ณ
มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
มีนักศึกษาชั้นปีที่
2 กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งคุย
หรือพยายามหาทางแก้ปัญหาบางอย่างอยู่
บี
: เฮ้ย
กล้า ช่วยหน่อยเหอะว่ะ
บ้านแกน่ะมีเงินออมอยู่ตรึมเลยไม่ใช่หรอแค่แบ่งมานิดหน่อยช่วยซื้อหุ้น
บริษัทพ่อข้าหน่อยเหอะว่ะ
เดี๋ยวมันฟื้นตัวเมื่อไรบ้านข้าจะซื้อคืนพร้อมกำไรเลยเอ้า
กล้า
: เรื่องนี้กูช่วยมึงไม่ได้ว่ะไอ้บี
เศรษฐกิจแบบนี้ไม่รู้บ้านมึงจะฟื้นตัวได้ชาติไหน
บ้านกูน่ะต้องเก็บเงินไว้รอโอกาสตลาดฟื้นตัวว่ะ
มึงไม่ลองขอไอ้แว่นดูล่ะ
บ้านมันเป็นนักการเมืองจะเกิดปัญหาอะไรบ้านมันก็ไม่มีทางเดือดร้อน
แว่น
: มึงนี่โยนขี้เก่งจริงนะไอ้กล้า
เออ ๆ บี เดี๋ยวกูไปคุยกับพ่อให้เว้ย
เด๋วโครงการXXXของพ่อกูผ่าน
ครมเมื่อไร บ้านกูได้กินค่าต๋งวันละเป็นสิบล้านว่ะ
ของเช่ายังงี้ผ่านเมื่อไรก็สบายมือ
บี
: ขอบใจว่ะแว่น
แต่โครงการของพ่อมึงทำท่าจะไม่ผ่านง่าย
ๆ นี่สิ ไม่รู้บริษัทพ่อกูจะรอดถึงวันนั้นป่าว
เอ็ม
: มึงก็ลองไปกูธนาคารก่อนดิไอบี
เอาตัวรอดไปก่อน
ยังไงพ่อไอ้แว่นมันก็จ่ายใต้โต๊ะจนโครงการผ่านจนได้แหละแล้วค่อยเอาเงินไปคืน
บี
: แล้วกูจะไปหาหลักประกันที่ไหนวะ
สามคน
: ก็บริษัทของมึงไง!!!
สิ่งที่เด็กหนุ่มทั้งสี่คนปรึกษากันพอจะจับเค้าความได้ว่าเป็นการหาเงิน
เพื่อซื้อหุ้นประคองบริษัทของนายบี
ที่เกิดการสะดุดจากการที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
และพ่อของเขาก็มาล้มป่วยลงในเวลานี้พอดี
โดยบทสรุปก็คือนายบีจะไปกู้ธนาคารโดยใช้บริษัทเจียระไนเพชนของพ่อเป็นหลัก
ประกัน
สองเดือนผ่านไป
สถานะการบ้านเมืองยังระอุยิ่งขึ้นการเจรจาของพ่อนายแว่นยังไม่บรรลุผล
มิหนำซ้ำเงินกูของนายบีก็ทบต้นดอกจนเกินเยียวยา
ตอกย้ำซ้ำไอด้วยการจากไปของพ่อของเขา
แม่นายบี
: บีลูกต้องเข้มแข็งนะลูก
วันนี้เราคงต้องยอมสละบริษัทไปก่อนเพราะหนี้ก้อนนี้มันใหญ่โตเกินกว่าที่เราจะหามาจ่ายได้
บีฟังแม่ด้วยหน้าตรึงเครียด
จากการที่ตัวบีเองนั้นก็เรียนบริหารธุรกิจในระดับดีเยี่ยมของคราสทำให้เขาพอ
จะรู้ว่าบริษัทนั้นไม่มีทางไปรอดแน่นอน
แต่ครั้นจะให้ทิ้งสมบัติของวงศ์ตระกูลชิ้นนี้ก็ตัดใจลำบากยิ่งนัก
"ผมขอเวลาคิดก่อนครับแม่"
บีครุ่นคิดพร้อมเดินเข้าไปในห้องนอนเก่าของตนเอง
ห้องที่พ่อเคยบอกว่า
เป็นห้องที่จะใช้เป็นห้องหอของเค้า
หอ้งนี้ใหญ่โตเกินกว่าจะอยู่คนเดียวและเหมือนจะเป็นส่วนนึงของบ้านก่อนที่จะ
ทำการต่อเติม จากการที่ห้องนี้เป็นห้องไม้
"เอี๊ยด"
เสียงนี้อีกแล้ว
บีครุ่นคิดถึงวัยเด็ก
มีแค่บริเวณนี้เท่านั้นที่มีเสียงในบ้าน
"เอ
หรือมันจะมีอะไรอยู่ที่พื้น
อย่างสมบัติลับ
ฉโนดที่ดินของตระกูลเรา"บีพึมพำกับตัวเอง
อีกทั้งใจของเค้ายังรู้สึกว่ามันเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี
แต่คิด ๆ ไปถึงไม่มีอะไรก็ควรจะซ่อมแซมเสียที
บีจึงก้มลงดูไม้บริเวณนั้นซึ่งไม่มีรอยผุกร่อนแต่ยังใด
หนำซ้ำ
ยังประหลาดที่ว่ามันดูไม่เก่าตามกาลเวลาเหมือนบริเวณอื่น
ๆ
"เอาวะ
ลองดูสักตั้ง "
บีตัดสินใจทำลายพื้นโดยไปหาจอบเหล็กมาใช้แทนชะแลง
ตื้บ
ข้างใต้พื้นไม้กับมีหีบสมบัติใบเล็กที่มีรูเล็ก
ๆ อยู่พอจะใส่นิ้วได้นิ้วเดียว
"อืม
มันอาจจะมีที่กดเปิดอยู่ข้างใน
ละมั้ง"
บีคิดพร้อมเอานิ้วชีแหย่เข้าไปในรูนั่น
"ผึง"
"อ้ะ โอ้ย"
บีร้องเสียงหลงเมื่อสัมผัสโดนเข็มข้างในรูจนมีเลือดไหลซึมออกมาจำนวนหนึ่ง
ในเวลาเดียวกับที่ฝาหีบเปิดออก
ข้างในหีบนั้น
คือ......................
อัญมณีสีฟ้าใส
ขนาดพอพอกับไข่ไก่
ที่ทอประกายแวววับโดยหากดูดีดีแล้วจะพบว่าในสีฟ้าใสนี้มีอัญมณีสีฟ้าขุ่น
ขนาดเท่าแหวนปกติวงนึงอยู่ภายใน
พร้อมจดหมายฉบับหนึ่ง
ที่แสดงว่าอัญมณีชิ้นนี้เป็นอัญมณีที่ปู่ของพ่อเป็นคนพบก่อนที่จะเริ่มทำ
ธุรกิจเจียระไนเครื่องประดับซึ่งในเวลานั้นไม่มีใครสามารถเจียระไนอัญมณี
ชิ้นนี้ได้ จึงทำกล่องใส่มันเอาไว้
จนมีแมลงเข้าไปทำรังในรูปสวิตเปิดนั่นเอง
พร้อมสมุดวิธีเจียระไนอัญมณี
1 เล่ม
"พ่อไม่เห็นเคยพูดถึงแฮะ
แต่ะไอของที่ทำเป็นเครื่องประดับไม่ได้เนี่ย
จะไปมีค่าอะไรนะ
ถึงขายก็คงไถ่บริษัทไม่ได้อยู่ดี"
บีพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังปนเศร้า
ขณะที่ไม่ทันระวังนั่นเองเลือดหยดหนึ่งก็หยดลงบนอัญมณีนั้น
ฉับพลัน
ทั่วทั้งห้องเกิดควันขึ้นรอบด้านจนบีสำลัก
ทำให้คนข้างล่างที่สังเกตุเห็นรีบวิ่งขึ้นมาทันที
"คุณบีเป็นอะไรไหมคะ"
บี ลูกปลอกภัยหรือเปล่า"
เสียงทุกคนดังขึ้นที่หน้าห้อง
บีพยามจะพูดว่า"ผมไม่เป็นอะไรครับแม่"
แต่พูดไม่ออก
ขณะที่ควันค่อย ๆ จางหายไป
บีก็ได้ยินเสียงที่เหมือนหญิงสาวสวย(ในความคิดของบี)กระซิบข้างหูว่า
"เราจะเป็นสายฝน
ที่ชำระล้างความผิดหวังไปจากเธอเอง
เธอจงเป็นผืนแผ่นดินที่รับความชุ่มฉ่ำเถิด"
ก่อนที่บีจะสลบไสลไป
บีลืมตาตื่นขึ้นเห็นแม่และน้องสาว
มัธยมปลายที่กลับมาจากโรงเรียนนอนเฝ้าอยู่ข้าง
ๆ
"บี
ตืน แล้วหรือลูก"
แม่เห็นเป็นคนแรก
"ผมไม่เป็นไรครับแม่"
บีตอบ
พร้อมกับประหลาดใจที่นิ้วชี้ของตนเองกลับมีแหวนประหลาดสีฟ้ากระจ่างที่มีแสงเรืองรองสวมอยู่
"บีตกใจะอะไรหรอลูก
แหวนวงนั้นลูกเจอจากในช่องที่พื้นห้องหรอ"
"ครับ
"บีกลบเกลื่อนความประหลาดใจ"แม่ใส่ให้ผมหรอครับ"
"ป่าวนี่
ตอนที่เข้าไปเจอลูกสลบอยู่
มันก็สวมอยู่แล้วจ้ะ
ลูกคนนี้จำว่าสวมแหวนไม่ได้ระวังจะหมั้นผิดคนนะจ้ะ
ฮิฮิ"
บีคิดถึงคำพูดที่ได้ยินก่อนสลบ
"ดีล่ะ
ถ้ามันปัดเป่าความผิดหวังได้จริงล่ะก็
เราต้องลอดูสักตั้ง"
บีตัดสินใจจะไปคุยกับธนาคารอีกครั้ง
เพราะดีกว่าการยอมแพ้โดยไม่ทำอะไรเลย
ที่ธนาคารวันรุ่งขึ้น
ห้องผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อธนาคาร
: เกษร
: สวัสดีค่ะ
คุณสุทธิ ใช่ไหมคะ
"ใช่ครับ"
บีตอบ
"คุณรู้เรื่องที่หุ้นบริษัทที่เป็นหลักประกันของคุณหุ้นแตะเพดานต่ำสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
แล้วใช่ไหมคะ"
"ใช่ครับ"
บีตอบอีก
"คุณคิดจะทำยังไงกับเรื่องนี้ค"
"..."ซวยแล้วไงไม่เห็นจะปัดเป่าอะไรเลยนี่หว่า
ตอนแรกนึกว่าธนาคารจะลืมเรื่องยึดบริษัทเสียอีก
"ได้สิ"
เสียงหญิงสาวนั้นดังขึ้น
ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องราว30วินาที
"เอ่อ
คุณมาติดต่อเรื่องอะไรคะ
" เกษรถาม
เอาแล้วเว้ยของจริงงงงงงงง
แต่ากระนั้นบีก็ลองหยั่งเชิง
"
ผมมาตามเอกสารของธนาคารน่ะครับ"
เกษรอ่านเอกสารในมือ
แล้วทันในั้นเองเธอก็ฉีกเอกสารนั่นทิ้งทันที
"เอ่อ
ชั้นว่าคุณควรออกไปได้แล้วนะคะ"
YESSSSSSSSSSSS
บีคิดในใจ
ยังงี้จะทำอะไรได้อีกวะเนี่ยแหวนวงนี้
ทำให้อีนี่กลายเป็นทาสเราได้ไหมนะ
"ได้สิ"
ผู้หญิงคนนั้นตอบอีกครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น