุษาต้องร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด

ทันใดนั้นเองเธอได้ยินเสียงหนึ่งร้องเรียกอย่างอ่อนโยนปลอบประโลม

“ษา...ไม่ต้องกลัวพี่มาแล้ว”

อรอุษาหันไปก็เห็นอรชาพี่สาวคนโตกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ เด็กสาวตะโกนเรียกอย่างดีใจ

“พี่อร..พี่อร..ช่วยษาด้วย...”

“จ้ะ..พี่มาแล้วน้องรักของพี่...ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ”

อรชาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวาน วิ่งตรงเข้ามาหาเธอ ในเวลานั้นอรอุษารู้สึกโล่งใจและอุ่นใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน...เธอปลอดภัยแล้ว...พี่อรของเธอมาแล้ว…

ทันใดนั้นเอง โดยต่อหน้าต่อตา พื้นดินตรงหน้าที่พี่สาวคนโตกำลังวิ่งเข้ามาหาเธอพลันยุบตัวลงไปราวกับมีใครวางกับดักเอาไว้ ใบหน้าอ่อนหวานของอรชาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนก เอื้อมมือเหยียดออกหมายจะยื่นเข้ามาคว้ามือของเธอเอาไว้

“ษา.....”

“พี่อร....”

อรอุษาร้องอย่างตกใจ พยายามยื่นมือไปถึงพี่สาว แต่ก็เจ็บแปลบไปหมด เพราะเถาวัลย์ที่ม้วนรัดอยู่ตรงข้อมือนั้นดึงรัดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา เด็กสาวเบิกตากว้าง มองพี่สาวที่เธอรักสุดหัวใจ กรีดร้องเสียงดัง และร่วงหล่นหายลงไปในหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้น เสียงดังโหยหวนย้อนขึ้นมา....ษาาาาาาาาาาาาาา....

“พี่อร....พี่อร....”

เด็กสาวน้ำตาไหลพราก ร้องตะโกนขึ้นมาสุดเสียง ฉับพลันนั้นเถาวัลย์ที่หนาแน่นแหลมคมก็ราวกับถูกมืออันไร้สภาพกระตุกดึง ร่างบางของอรอุษาที่ถูกพันธนาการอยู่ก็ลอยคว้างไปตามแรงดึง จนร่างของเธอถูกดูดกลืนเข้าไปในผนังต้นไม้ที่เปี่ยมไปด้วยสีสรรอันสดในบาดตานั้น หนามแหลมคมนับหมื่นนับพันพร้อมใจกันบาดกรีดไปตามผิวกายอันอ่อนนุ่มของเธออย่างถี่ยิบ เด็กสาวร้องออกมาสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส!!!!

“พี่อรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร...........”

อรอุษากรีดร้องเสียงดังลั่น พร้อมๆ กับความรู้สึกที่ทุรุนทุรายจนแทบขาดใจ ร่างบางก็ทะลึ่งขึ้นมาจากนิทรารมย์อันสุดแสนจะทรมานนั้น

เด็กสาวที่ผุดลุกขึ้นมานั่งพับเพียบ หอบหายใจจนตัวสั่นสะท้าน ทั่วร่างมีเหงื่อผุดขึ้นจนชุ่มโชกไปทั้งตัว

ดวงหน้าสวยหวานนั้นซีดเผือด ดวงตาโตนั้นบวมช้ำเต็มไปด้วยรอยน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา อรอุษาตัวสั่นสะท้านขดตัวไปนั่งคู้เข่าอยู่กับหัวเตียง ซบหน้าลงสะอื้นไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว ทั้งๆ ที่เธอพยายามร้องกับตัวเอง

ไม่ต้องกลัว...ไม่ต้องกลัว..มันเป็นแค่ความฝัน

แค่ความฝัน......

.........................

ฐิติพรรณกรอกเสียงหวานลงไปกับมือถือ

“ค่ะ..ใช่ค่ะ...รุเขาพักอยู่กับไอซ์เองไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

ทางบ้านของรุจิราโทรมาสอบทวนเพื่อความสบายใจ เพราะบุตรีคนเล็กของครอบครัวโทรมาว่าจะขอค้างกับเพื่อนติดต่อกันเป็นคืนที่สอง

“จ้ะ..รบกวนหนูไอซ์ด้วยนะ”

“ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ”

เด็กสาวกล่าวเสียงรื่นรมย์ ดวงตาพราวด้วยความสุขสมหวัง

ค่ำคืนนั้น

ในเวลาที่พริตตี้สาวหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก

ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ณ อีกมุมหนึ่งของเมืองหลวง อรอุษากำลังขดตัวนั่งสะอื้นตัวสั่นอยู่บนเตียง

และอีกเช่นเดียวกัน ณ เวลาเดียวกัน อีกมุมหนึ่งในบ้านหลังนั้น ที่ยังมีแสงไฟลอดออกมา

เสียงครางกระเส่ายังคงดำเนินต่อไป…..

11.
“เฮ้...เจส...แคธี่มาแล้วนั่นไง...โอ้โห...สวยขึ้นเป็นกอง”

สาวผมแดงใบหน้าคมคายสะกิดเพื่อนสาวผมทองที่กำลังเลือกๆ หยิบๆ โบรชัวร์แนะนำการท่องเที่ยวที่เสียบเอาไว้บริการนักท่องเที่ยว ณ เคาน์เตอร์บริเวณลอบบี้ที่อยู่ภายในโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางกรุงนิวยอร์ค ให้มองไปยังทิศทางของประตูทางเข้าด้านหน้าซึ่งเป็นประตูอัตโนมัติทรงกลมที่หมุนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในตอนนั้นเป็นจังหวะที่ประตูหมุนเปิดออก พร้อมๆ กับส่งคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาภายในอาคารที่มีการตกแต่งอย่างหรูหราตระการตา

สาวผมทองที่ตัดสั้นรับกับใบหน้าสวยปราดเปรียว เหลือบตาสีมรกตของเธอมองไปยังทิศทางที่เพื่อนสะกิด แล้วก็ต้องร้องฮูเร้ดังลั่น วิ่งเข้าไปหาหญิงสาวร่างบางที่กำลังเดินตรงเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม

“แคธี่....โอว์....แคธี่จริงๆ ด้วย...บราโว...ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ....แหม...ขอยืมคำของมาร์ธ่าหน่อยเถอะ...เธอสวยขึ้นจนจำแทบไม่ได้แน่ะ...”

ใบหน้างามของผู้ที่เข้ามาใหม่ก็แดงระเรื่อ ดวงตากลมโตเปี่ยมไปด้วยประกายตาแห่งความปิติยินดี

“เจส...มาร์ธ่า...ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกันอีก”

สามสาวผลัดกันกอดรัดชื่นชมซึ่งกันและกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เสียงหัวเราะทักทายประสานดังสดใสนั้นช่วยทำให้บรรยากาศในล๊อบบี้หรูดูงดงามและเปี่ยมไปด้วยสีสรรอันน่าตื่นใจไปกว่าเดิม แขกเหรื่อที่เดินไปเดินมาในบริเวณนั้นน้อยคนนักที่จะอดใจไม่ให้หันมามองดูสามสาวด้วยแววตาอันชื่นชมได้

“ไปกันเถอะ..ฉันจองโต๊ะเอาไว้แล้ว…หิวจะแย่...”

สาวผมทองกล่าวเสียงครึกครื้น เดินจูงมือสาวผมดำร่างบางเล็กที่สุดในกระบวนสามสาวเดินตรงเข้าไปด้านใน ผ่านทางเดินที่ปูลาดด้วยหินอ่อนสีดำตัดเทา ตรงด้านข้างของผนังตลอดเส้นทางนั้นมีลวดลายแบบ Post Modern Art อันสวยงามแปลกตาที่เข้ากันได้กับสถาปัตยกรรมของอาคารซึ่งเป็นทรงร่วมสมัยยุควิคตอเรียได้อย่างน่าประหลาด ทางเส้นนั้นนำเรื่อยไปจนเข้าไปถึงห้องอาหารขนาดใหญ่ที่ตกแต่งบรรยากาศภายในโดยรอบด้วยศิลปะแบบอิตาเลี่ยนไสตล์ดูสอดคล้องเหมาะเจาะกลมกลืนไปกับความหรูหราของแน
วความคิดกรอบการดีไซน์แบบผสมผสานที่โรงแรมสุดหรูนี้มอบความประทับใจให้กับแขกผู้มาเยือนเสมอมา

ด้วยความที่ทั้งสามเพิ่งมีโอกาสมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนานหลายปี ทำให้เสียงใสที่พูดคุยสนทนากันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหัวข้อของการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน เมื่อสนทนากันไปจนอิ่มอกอิ่มใจแล้วช่วงใหญ่ สาวผมทองก็เพิ่งจะได้มีช่องพูดถึงสิ่งที่เธอมองเห็นอยู่ตรงหน้า ซึ่งเธอมองไปใบหน้าอันงามของเพื่อนผู้มีผมดำตาดำสนิทอย่างยิ้มแย้มพลางว่า

“แคธี่...ฉันว่าเธอดูหน้าซีดๆ ตาคล้ำไปหน่อยนะ...เครียดกับงานมากไปหรือเปล่า…ที่รัก”

ขณะที่พูด สตรีผู้มีตาสีเขียวมรกตเอื้อมมือมากุมไปที่มือบางของหญิงสาวเพื่อนรักของหล่อนผู้ซึ่งถือกำเนิดมาจากอีกซีกโลก แต่มีอันต้องโคจรมาเป็นเพื่อนรักกันสมัยที่พวกเธอเรียนหนังสือกันอยู่ที่คอเนล

“ไม่รู้สิเจส...ฉันนอนไม่ค่อยหลับกระมัง...”

สาวผู้มีผมสีดำเป็นมันวาวยาวเคลียไหล่ลาดงามนั้นพูดเบาๆ และด้วยวิสัยของอิสตรีทำให้เธออดที่จะต้องเปิดกระเป๋าหยิบตลับแป้งขึ้นมาส่องหน้าไม่ได้ สาวผมทองหัวเราะคิกคัก

“โนๆ...พรีสด้อนวอรี่...ที่ฉันใช้คำว่าหน้าเซียว...แต่เธอก็สวยเกินพอที่จะทำให้หนุ่มๆ ที่นี่คอเคล็ดกันเป็นแถวแล้วล่ะจ้ะ...”

เธอพูดจบก็ยกมือปิดปากหัวเราะร่วน พร้อมทั้งกวาดตามองไปรอบๆ ตาเขียวมรกตนั้นส่ายยั่วเย้า ทำให้สายตาของหนุ่มๆ ที่มองมาหลบวูบกันไปเป็นแถว หญิงสาวก็เลยยิ่งหัวเราะออกมาเสียงดังขึ้นไปกว่าเดิมอีก

“นั่นสิ...ถึงว่าหน้าขาวเป็นกระดาษเชียว...ว่าแต่ที่นอนไม่หลับนี่เป็นเพราะคิดถึงหวานใจหรือเปล่าจ๊ะ...ท่านประธานแคท...”

เจสสิก้าพยายามกลั้นหัวเราะ แต่เสียงที่ออกมานั้นก็ยังกลั้วไปด้วยอารมณ์ที่ยั่วเย้า พร้อมๆ กับใช้แววตาล้อเลียนมองไปยังใบหน้างามของเพื่อนรักผู้มาจากประเทศไทย ทำให้สาวผมแดงที่กำลังรินไวน์สีสดลงแก้วให้กับตัวเองและเพื่อนทั้งสองคนพลอยยิ้มไปด้วย

อรชาหรือผู้ที่เพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียกว่า..แคธี่ หรือแคท..ซึ่งย่อมาจากคำว่าแคทเธอรีนอีกทีหนึ่งเพราะสมัยที่รู้จักกันใหม่ๆ เวลานั้นเพื่อนถามว่าชื่อของเธอแปลว่าอะไร ซึ่งหญิงสาวตอบว่า

“เอ่อ...ประมาณว่า...ผู้ปราศจากมลทิน...อะไรทำนองนี้แหล่ะ”

เจสสิก้ารูมเมท ตีมือกับหัวเข่าดังฉาดใหญ่ ตอนนั้นเธอสรุปอย่างกระตือรือร้น

“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันตั้งชื่อใหม่ให้เธอว่า...แคทเธอรีนนะ...เหมาะมาก...สวยบริสุทธิ์สมกับตัวเธอเลย…แคธี่”

เพื่อนๆ ร่วมชั้นต่างเห็นดีด้วยกับความคิดของสาวมั่นผู้เป็นลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐีชื่อดังเจ้าของโรงแรมเครือใหญ่อันดับหนึ่งของรัฐเทกซัส ดังนั้นอรชาจึงได้รับการเรียกขานว่า “แคธี่” นับแต่นั้น

หลังจากจบงาน Road Show ที่ซานฟรานซิสโก อรชาก็มีธุรกิจต้องติดต่อกับลูกค้าต่างประเทศ รวมไปถึงการมีนัดแวะดูงานการจัดการโรงแรมของพันธมิตรการค้าของเธอ ซึ่งอรชาต้องการให้ทีมงานที่ติดตามเธอมาหลายคนได้มีโอกาสและประสบการณ์ในการศึกษารูปแบบการจัดการของโรงแรมชั้นนำมีชื่อเสียงเหล่านั้น เพื่อนำกลับเอาไปปรับใช้ในการบริหารงานโรงแรมในเครือคัทธลียาของตนเอง

ตอนนี้หญิงสาวบินข้ามฟากจากฝั่งตะวันตกมายังตะวันออกที่นิวยอร์คเพื่อเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าอีกรายหนึ่ง และเนื่องจากเจสสิก้าซึ่งแต่งงานกับนักธุรกิจท้องถิ่นที่นิวยอร์คแห่งนี้ เป็นเพื่อนสาวที่อรชาสนิทด้วยกันที่สุดและยังเป็นรูมเมทอยู่ด้วยกันเกือบสองปี ความสนิทสนมของสองสาวคู่นี้สมัยเรียนหนังสือที่คอแนล เรียกได้ว่าเห็นเจสที่ไหนก็ต้องเจอแคธี่ที่นั่น ดังนั้นสองสาวจึงตกลงนัดเจอกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีตั้งแต่แยกจากกันไป และช่วงเวลานั้นเหมาะเจาะพอดีกับที่เพื่อนอีกคนหนึ่ง...มาร์ธา...เดินทางมาทำธุระที่นิวยอร์คพอดี สามสาวเลยมาจอยกันที่โรงแรมหรูแห่งนี้

ตอนนั้นอรชาหรือ “แคธี่” ของเพื่อนทั้งสองฝืนยิ้มออกมา ใบหน้างามแดงระเรื่อ

“บ้าน่า...เจส...ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย”

มาร์ธาเลื่อนแก้วไวน์ให้กับเพื่อน ถึงแม้เธอจะไม่ใช่รูมเมทกับสาวน้อยที่มาจากประเทศไทยเหมือนเจสสิก้า แต่เพราะกิริยามารยาทอันงาม และนิสัยที่อ่อนโยนน่ารักของอีกฝ่ายนั้นทำให้เพื่อนๆ ทุกคนรัก “แคธี่” ตัวเล็กๆ คนนี้ด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่าตัวของ “แคธี่” จะมีอันที่ต้องเลิกเรียนกลับไปกลางคันก็ตาม แต่ก็ยังมีการติดต่อส่งข่าวซึ่งกันและกันอยู่เสมอมา ซึ่งมาร์ธายังจำได้ดีถึงวันที่ต้องร่ำลากันด้วยน้ำตา เศร้าทั้งที่ต้องลาจากกันไปและเศร้าทั้งข่าวร้ายที่มาเยือนจากแดนไกลนั้น

“เจส...ปากหล่อนนี่...เหมือนเดิมไม่ผิดเลยนะ...”

สาวสวยผมแดงซึ่งมีกิจการโรงแรมส่วนตัวเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐแมรี่แลนด์ที่ซึ่งไม่ไกลจากนิวยอร์คนี้เท่าไหร่นักกล่าวค่อนขอดเพื่อนร่วมชั้นเรียน

เจสสิก้าหัวเราะเสียงดัง

“ใครว่าจ๊ะ...ฉันพูดความจริง...สาวโสดอย่างเธอคงไม่เข้าใจ...ถ้าลองเธอแต่งงานดูสิ...กลิ่นฮันนีมูนยังไม่จางเลยก็ต้องมีอันให้ห่างจากสามีข้าวใหม่ปลามัน
แบบว่าคนละทวีปอย่างแคธี่แล้วยังใจแข็งไม่เป็นโรคคิดถึงหวานใจก็ให้มันรู้ไป”

มาร์ธาส่ายหัว หันไปยิ้มกับอรชา

“อย่าไปถือสาปากของแม่เจสเลยนะ...แคธี่”

อรชายิ้มออกมาให้กับเพื่อนสนิททั้งสองคน ความรู้สึกเก่าๆ ที่หวนให้ระลึกถึงทำให้จิตใจที่หนักอึ้งมาตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาผ่อนคลายลงไปอย่างมาก

เจสสิก้าใช้มีดหั่นเนื้อเสต๊กชิ้นนุ่มตรงหน้าส่งเข้าปากเคี้ยวตุ๊ยๆ อย่างอร่อยขณะที่ถาม

“ทริปนี้ของเธอ...แคธี่...เป็นยังไงบ้าง...ประสบความสำเร็จดีไหม?”

“ฮื่อ...ก็ดี...พรุ่งนี้ฉันมีนัดคุยกับทางเพนนิซูล่าเกี่ยวกับเรื่อง promotion package ที่โรงแรมฉันกำลังจะเริ่มโครงการกับเขาด้วย”

อรชาพูดจบก็ใช้ช้อนตักสลัดผักเข้าปาก เคี้ยวผักสดกรอบคำเล็กๆ นั้นด้วยกิริยาอันงามตา เจสสิก้ากับมาร์ธายิ้มให้กันแล้วฝ่ายหลังพูดขึ้นว่า

“แหม..ฉันนี่อิจฉาเธอจริงๆนะ...แคธี่...ทำไมกิจการของเธอมันช่างรุดหน้าไปไวกว่าเพื่อนฝูงถึงขนาดนี้...ดูแต่โรงแรมของฉันสิ...เป็นแค่ตึกเก่าๆ เสร็งเคร็งจุคนได้ไม่ถึงร้อยเองมั้ง”

สาวผมแดงพูด แต่น้ำเสียงล้อๆ นั้นไม่ได้จริงจังกับคำพูดนัก มิหนำซ้ำใบหน้ายังแสดงถึงความยกย่องด้วยใจจริง

อรชาสั่นศีรษะแรงๆ จนผมดำเคลียไหล่นั้นพลิ้วไหวเป็นคลื่นงามล้อกรอบหน้าอันเปี่ยมเสน่ห์รัดรึงใจ ก่อนจะหันไปมองสาวผมทอง แล้วว่า

“ใครว่ากันจ๊ะ....โรงแรมของฉันน่ะเทียบโรงแรมของเจสเขาได้ที่ไหน...”

เจสสิก้าโบกไม้โบกมือวุ่นวาย

“โธ่...อย่ามาถ่อมตัวไปหน่อยเลย...ที่รัก...นั่นมันโรงแรมของพ่อฉัน...ใช่ของฉันซะที่ไหนกัน...แคธี่จ๋า...ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหล่ะ...ในกระบวนคนร่วมชั้นเดียวกันไม่มีใครประสบความสำเร็จเท่าเธอแล้ว”

มาร์ธาผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากนั้นชูแก้วในมือขึ้น ร้องเสียงใส

“ดื่มให้แคธี่คนเก่งของเรา...”

เจสสิก้าหัวเราะคิกคักชอบใจยกแก้วขึ้นบ้าง ทำให้อรชาอดหัวเราะตามไม่ได้ต้องยกแก้วขึ้นชนกับเพื่อนทั้งสองเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง

สามสาวยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากพร้อมๆ กัน ใบหน้าขาวของสาวผมทองนั้นมีสีสดงามขึ้นมาทันตา ขณะที่มาร์ธ่าเองก็ใช่ย่อยใบหน้าสวยของเธอนั้นเป็นประกายจัดรับกับผมสีแดงสวยเป็นมันระยับ แต่ทว่าในเวลานั้นสายตาของใครอีกหลายๆ คนโดยรอบ ต่างจับจ้องมองมุ่งตรงไปยังใบหน้าของสาวผมดำที่น้ำสีสดนั้นก่อให้เกิดริ้วสีแดงซ่านขึ้นตรงแก้มใสกันแทบเป็นจุดเดียว ซึ่งสองสาวร่วมโต๊ะนั้นมองตากันต่างฝ่ายต่างยิ้มย่องผ่องใส และเป็นเจสสิก้าสาวผมทองผู้มีปากไวเลื่องลือไปทั่ว หันไปหลิ่วตาให้ชายหนุ่มผมทองที่มอง “แคธี่” ของเธอตาหวานเลี่ยน ปากหัวเราะร่วน

“เสียใจเพื่อน...กุหลาบงามดอกนี้มีเจ้าของแล้ว”

เธอว่าพลางหยิบมือเล็กบางด้านซ้ายของอรชาขึ้นมาชี้ให้เห็นเพชรน้ำงามเม็ดเล็กจิ๋วทว่าน้ำงามเป็นประกายพราวล้อแสงไฟระยับตา

หนุ่มหล่อผมทองนั้นหน้าม้านไปทันที เพราะมัวแต่ตะลึงมองวงหน้าอันงดงามโดยลืมดูไปว่านิ้วนางข้างนั้นมีเจ้าของตีตราจองไว้แล้ว

อรชาใบหน้าแดงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมอีก รีบดึงมือกลับ ดุเพื่อนรักตาโต

“เจสนี่...อะไรกัน...เซี้ยวใหญ่แล้ว”

เจสสิก้าหัวเราะร่วนชอบอกชอบใจ มาร์ธาเองก็ผสมโรงหัวเราะไปด้วย แต่เพราะเห็นเพื่อนรักอายจนหน้าแดงก็เลยช่วยแก้ให้โดยการเปลี่ยนเรื่องเป็นถามไถ่เกี่ยวกับครอบครัวของอีกฝ่ายแทน ซึ่งแคธี่ของพวกเธอก็ยิ้มสดใสเล่าเรื่องของน้องสาวทั้งสองให้ฟังอย่างกระตือรือร้น

“น้องสาวคนกลางของฉันซนเหลือขนาด...พวกเธอรู้ไหม...นุช...น้องสาวของฉันน่ะตอนนี้เครซี่เรื่องปืนแบบว่า...เป็นเอามากเลย...ยืนปืนเล่นจนบางวันกลับมาบ้าน
...เหม็นกลิ่นควันปืนตามเสื้อผ้าที่สุดเลย...”

อรชาพูดไปยิ้มไป เธอมีความสุขเสมอที่ได้พูดถึงน้องสาวอันเป็นที่รักทั้งสองคน เจสสิก้าฟังแล้วผงกศีรษะหงึกหงัก

bananaa 2010-04-27 21:55
“แหม...ไม่เห็นแปลกเลยนี่นา...ดีซะอีกผู้หญิงอย่างเราต้องแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นรองผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น...อยากให้น้องสาวเธอมาที่นี่จัง...นายโทนี่...
เพื่อนสมัยเด็กๆ ของฉันน่ะ...ตอนนี้เป็นเจ้าของคอกปศุสัตว์...นายนั่นน่ะดูถูกผู้หญิงเหลือเกิน...บอกว่าอ่อนแออย่างนั้น...เหยาะแหยะอย่างนี้...ไอ้เรื่องปืนผาหน้าไม้กับฉันน่
ะถูกกันที่ไหน...เลยเจอไอ้หมอนั่นเกทับตลอด...ถ้าน้องสาวเธอมา...ฉันจะได้ยุส่ง...ให้รู้ว่าผู้หญิงเราถ้าจะเอาดีทางไหนก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ...จะได้ตอกหน้าแงนาย
โทนี่ให้เจ็บไปเลย”

เจสสิก้าพูดอย่างยืดยาว พูดไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไป จนอรชาและมาร์ธาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ เสียงหัวเราะของสามสาวประสานกันดังสดใส

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหารกลางวันมื้อนั้น สำหรับชายหนุ่มหลายๆ คนในบริเวณโดยรอบโต๊ะของสามสาวสวยจะรู้สึกเจริญอาหารเป็นพิเศษ เพราะมีอาหารตาเป็นเครื่องเคียงชั้นเลิศอย่างนั้น

ความจริงอรชานั้นกำลังมีความรู้สึกแจ่มใสเบิกบานใจอย่างที่สุด...หลายๆ วันที่ผ่านมานั้นเธอไม่เคยรู้สึกดีเช่นนี้มาก่อนเลย แต่น่าเสียดาย...ความเบิกบานใจนี้มันช่างมีอายุที่สั้นเหลือประมาณ...

เพราะในวินาทีถัดไปอะไรบางอย่างที่มันเสียววาบขึ้นมากลางอกจนใจหาย ความรู้สึกโหวงเหวงเหมือนราวกับว่าเธอนั้นพลัดตกลงมาจากที่สูง จมดิ่งลงไปในห้วงมหรรณพอันหาที่หยั่งยึดไม่ได้ ความรู้สึกที่วาบหวิวจนจับขั้วหัวใจนั้นทำให้มือบางงามที่วางอยู่บนโต๊ะสะท้านไหว จนเคลื่อนกระตุกไปกระแทกแก้วทรงสูงที่วางอยู่ข้างตัว

เพล๊ง!!!

แก้วเนื้อบางทรงสูงที่ตกลงกระทบพื้นนั้น แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ น้ำสีสดภายในนั้นกระฉอกออกมากระจายนองอยู่บนพื้น เสียงอันดังเสียดแก้วหูทำให้บรรดาคนที่นั่งกินอยู่แถวนั้น ต้องหันขวับมามองอย่างตกใจ

คนทำให้เกิดเสียงดังเปรื่องปร่างนั่งหน้าซีด ก้มศีรษะถี่ถี่ไปรอบๆ ตัวเป็นเชิงขอโทษต่อการกระทำของตนเอง

เจสสิก้าและมาร์ธาเบิกตากว้าง สาวผมทองกุมไปที่มือของอรชา

“แคธี่..เธอเป็นอะไรไป?”

เสียงรุมถามมานั้นดังอย่างตกอกตกใจ อรชาใบหน้าขาวเผือดลงฉับพลัน ส่ายศีรษะไปมาช้าๆ ดวงตาคู่งามนั้นเลื่อนลอย ความรู้สึกหวิวๆ นั้นยังจับไปที่ขั้วหัวใจอยู่ มือชาเท้าชา ร่างบางนั้นสั่นระริกราวกับจับไข้ ในช่วงขณะนั้นเธอเองก็หาคำตอบให้กับเพื่อนรักไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ

“มะ..ไม่รู้สิ...อยู่ดีๆ...มือมันก็กระตุกไปเอง”

ขณะที่มาร์ธากวักมือเรียกบริกรให้รีบมาทำความสะอาดพื้นโต๊ะกับจัดการเศษแก้วที่แตกละเอียดอยู่ตรงพื้นห้อง เธอก็จ้องไปที่หน้าขอเพื่อนรักอย่างกังวล

“เฮ้...ที่รัก...หน้าเธอซีดมากเลยนะ...เจส...พาแคธี่ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเถอะ”

สาวผมแดงบอก เจสสิก้าผงกศีรษะเห็นด้วย ผุดลุกขึ้นดึงมือบางของอรชาให้ลุกตามออกมา หญิงสาวเกรงใจเพื่อนขยับปากจะปฏิเสธ แต่เพื่อนรักกระซิบ

“มาเถอะ...แคธี่...ใครๆ มองดูเธอกันใหญ่แล้ว”

อรชาเหลียวมองไปรอบๆ ตัวก็แลเห็นสายตาหลายคู่จับจ้องมา ใบหน้าซีดนั้นแดงขึ้นเล็กน้อย เห็นด้วยกับคำชักชวนนั้นทันที

เจสสิก้าเดินจูงเพื่อนผู้มาจากเมืองไทยไปที่ล๊อบบี้ และหามุมเงียบๆ พาอรชาไปนั่งลงและทรุดนั่งข้าง ๆ กอดเพื่อนรักเอาไว้แน่นอย่างเสน่หา

“เป็นไรฮึ...แคธี่...บอกฉันมาตามตรงเถอะ…ฉันสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วล่ะ...ว่าเธอจะต้องมีอะไรในใจแน่ๆ”

สีหน้าของสาวสวยผมทองไม่มีแววขี้เล่นอีก ใบหน้าสวยนั้นเคร่งขรึมจริงจัง ดวงตาสีมรกตนั้นมีแววของความเป็นห่วงอย่างลึกซึ้ง

อรชาฝืนยิ้มอย่างแห้งแล้งเต็มที สภาพที่เห็นนั้นดวงหน้าบางใสเต็มไปด้วยริ้วรอยของความเหนื่อยล้า เป็นภาคที่หญิงสาวน้อยครั้งจะแสดงออกมาให้คนภายนอกได้เห็น

ภายใต้ภาพของหญิงสาวที่สง่างามโดดเด่นและมีความมั่นอกมั่นใจ ดูประหนึ่งว่าจะสามารถรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างมีสติและสัมปะชัญญะได้ทุกครั้งไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่โตเพียงไร ทว่าโดยความจริงนับตั้งแต่ต้องเข้ามารับช่วงกิจการของบิดาตั้งแต่วัยเยาว์มาก หญิงสาวก็ต้องเรียนรู้งาน เรียนรู้ธุรกิจ เรียนรู้จากของจริงซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เธอเคยเก่งกาจนักหนาในทำข้อสอบและหาข้อมูลเพื่อทำงานโปรเจคส่งอาจารย์ และที่สำคัญที่สุด ลำบากยากเข็ญที่สุดยิ่งไปกว่าการเรียนรู้การบริหารงานกิจการของโรงแรมในเครือที่มีความซับซ้อน นั้นคือการที่เธอต้องเผชิญกับการคน กับมนุษย์ที่มีจิตใจยอกย้อน การคบหาที่มีผลประโยชน์เป็นเดิมพัน สิ่งเหล่านี้ถาโถมเข้ามาหาอรชาผู้ซึ่งไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ดังนั้นหญิงสาวที่แม้ว่าเนื้อแท้จะเป็นนักสู้ไม่เคยยอมท้อถอยแค่ไหนก็ต้องอ่อนแรงและเหนื่อยล้า บ่อยครั้งเมื่อยามที่อยู่ตามลำพังในที่อันเป็นส่วนตัว ใบหน้าที่งามซึ้งนั้นจะพาดผ่านไปด้วยริ้วรอยแห่งความเหน็ดเหนื่อย

แต่ภาระของความเป็นผู้นำ เป็นผู้กุมบังเหียนกิจการที่ได้รับตกทอดจากบิดา เป็นประมุขคนถัดไปของครอบครัว ที่ต้องดูแลน้องสาวสองคนและบริวารนับหลายสิบชีวิต ยังไม่รวมพนักงานอีกหลายร้อยคน ผู้ซึ่งคนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติสุขภายใต้การนำทางของบิดาเธอ ซึ่งอรชาปฏิญาณว่าจะต้องทำให้ได้อย่างน้อยเทียบเท่าสิ่งที่บิดาเธอได้ทำเอาไว้จะไม่ยอมให้ใครๆ ตราหน้าว่าลูกสาวคนนี้ของคุณพ่อไม่มีความสามารถดูแลงาน ดูแลคนของท่านเป็นอันขาด ภาระเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่อรชาบอกกับตัวเองเสมอมาว่าเธอล้มไม่ได้...

ยามอรชารู้สึกอ่อนแรง สิ่งที่กระตุ้นให้เธอฮึดสู้และพยายามทบทวนความผิดพลาดเพื่อก้าวเดินต่อไปนั้นก็คือกำลังใจที่เธอมีจากน้องรักทั้งสองอย่างเต็มเปี่ยม สายตาที่เทิดทูนและความเชื่อมั่นของน้องสาวประดุจเกราะกำบังภัยชั้นดีที่หญิงสาวสามารถสวมใส่เพื่อเข้าต่อกรกับปัญหานานับประการ

และหญิงสาวค่อยๆ เรียนรู้ความสามารถที่จะซุกซ่อนความอ่อนไหว ความรู้สึกเหนื่อยล้าเอาไว้ภายใต้อาการอันสงบเยือกเย็น และมีบุคลิกภาพในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างนุ่มนวลมีสติ ซึ่งคนภายนอกไม่มีวันจะแลลึกเข้าไปมองเห็นตัวตนของหญิงสาวที่ยังอยู่ในช่วงวัยอันเยาว์เหลือเกินที่ต้องเข้ามารับผิดชอบกับภาระอันหนักอึ้งที่โถมเข้ามาอยู่กดด
ันตรงสองบ่าเล็กๆ ของเธอ

ภาระ...หน้าที่...สิ่งเหล่านั้นมันเป็นความกดดันที่ทำให้อรชาต้องตัดสินใจหันหลังให้กับความสดใส..ความร่าเริงของหญิงสาวที่กำลังเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันร้อ
นแรง....และความรัก...

เกราะที่อรชาสร้างขึ้นมาพันธนาการตัวเอง มันช่วยให้เธอฝ่าพันอุปสรรคมาได้ก็จริง...แต่ขณะเดียวกันนั้น...มันก็พรากเอาของล้ำค่าบางอย่างของเธอไปด้วย...

bananaa 2010-04-27 21:56
เปลือกนอกแห่งความแข็งแกร่งเคยทำหน้าที่ของมันได้ดีเสมอมา แต่ขณะนี้เบื้องหน้าเพื่อนผู้ซึ่งเคยคบหากันอย่างสนิทสนม เป็นรูมเมทด้วยกันตั้งแต่อรชายังเป็นเด็กสาวผู้ร่าเริงกับชีวิต ใช้เวลาอย่างแจ่มใสเบิกบานสดใสอยู่กับสังคมตรงหน้า ไม่ใช่ผู้นำแห่งกิจการอันใหญ่โตและประมุขของครอบครัวอันมีภาระที่หนักอึ้ง....อาการอ่อนไหวก็ค่อยๆ แทรกผ่านเกราะที่เธอสร้างออกมา จนทำให้ร่างบางนั้นสั่นสะท้าน ดวงตาคู่งามมีร่องรอยของความหวาดหวั่น

“ฉัน....ฉันรู้สึกเหนื่อยจัง...เจส...ไม่รู้อะไรมันรบกวนจิตใจของฉันมาตั้งแต่ที่ซานฟรานแล้ว...”

เจสสิก้าโอบปลอบเพื่อนรัก

“ที่รัก...ทำใจให้สบายนะ...อย่าไปคิดมาก...เธออาจจะเคร่งเครียดกับงานจนเกินไป”

“ไม่รู้สิ...ทำไมฉันถึงได้อ่อนแออย่างนี้นะ...แย่จริงๆ...”

อรชากล่าวเสียงแหบ ดวงตาคู่งามนั้นมีร่องรอยแห่งความกังวลใจที่ปิดไม่มิด ความเสียวสะท้านที่จับจิตใจนั้นยังกรุ่นอยู่ไม่หาย ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องที่ปรับอากาศจนเย็นเฉียบ แต่หญิงสาวยังรับรู้ว่าที่กลางหลังนั้นมีรอยชื้นของเหงื่อที่ซึมออกมา

“ฉัน...ฉันไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป...แต่ฉันกลัวเหลือเกินนะ...เจส...กลัวว่าจะต้องสูญเสียคนที่ฉันรักไปอีก....”

พอพูดออกมาถึงตอนนี้ น้ำตาใสๆ ก็ไหลออกมาอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ เจสสิก้าตาเบิกโพลงโอบกอดร่างของเพื่อนผู้มาจากเมืองไทยเอาไว้ ใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลอยู่บนแก้มใสนั้นอย่างอ่อนโยน

“ใจเย็นๆ...ที่รัก...คนที่ดีอย่างเธอพระเจ้าต้องคุ้มครอง”

คำพูดของเพื่อนรัก ทำให้ดวงตาคู่งามของอรชาสั่นระริก ความหวาดหวั่นขวัญเสียที่มีอยู่ในส่วนลึกนั้น พลุ่งขึ้นมาราวกับทำนบน้ำแตกสลาย ปลายจมูกที่โด่งงามแดงก่ำขึ้นทันที ทำให้เสียงพูดนั้นขึ้นจมูก

“เธอยังจำได้ไหม...เจส..คืนนั้น...คืนก่อนที่ข่าวร้ายจะมาถึงฉัน...เรามีปาร์ตี้เล็กๆ กัน ฉันมีความสุขเหลือเกิน...จนกระทั่งฉันฝันร้ายและตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก...นั่งร้องไห้...เธอก็ปลอบฉันเหมือนวันนี้...แต่แล้ว...แต่แล้ว...วันรุ่งขึ้น...วันรุ่
งขึ้น...”

อรชาร้องไห้ออกมา ยังจำได้ติดตา...วันนั้นเป็นวันที่ฟ้าหม่น เธอตื่นมาอย่างอ่อนระโหย ดวงตาบอบคล้ำเพราะตื่นตามาตลอดคืน ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแบบไร้ซึ่งความสุขเบิกบานแจ่มใสที่เคยมีตลอดทั้งวัน และจนในที่สุด...ข่าวร้ายก็ถูกส่งมาจากเมืองไทย...บิดาเธอประสบอุบัติเหตุร้ายแรง...

ใบหน้างามของเพื่อนสาวผมทองสลดลง...ใช่...ทำไมเธอจะจำไม่ได้...ช่วงหัวค่ำ..พวกเธอยังสนุกสนานกับการยั่วเย้าเพื่อนสาวถึงของขวัญที่ได้รับมาจากเมืองไทย...แต่
ตกดึก...อรชาในวันนั้นนั่งร้องไห้ตัวสั่นเหมือนกับวันนี้...แต่เจสสิก้าก็ยังพยายามปลอบใจ

“ที่รัก...ไม่เอาน่า...อย่าทำร้ายตัวเองด้วยความกังวลอีกเลย..”

อรชายพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ ริมฝีปากงามสั่นระริก ความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่ได้แต่เก็บกักเอาไว้ภายในแต่เพียงผู้เดียวระเบิดออกมา เสียงของหญิงสาวสั่นสะท้าน ขาดห้วงเป็นระยะ...

“ฉัน...ฉันทนไม่ไหวแล้วเจส...ฉันจะไม่ยอมสูญเสียคนที่ฉันรักอีก...เธอรู้ไหมฉันรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ซานฟราน...และวันนั้นน้องสาวของฉัน...นุช
...เขาประสบอุบัติเหตุขับรถชนข้างทาง...ตอนนั้น...ฉันคิดว่าต้นเหตุแห่งความไม่สบายใจนั้นมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว...แต่จริงๆ...ไม่ใช่...ความรู้สึกนั้นมันยังวนเว
ียนอยู่รอบๆ...ฉัน...ฉัน...ทนไม่ไหวแล้ว...ฉันต้องกลับแล้วล่ะ...เจส...ฉันต้องกลับเมืองไทย....ฉันจะไม่ยอมให้ชะตากรรมมาพรากคนที่ฉันรักไปจากฉันอีกแล้ว...ฉัน
ไม่ยอม...ไม่มีวันยอม…”

เจสสิก้าโอบปลอบเพื่อนรักที่ใบหน้าพรั่งพรูน้ำตาออกมาอย่างเนืองนองด้วยความสงสารจับใจ

“แต่...เธอยังมีงานต้องทำไม่ใช่หรือจ๊ะ...ที่รัก”

อรชาชะงักไปวูบหนึ่ง ตระหนักดีว่าการเจรจากับคู่ค้าในระดับนี้ การรักษาเวลาและมาตรรฐานของข้อตกลงเป็นสิ่งที่ถือสา มันจะไม่มีทางเป็นผลดีกับความร่วมมือในอนาคตเลยถ้าเธอมาเปลี่ยนแปลงกำหนดการกระทันหันโดยไม่มีสาเหตุอันควร...

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคนที่ฉันรักหรอก...เจส...ฉันจะกลับ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

หญิงสาวตกลงใจแล้ว ใบหน้างามนั้นมีแววตาที่มุ่งมั่น

“เอาเถอะ...แคธี่...”

เพื่อนรักของหญิงสาวยิ้มปลอบใจ กล่าวเสียงอ่อนหวานพลางยกมือตบอก

“ถึงเพื่อนคนนี้จะทำอะไรให้เธอได้ไม่มาก...แด๊ดดี้ของฉันเขาสนิทกับ CEO ของเพนนินซูล่าดี...จะให้แด๊ดช่วยรับรองให้ว่าเธอมีธุระจำเป็นจริงๆ...ไม่ต้องห่วงนะ...รีบกลับไปเถอะ”

อรชายิ้มออกมาทั้งน้ำตา กอดเพื่อนที่เธอรักที่สุดเอาไว้ พึมพำ

“ขอบใจมากนะ...เจส...ขอบใจมาก”

เจสสิก้าโอบกอดตอบ กระซิบที่ข้างหูขาวใส

“ทำใจให้สบายนะ...แคธี่...เชื่อฉัน...พระเจ้าต้องคุ้มครองเธอ...ในท้ายที่สุดทุกอย่างจะต้องลงเอยด้วยดี...”

“ฉันก็หวังเช่นนั้น....เจส”

ประโยคสุดท้าย...อรชาคำนึงในใจ....เธอหวังเช่นนั้นจริงๆ...

ไม่มีความคิดเห็น: