ขายของ

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปฎิหารย์แห่งรัก ตอนที่6

ปฎิหารย์แห่งรัก ตอนที่6, รำลึกวัยเยาว์ถึงวัยหนุ่ม ต่อ เมื่อผมก้มลงมองมือเล็กสองข้างที่ยึดแขนผมไว้ก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นมือของ ลูกสาวทั้งสองคน เธอสองคนปลอบมิให้ผมร้องไห้แต่ตัวทั้งพี่น้องกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัว โยน ผมดึงร่างสูงโปร่งของทั้งสองคนเข้ามาแนบอกทั้งซ้ายและขวา เราสามคนพ่อลูกเพ่งมองไปยังรูปถ่ายใบนั้นเสมือนเป็นศูนย์รวมของความรักและ ความคิดถึง "กิ้วๆ...ป๊าขี้แง จะแต่งงานคืนนี้แล้วยังมาร้องไห้อีก" น้องส้มเริ่มแซวผมทั้งๆที่เสียงยังสั่นเครือเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้ น้ำตายังไม่ทันแห้งเหือด ผมเดินโอบกอดสองสาวออกมาจากห้องสีขาวเล็กๆห้อง นั้น พากันไปนั่งพักที่ห้องโถงชั้นบน สาวน้อยทั้งสองของผมยังไม่ได้แต่งตัวสำหรับงานคืนนี้เช่นเดียวกับผม ผมโอบศรีษะที่มีเส้นผมยาวสีดำขลับของทั้งคู่มาแนบที่อก พร้อมพูดคุยสอบถามเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการเรียน เรื่องเพื่อน เหมือนเช่นทุกคราวที่เราสามคนพ่อลูกได้นั่งคุยกัน ผมพยายามทำตัวให้สนิมสนมกับลูกๆ เป็นเหมือนทั้งพ่อและแม่ เป็นเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน ที่ลูกสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดาราคนโปรด เรื่องเพื่อนๆที่โรงเรียน เรื่องหนุ่มๆที่ทำท่าจะเข้ามาจีบ เรื่องข่าวเม้าท์กันตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งเรื่องการเมือง ผมคิดเสมอมาว่าถ้าเราเลี้ยงลูกแล้วทำให้ลูกคุยกับเราได้ทุกเรื่องปรึกษาเรา ได้ทุกปัญหา จะเป็นการดีกว่าที่ลูกจะไม่กล้าปรึกษาเราเพราะกลัวเราโกรธ หรือเห็นว่าเราล้าสมัยเกินไปที่จะคุยเรื่องของวัยรุ่นได้ "เอ่อ...ป๊า มีเรื่องหนึ่งที่ป๊าไม่เคยถามพวกนู๋เลย...ป๊ารู้สึกผิดจัง" ผมเอ่ยขึ้นในจังหวะหนึ่งที่การสนทนาของเราสามคนพ่อลูกเริ่มจะหมดเรื่องคุย กันแล้ว "เรื่องไรคะ...ป๊า" น้องโมเงยหน้าขึ้นมาจากอกผมร้องถาม "ก็...เรื่องที่ป๊าจะแต่งงานกับพี่นิด..ป๊าไม่เคยถามความคิดเห็นจากลูกๆเลย" ผมเริ่มอึดอัดเล็กน้อยที่รอคำตอบจากลูกทั้งสอง " แหมมมม..ป๊าก็ เพิ่งมาถามตอนนี้นะ..ถ้านู่สองคนบอกว่านู๋ไม่อยากให้แต่งงานล่ะ ป๊าจะทำไง" น้องโมพูดเสร็จก็หันไปลอบขยิบตากับผู้เป็นน้อง โดยคิดว่าผมไม่เห็น ทำหน้าตาจริงจังเหมือนผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน "เออ...ถ้าแบบนั้น..ป๊าก็จะลงไป บอกพวกข้างล่างที่กำลังเตรียมงานให้กลับไป บอกว่าลูกสาวสองคนห้ามพ่อแต่งงาน ไงล่ะลูก" ผมแสร้งทำหน้าเศร้าแต่ดูจริงจัง " อย่าเลยคะป๊า..เดี๋ยวไอ้เจ้าตัวเล็กของป๊าก็ร้องไห้ขี้มูกโป่ง" นิดโดนลูกสาวผมเรียกไอ้เจ้าตัวเล็กอีกแล้ว พอพูดเสร็จลูกสาวทั้งสองคนก็หัวเราะกันคิกคักๆ ผมทำเป็นแกล้งว่าเพิ่งทราบว่าเธอพูดล้อผมเล่น รายการกอดรัดจั๊กกะจี๋เอวของเราสามคนพ่อลูกก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เสียวหัวเราะวี๊ดว๊ายดังระงมอยู่ที่ห้องโถงชั้นบน จนกระทั่งนิดที่กำลังแต่งหน้าอยู่ชั้นล่างต้องขึ้นมาดู พร้อมบอกให้สามคนพ่อลูกแยกย้ายกันไปแต่งตัวได้แล้ว พอคล้อยหลังเจ้าตัวเล็กของเด็ก น้องส้มก็เข้ามากระซิบว่าป๊า..ต้องแต่งหล่อๆนะเอาให้พี่นิดตะลึง..จากนั้นก็ หัวเราะคิกๆจากไปพร้อมพี่สาว ผมเข้าไปอาบน้ำอีกครั้งเพราะรู้สึกเหนียวๆ ตัวจากการเล่นกอดรัดกับลูกสาวทั้งสองมา พอผมเข้าไปในห้องน้ำที่มีกระจกรูปวงรีบานใหญ่แขวนอยู่เหนืออ่างล้างหน้าสี เขียวอ่อน ผมส่องเพื่อมองรูปร่างหน้าตาของตนเอง ผมละเลยการเพ่งพิจารณาหน้าตารูปร่างของตนเองมานานแล้วแต่ครานี้ผมกลับทำ ภาพที่สะท้อนออกมาจากระจกเงาคือใบหน้าของชายสูงอายุคนหนึ่ง ใบหน้าที่เคยหล่อเข้มๆของผมเริ่มมีริ้วรอยยับย่นตรงบริเวณหางตา ผมที่เคยดกดำเป็นเงาบัดนี้มองเห็นได้ชัดถึงเส้นผมสีขาวที่แซมขึ้นมามากมาย กล้ามแขนที่เคยเป็นมัดกับแผงอกที่เป็นลอนเริ่มจางลง ซีสแพ็คกล้ามท้องข้างละสี่ลูกบัดนี้หายไปแล้วแต่กลับมีลอนของไขมันเล็กๆขึ้น มาแทนในบริเวณรอบๆเอว มีอย่างเดียวเท่านั้นที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อผมมองต่ำลงมาจากหน้าท้อง... ท่อนลำของผมนั่นเองที่ยังคงอวบใหญ่เฉกเช่นเดิมแม้ในขณะนี้ที่มันอ่อนตัวห้อย หัวลง เอาเถอะเดี๋ยวคืนนี้คงต้องใช้เจ้าทำงานอีกครั้งหนึ่งแน่ผมนึกในใจพร้อมกับ เอื้อมมือลงไปลูบมันเล่นๆ พร้อมฮำเพลงเบาๆในห้องน้ำด้วยความสุขในขณะที่เปิดผักบัวละอองน้ำเย็นสดชื่น ราดรดจนตัวชุ่มฉ่ำ ผมออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งก็เห็นว่าบัดนี้บนเตียงนอน ขนาดใหญ่ของผมปูพรมไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด คงมีคนเข้ามาทำให้ในช่วงที่ผมอยู่ในห้องน้ำแน่ ผมเสียเวลาแต่งตัวไม่นานนักก็เดินลงจากชั้นบนมองไปที่ห้องนั่งเล่นพบว่าลูก สาวทั้งสองคนของผมพร้อมเจ้าติ๊กหลานชายแต่งตัวเสร็จแล้วกำลังนั่งคุยกันอยู่ ทั้งสามคนหันมามองผมทันที "โหหหหหลุง...หล่อจังแบบนี้ติ๊กชิดซ้ายไปเลย" เจ้าติ๊กคือลูกชายของวรรณา ซึ่งเป็นพี่สาวของประภาภรรยาของผม ในขณะนั้นกำลังเรียนมหาลัยอยู่ปีสุดท้ายแล้ว เจ้าติ๊กอยู่ในชุดสูทสีกรมท่าผูกเน็คไทผ้าไหมสีครีม ผมแปลกใจอยุ่เสมอๆทุกครั้งที่มองหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้ ว่าทำไมมันถึงได้คล้ายกันกะผมในช่วงสมัยที่ผมเป็นวัยรุ่นอายุประมาณกัน แทนที่มันจะมีหน้าตาไปทางพ่อของมัน "จ๊าบเลย..ป๊าเรา...หล่อแบบนี้พี่นิดตะลึงแน่.." ครานี้น้องส้มแซวผมมั่ง ส่วนน้องโมผู้พี่สาวได้แต่นั่งอมยิ้ม "พวกผู้ใหญ่ไปไหนกันหมดล่ะ" ผมถามเพื่อแก้เขินและจะได้เบี่ยงเบนการพูดแซวจากเด็กๆ "ป้าวรรณ ออกไปดูแลความเรียบร้อยข้างนอกค่ะ ส่วนพี่นิดยังไม่ออกมาจากห้อง" น้องโมรายงานมั่ง พอ พูดจบ ก็มีเสียงคลิ๊กเบาๆจากลูกบิดประตูห้องของผู้ที่กำลังกล่าวถึง ผมและเด็กๆทั้งสามหันไปมองเหมือนนัดกันไว้ พอประตูเปิดออก ร่างของสาวน้อยคนหนึ่งในชุดไทยประยุกสีกลีบบัว ก็ก้าวออกมา ร่างขาวๆของ นิดกับชุดสีกลีบบัวช่างเข้ากันได้เป็นอย่างดี นิดก้าวผมทรงสูง แต่งหน้าอ่อนๆแต่กลับทำให้ดูหน้านั้นสวยหวานเป็นอย่างยิ่ง ชุดไทยตัดเย็บอย่างดีเข้ารูป ทำให้ร่างของนิดดูบางระหง อกอวบๆของนิดดันเสื้อขึ้นมาจนโป่ง ที่คอเธอประดับด้วยสร้อยทำจากทองในแบบศิลปะโบราณ ที่เรียกว่าสร้อยทองสุโขทัย รับกะต่างหูทองในแบบเดียวกัน ผมมัวแต่มองว่า ที่เจ้าสาวของผมจนตาค้าง ไม่นึกเลยว่านิดเธอจะสวยจนทำให้ผมตะลึงได้เช่นนี้ยามที่เธอสวมใส่ชุดแต่งงาน จนทำให้เด็กๆร้องแซวกันวุ่นวาย หัวเราะกันคิกคักๆ จวบจนนิดเดินมาจับมือผมนั่นแหละผมถึงได้ตื่นจากภวังค์ "ป๊าอ่ะ...มองจน นิดเขิลแล้วนะ" ใบหน้านิดแดงซ่านแก้มเป็นสีชมพูจัดด้วยความอาย ยิ่งทำให้พวกเด็กๆหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนนิดต้องหันไปค้อนเสียหลายตลบ ผม จูงมือนิดออกเดินนำโดยมีขบวนของเด็กทั้งสามคนตามหลัง พร้อมกับพวกช่างแต่งหน้าเจ้าสาวที่ว่าจ้างมาโดยเฉพาะ ทันที่ที่ผมเปิดประตูหน้าบ้านออกมาก็ได้ยินเสียงดนตรีกำลังขับกล่อมบรรเลง ให้แขกที่ผมเชิญมาในงานฟัง มีแขกทยอยกันมาเรื่อยๆจนเกือบจะครบแล้ว ผมพานิดเดินลอดชุ้มกุหลาบสีชมพูแสนสวย ที่ทำเสมือนว่าเป็นประตูทางเข้างาน แขกทุกคนหันมามองโดยพร้อมเพรียงในขณะที่บนเวทีก็เปลี่ยนมาบรรเลงเพลงที่ใช้ สำหรับพิธีงานแต่ง ผมและนิดต่างก็ยกมือไหว้และรับไหว้ผู้ที่มาในงานจนดูสับสน เพื่อนเก่าๆของผมหลายคนร้องแซวผมและว่าที่เจ้าสาวสนุกสนาน ผมยังไม่มีเวลาทักทายวิสาสะด้วยเพราะต้องพานิดขึ้นไปยังเวทีก่อนเป็นอันดับ แรก จวบจนพิธีการแนะนำตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว ซึ่งเจ้าติ๊กหลานชายเป็นผู้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ผมจึงพานิดลงมาจากเวทีเพื่อนเดินทักทายไปตามโต๊ะต่างๆเริ่มตั้งแต่โต๊ะแรก ที่อยู่ใกล้เวทีที่สุดคือบรรดาญาติสนิทของผมและของนิด

ไม่มีความคิดเห็น: