ขายของ

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปฎิหารย์แห่งรัก ตอนที่7

ปฎิหารย์แห่งรัก ตอนที่7, รำลึกอดีตวัยเยาว์ถึงวัยหนุ่ม ผมพานิดลงมาหาหมู่มวลญาติสนิทของเราทั้งสองฝ่ายก่อน อันดับแรกคือญาติของนิดประกอบด้วยพ่อแม่ และญาติผู้หญิงอีกคน ผมค่อนข้างประดักประเดิดเล็กน้อยเมื่อพานิดมาถึงกลุ่มญาติของเธอ โดยเฉพาะพ่อและแม่ของนิด ในอันที่ใครจะยกมือไหว้ก่อน เพราะถ้านับตามศักดิ์ผมกำลังเป็นลูกเขยย่อมควรยกมือไหว้พ่อแม่ของภรรยาก่อน แต่ในฐานะที่ผมอาวุโสกว่าการยกมือไหว้เด็กก่อนก็ทำให้ผมรู้สึกขัดเขิลเล็ก น้อย แต่ผลที่สุดก็มีทางออกเมื่อเราทั้งสามคนยกมือขึ้นไหว้พร้อมๆกันเหมือนนัดกัน ไว้ล่วงหน้า แม่นิดดึงร่างเจ้าสาวของผมเข้าไปกอดกระซิบกระซาบอะไรกัน บางอย่าง น้ำหูน้ำตาเริ่มซึมที่หางตาจนเกาะเป็นหยดแล้วร่วงลงมาตามร่องแก้ม ก่อจูงนิดมาหาผมพร้อมส่งมือน้อยๆให้ผมเกาะกุม "น้อยฝากลูกนิดด้วยนะคะ หนักนิดเบาหน่อยโปรดให้อภัยน้อง เพราะเธอยังเด็กนัก" แม่นิดออกปากฝากลูกสาวไว้กับผม ส่วนพ่อเธอได้แต่ยิ้มมองที่ร่างนิดด้วยความภาคภูมิ "ไม่ต้องห่วงครับ น้องนิดเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของผมเช่นกัน" ผมตอบเชยๆออกไปเรียกเสียงฮือฮาจากคนรอบๆโต๊ะให้หัวเราะกันสนั่น แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้นกลับมีเสียงแซวแว่วเข้ามา เมื่อผมหันกลับไปมองยังที่มาของเสียงก็พบว่าคือน้าสาวคนหนึ่งของนิด เธอชื่อวิภา รูปร่างเธออวบสมบูรณ์ประเภทเนื้อ นม ไข่ แบบนั้นละครับ ใบหน้าเธอคมเข้มภายใต้เครื่องสำอางค์ที่ดูหนาเตอะ ดวงตาเป็นประกายเชิญชวนแบบคนตาเจ้าชู้ เธออาจไม่มีเจนตนาที่มองผมแบบนั้น คงเป็นธรรมชาติของตัวเธอนั่นแหละ แต่การพิจารณาที่นานกว่าปรกติของผมทำให้ผมสะดุ้งเจ็บจี๊ดที่หลังมือ ไม่ต้องมองลงไปผมก็ทราบว่าปลายเล็บแหลมยาวของนิดคงกำลังจิกอยู่อย่างแน่นอน " เดี๋ยวเหอะป๊า...ต่อหน้าต่อตานะเนี่ยะ" นิดเอียงหน้ามากระซิบข้างหูผมพร้อมทำตาวาวๆ เมื่อผมกระซิบตอบไปว่าแค่นี้ก็หึงแระ นิดก็จิกเล็บลงมาให้ผมต้องสะดุ้งอีกครั้ง แต่คราวนี้มองผมด้วยสายตาดุๆ ผม พานิดผละออกจากกลุ่มญาติเธอ ไปทางญาติผมบ้าง ซึ่งก็มีเพียงแค่คนเดียว คือหญิงชราผมหงอกขาวโพลน เจ๊ลั้งเธอคือพี่สาวคนเดียวของผมที่มีอายุต่างกับผมมากกว่า10ปี เธอรับไหว้นิดแล้วสวมกอดร่างนิดไว้แน่น แอบกระซิบอะไรบางอย่างให้เจ้าสาวของผมฟัง ผมชักเริ่มแปลกใจว่าเค้ากระซิบอะไรกันนัก หรือว่าจะเสี่ยมสอนเคล็ดลับการครองเรือนให้ว่าที่ภรรยาของผมทราบ ผมอด อมยิ้มขำไม่ได้ถ้าสิ่งที่ผมคิดคือเรื่องราวที่พี่สาวผมกำลังบอกจริงๆ จะไม่ให้ผมขำได้ยังไงละครับ ก็ในเมื่อตลอดทั้งชีวิตของพี่สาวผมนั้นเคยออกเรือนซะที่ไหน เธอโตเป็นสาวขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูน้องเล็กๆ คือผมมาตลอด เนื่องจากทั้งพ่อและแม่ของเราสองคนเสียชีวิตไปตั้งแต่ผมยังเล็กๆอยู่ เธอนั้นเปรียบเสมือนเป็นทั้งพี่สาวและแม่ของผมได้เลย ฉากภาพชีวิตในวัยเยาว์ของผมยังแจ่มชัดในจิตสำนึก เมื่อเราสองพี่น้องอาศัยบ้านเช่าอยู่ในสลัมข้างหลังโรงเรียนราชินี ที่บรรดาลูกผู้ลากมากดีใช้เป็นที่ศึกษา ผมยังจำภาพที่มองเห็นนักเรียนแห่งนั้นนั่งรถคันโตๆที่มีพ่อแม่หรือไม่ก็คน ขับรถพามาส่งด้วยความอิจฉา ว่าสักวันหนึ่งเหอะเราจะต้องมีรถคันโตๆขับบ้าง พี่สาวผมนั้นเรียนจบเพียงแค่ ป.7 เธอก็ต้องออกมาทำงานรับจ้างขายของตามตึกห้องแถวใกล้ๆบ้าน ส่วนตัวผมนั้นก็ต้องทำงานหาเงินสารพัด ทั้งวิ่งขายเรียงเบอร์ในวันที่หวย ออก พอกลับจากโรงเรียนก็ต้องไปรับจ้างล้างจานให้กับร้านขายข้าวมันไก่เพื่อแลก กับค่าจ้างอาทิตย์ละ20บาทพร้อมข้าวมันกับเศษไก่ที่เหลือจากการขายมากินกัน สองพี่น้องทุกๆวัน ในถิ่นที่อยู่ของผมในวัยเยาว์นั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งมั่วสุมที่ต่ำสุดๆแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สมัยนั้นได้เลย มี ทั้งยาเสพติดเฮโรอีน ซ่องราคาถูกๆกับผู้หญิงขายบริการร่างกายโทรมๆ อันทพาลและแมงดาเดินกันขวักไขว่ ผมและพี่สาวโชคดีกว่าเพื่อนๆในวัยเด็กที่หลุดพ้นจากแหล่งนั้นมาได้ด้วยความ รัก ผมคิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะความที่เรารักที่จะเป็นคนดี รักที่จะทำงานสุจริตไม่ตกเป็นทาสของเงิน ไม่กลัวที่จะลำบากถ้าสิ่งนั้นมันทำเงินที่สุจริตให้กับเรา ในวัยเด็กทุก คราที่ผมเหนื่อย ผมว้าเหว่ที่ขาดพ่อแม่เช่นเด็กคนอื่น ผมหวาดผวา สิ่งที่ผมวิ่งเข้าหาคืออ้อมอกไออุ่นของพี่สาวคนนี้ ผมยังจำได้ถึงอ้อมอกในวัยสาวของพี่ผม ที่มักจะถูกผมเกาะกุมเสมอยามเมื่อหวาดกลัวผมจะนอนกุมเช่นนั้นไปจนกระทั่ง หลับ พอนึกมาได้ถึงตอนนี้ทำให้ผมรู้ความจริงสิ่งหนึ่งของตัวผมที่นิดมักจะถาม บ่อยๆว่าทำไมผมชอบนอนกุมนมเธอเล่น คงเป็นเพราะผมติดมาจากพี่สาวคนนี้นั่นเอง สัก ครู่เมื่อนิดผละร่างออกจากการกอดของเจ้ลั้ง เธอก็ตรงมาสวมกอดผมแทนสะอื้นร่ำไห้ด้วยความปิติยินดี จนเสื้อของผมชุ่มไปด้วยน้ำตาของเธอ ผมบรรจงเช็ดน้ำตาของพี่สาวผมด้วยผ้าเช็ดหน้าจากนั้นก็ก้มลงหอมฟอดๆที่แก้ม ซ้ายขวาของเธอ ผมไม่เคยอายเลยที่อายุปูนนี้ยังหอมแก้มพี่สาวอยู่ ในความรู้สึกของผมการได้หอมแก้มและถูกหอมแก้มจากบุคคลอันเป็นที่รัก ช่างซาบซึ้งในใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้ลั้งกระซิบอวยพรให้ผมเป็นสุขจากการแต่งงานใหม่ครั้งนี้ จากนั้นผมก็ประคองเธอไปนั่งโต๊ะ บุคคลต่อไปที่ผมพานิดเข้าไปหาคือวรรณา เธอคือพี่สาวของภรรยาคนแรกที่จากไปของผม วรรณาคือผู้หญิงที่ผมไม่เคยลืมเลือนได้ชั่วชีวิตนี้ เธอเป็นทั้งป้าและทั้งแม่ของลูกสาวทั้งสองของผมทีเดียว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณืในคืนวันนั้นที่เราสองคนทำผิดไป มันเป็นเสมือนตราที่ประทับอยู่ในใจที่ไม่มีวันลบเลือน ภาพของวรรณาในวัย สาวปรากฎขึ้นมาในมโนภาพ ผมยังจำได้ถึงครั้งแรกที่ได้พบและรู้จักเธอเมื่อ20กว่าปีที่ผ่านมา ในวันหนึ่งที่ผมกลับไปเยี่ยมชมรมเชียร์ในมหาวิทยาลัย ในตอนที่ผมเป็นนักศึกษา ผมเคยเป็นประธานของชมรมนี้มาก่อน เมื่อผมกลับไปเยี่ยมรุ่นน้องอีกครั้งก็พบสาวร่างบางที่มีสัดส่วนสวยงามกำลัง ทำหน้าที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ใช่ครับเธอคือวรรณาดาวมหาวิทยาลัยคนหนึ่งที่มีหนุ่มๆห้อมล้อมติดสอยห้อยตาม ตลอดไม่ว่าเธอจะย่างกรายไปไหน แต่สำหรับผมกลับไม่เคยมองถึงความสวยงามน่ารักนั้นสักนิดแม้จำได้ว่าครั่งแรก ที่ได้สบตากับเธอผมถึงกับตะลึงไปชั่วขณะก็ตาม คนที่ผมสนใจกลับเป็นประภาน้องสาวของเธอนั่นเอง ภาพประภาภรรยาผมในตอนนั้นต่างกันไกลกับพี่สาวของเธอ เด็กสาวร่างสูงโปร่ง ใส่กระโปรงจีบยาวๆใบหน้าสวยเรียบๆกับดวงตาเป็นประกายสวยงามที่ถูกซ่อนอยู่ใน กรอบแว่นสายตาเชยๆ ผมกลับรู้สึกประทับใจและตามจีบเธอจนได้มาเป็นแฟนกัน ทิ้งให้ทุกๆคนแปลกใจว่าทำไมผมถึงไม่เลือกวรรณา ภาพของคืนวันหนึ่งที่ฝน ตกลงมาอย่างหนักตั้งแต่ช่วงเย็น หลังจากเลิกงานผมไปหาประภาที่บ้านแต่ไม่พบ มีเพียงวรรณาอยู่บ้านคนเดียวเท่านั้น เธอบอกผมว่าภากับแม่ไปงานกฐินที่เชียงรายอีก2วันจึงกลับ ส่วนที่เธอไม่ได้ไปเพราะว่าเธอมีสัมภาษณ์งานในวันรุ่งขึ้น บ้านของภานั้น ผมเข้านอกออกในได้ทุกเมื่อแม้บางคืนที่อยู่คุยกันจนดึกแม่เธอยังอนุญาตให้ นอนค้างได้ด้วยซ้ำ ฉนั้นจึงไม่แปลกที่ผมจะอยู่นั่งคุยเล่นกับวรรณากันเพียงสองคน เรานั่ง คุยนั่งเล่นกันจนหมดเรื่องสนทนาจึงได้หาไพ่มาเล่นกันสนุกๆ เกมพนันไพ่ของเราคือการดีดนิ้วหรือไม่ก็เขกเข่ากัน ส่วนใหญ่ผมจะเป็นผู้ชนะ จนวรรณเริ่มเบื่อที่แพ้จึงเสนอว่า "คุณ ๆ..ตาต่อไปใครชนะจะทำอะไรกะผู้แพ้ได้เอามั๊ย.." เกมไพ่ที่เล่นคือไพ่สามใบที่เอาแต้มมารวมกันใครได้แต้มสูงกว่าจะเป็นผู้ชนะ เมื่อผมแจกไพ่เสร็จพอหงายมาตาแรกผมชนะ ผมจึงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางไปคีบจมูกโด่งสวยของวรรณเธอดึงเล่น ตาต่อไปวรรณเธอขอเป็นคนแจกไพ่บ้างปรากฎว่าคราวนี้เธอชนะ วรรณรีบยกมือของผมขึ้นพร้อมกัดที่ข้อมือทันทีพอเธอคายปากออกรอยฟันซี่เล็กๆ ของเธอที่ข้อมือขวาของผมก็ปรากฎเป็นรอยวงกลมคล้ายนาฬ้กาทีเดียว "อ่ะวรรณ สวมมิโด้ให้คุณ" เธอจะเรียกผมว่าคุณเฉยๆแบบนี้ทุกครั้งตั้งแต่เริ่มรู้จักกัน ผมยังจำเสียงหัวเราะคิกคักของเธอได้ติดหูเมื่อเธอชนะอีกครั้งพร้อมฝังรอยฟัน ที่ข้อมืออีกข้างของผม ตาต่อไปผมหวังว่าผมคงชนะเธอได้เมื่อผมมีแต้มรวมถึง20 แต่ปรากฎว่าวรรณเธอได้แต้มถึง26ชนะผมอีกตามเคย ผมนั่งรอพร้อมคิดว่าคราว นี้เธอจะกัดผมตรงไหนอีก แต่แล้วผมยังจำได้ว่าตื่นตกใจแค่ไหนที่วรรณดึงหน้าผมเข้าไปหาเธอ ผมพยายามขืนไว้เพราะไม่ทราบจุดประสงค์ของเธอ เธอร้องโวยวายกล่าวหาว่าผมจะเบี้ยวพนัน เมื่อผมโอนอ่อนให้ วรรณก็ทำให้ผมต้องขนลุกซู่ขึ้นมาเมื่อเธอดึงหน้าผมให้เอียงข้างพร้อมเป่าลม เบาๆไปที่รูหูของผม จากนั้นก็ทำเสียงดังจุ๊บก้องกังวาลจนผมหูเกือบอื้อ ผมพยายามจะเลิกเล่นเพราะเห็นว่ามันไม่ค่อยเหมาะเสียแล้ว แต่วรรณขอร้องให้ผมเล่นอีกตาเป็นครั้งสุดท้าย ผมเริ่มแปลกใจว่าทำไมเธอดวงดีชนะผมได้สามครั้งซ้อนๆ ก็พบความจริงว่าวรรณแอบขี้โกงซ่อนไพ่ไว้ข้างหลัง ผมจำได้ว่าในครั้งนั้นผมไม่เคยคิดเจตนาเลยตอนที่เอื้อมมือโอบไปคว้ามือเธอ ที่ไขว้อยู่ด้านหลัง ร่างวรรณเอนหงายหลังลงเล็กน้อยเมื่อพยายามซ่อนไพ่ ส่วนผมก็พยายามไขว่คว้าจนกระทั่งลืมไปเลยว่าบัดนี้หน้าของเราใกล้ชิดกันจน เกือบสัมผัสกันอยู่แล้วผมหายใจอุ่นๆที่ประทะกันผมยังจำได้ไม่ลืมเลือน แม้กระทั่งทรวงอกของวรรณที่สะท้อนขึ้นลงจนเบียดชิดกับอกของผม เหมือน ฟ้าฝนจะเป็นใจให้เราสองคนทำผิดต่อกันเมื่ออยู่ๆก็มีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงดัง สนั่นอยู่ในระยะใกล้ๆ วรรณผวาเข้ากอดผมด้วยความตกใจ ไฟฟ้าก็ดับวูบลงทันที

ไม่มีความคิดเห็น: